ตอนที่ 194-2 ฉีกหน้าอย่างต่อเนื่อง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เหอจังหมิงคิดว่าหาทางแก้ไขปัญหาได้แล้ว จึงขลุกตัวอยู่ในเรือนเถียนอี๋เหนียงอย่างวางใจไร้กังวล แต่ตอนที่เขาเดินออกจากจวนตระกูลเหอไปยังที่ว่าการกลับพบว่าตนดีใจเร็วเกินไป

 

 

เมื่อเหอจังหมิงก้าวออกจากจวนตระกูลเหอ ก็เห็นคนจำนวนมากข้างนอกชี้ไม้ชี้มือมาที่เขา เขากระทั่งได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของพวกเขา “ดูเร็ว นั่นก็คือนายอำเภอเหอ จุ๊ๆ หน้าตาก็เหมือนคนแต่การกระทำเหมือนสุนัข ไม่เหมือนคนลืมบุญคุณเหล่านั้นงั้นหรือ”

 

 

อีกคนหนึ่งก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “หรือว่าบนหน้าคนเลวจะสลักอักษรไว้เล่า ว่ากันว่าคนหน้าตาดีมักประพฤติตัวแย่ หน้าตานายอำเภอเหอก็ดีจริงๆ นั่นแหละ”

 

 

เหอจังหมิงเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย หวังว่าจะเข้าที่ว่าการได้เร็วขึ้น น่าเสียดายที่เรื่องไม่เป็นอย่างที่หวัง ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีขอทานหนึ่งกลุ่มที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน ตบมือร้องเพลงอยู่ข้างหลังเขา ร้องเพลงพื้นบ้านบทนั้น โดยเฉพาะประโยค ‘นายอำเภอเหอผู้ลืมบุญคุณ’ ประโยคนั้นร้องดังกังวานมากเป็นพิเศษ

 

 

ใบหน้าของเหอจังหมิงดำแล้ว ไม่ต้องให้เขาสั่ง ผู้ติดตามข้างกายเขาก็ไล่เด็กขอทานออกไปเอง “ออกไป รีบออกไป อยากกินข้าวแดงหรือไร”

 

 

เด็กขอทานว่องไว ฝั่งนี้ไล่จับ ฝั่งนั้นก็ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนอีกแล้ว วิ่งไปพลางกล่าวไปพลาง “นายอำเภอเหอตีคนไร้สาเหตุ นายอำเภอเหอรังแกประชาชน!” เสียงทั้งแหลมทั้งดัง ทำให้คนจำนวนมากหันมามองเหอจังหมิง

 

 

เหอจังหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว เขากล้ายืนยันว่านี่คือฝีมือของคุณชายสี่แซ่เสิ่นอีกแน่นอน เล่นลูกไม้นี้กับข้าในอาณาเขตของข้า คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ เขาก้าวเร็วเดินไปหลายก้าว คิดอยากจะเข้าที่ว่าการไประดมคนให้เร็ว แต่ใบไม้ผักเปื่อยกับไข่ไก่เน่าที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหน กลับกระแทกลงบนศีรษะและร่างของเหอจังหมิงพอดี เยี่ยม ตอนนี้ก็ไปที่ว่าการไม่ได้แล้ว

 

 

เหอจังหมิงโมโห แต่มองดูเด็กขอทานที่วิ่งออกไปไกล เขาไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว

 

 

เหอจังหมิงแบกร่างจนตรอกกลับจวน เด็กขอทานที่วิ่งไปไกลฝั่งนี้กลับกำลังรับเงินทองแดงอย่างมีความสุข แต่ละคนได้ยี่สิบกว่าเหรียญ ซื้อหมั่นโถวได้ไม่น้อย เด็กขอทานทั้งหลายดีใจอย่างยิ่ง พากันรับปากว่าจะจับตามองจวนตระกูลเหอเป็นอย่างดี

 

 

เหอจังหมิงกลับไปถึงจวนแล้ว เสิ่นเวยก็พาคนมาถึงหน้าบ้านทันที ผลักคนรับใช้จวนตระกูลเหอที่ขวางทางออกไป เดินเข้ามาอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง

 

 

“ใต้เท้าเหอคิดได้แล้วหรือยัง” เสิ่นเวยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างตรงไปตรงมา ท่าทางนั้นเหมือนเจ้าของบ้านเสียยิ่งกว่าเจ้าของบ้านเอง

 

 

เหอจังหมิงกดไฟโกรธในใจไว้ กล่าว “หลานสี่ อย่างไรเสียข้าเองก็เป็นผู้อาวุโสของเจ้า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าโวยวายข้าก็จะไม่ถือสา แต่ไหนเลยจะมีอย่างที่ชนรุ่นหลังเร่งรัดผู้อาวุโสให้หย่าร้าง หากว่าเรื่องนี้ดังออกไป จวนจงอู่โหวจะยังมีเกียรติอยู่อีกหรือ สตรีในจวนจะแต่งออกเรือนได้หรือ” ทั้งใบหน้าเขาเศร้าโศก ราวกับว่าเสิ่นเวยทำเรื่องผิดมหันต์

 

 

เสิ่นเวยถือพัดพับได้ตีลงในฝ่ามือ “ใต้เท้าเหอ เรื่องวุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องหลอกตัวเองแล้วกระมัง ท่านโปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก เอาบุตรสาวภรรยาเอกไปปูทางให้บุตรชายลูกอนุภรรยา ท่านยังไม่กลัวคนเอาไปพูดลับหลัง แล้วข้าจะกลัวอะไร สำหรับสตรีจวนโหวหรือ”

 

 

นางเปลี่ยนเรื่อง กล่าว “จวนจงอู่โหวของพวกข้ามีฐานะเดิมมาจากทหาร ไม่เข้าใจธรรมเนียมเหล่านั้นเช่นบัณฑิตอย่างพวกท่าน มีเกียรติไม่มีเกียรติอะไร พวกข้ารู้เพียงแค่ว่าไม่อาจให้คนกลั่นแกล้งกูไหน่ไนที่ออกเรือนได้ มิเช่นนั้นจะมีลูกหลานเช่นนี้ไว้ทำไม วางไว้ประดับเฉยๆ หรือ ขอเพียงแค่พี่น้องของพวกข้าทำคุณงามความดี ยังต้องกังวลอีกหรือว่าสตรีในจวนจะออกเรือนไม่ได้”

 

 

ความดูถูกในแววตานั่นยั่วยุจนเหอจังหมิงเกือบทนไม่ไหวโพล่งคำหยาบออกมา “พูดเช่นนี้หลานสี่ยืนยันจะทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ “ใบหน้าของเขาเย็นชาลง นี่คือจวนตระกูลเหอ เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า “ยืนยันหรือไม่ยืนยันอะไร เจตนาในการมาของข้าชัดเจนอย่างยิ่งมาโดยตลอด นั่นก็คือการหย่า กูไหน่ไนที่เติบโตมาบนกองเงินกองทองของพวกข้า ในเมื่อใต้เท้าเหอไม่ทะนุถนอม เช่นนั้นพวกข้าก็จะรับกลับไปเลี้ยงดูเอง ใครให้นี่เป็นสายโลหิตในครอบครัวเล่า พวกข้ายอมรับว่าดูคนผิด ยอมรับความโชคร้ายยังไม่พออีกหรือ ดูสิ พวกข้ามีเหตุมีผลยิ่ง ไม่ได้เอาอำนาจจวนโหวมากดดันเลยแม้แต่นิดเดียวไม่ใช่หรือ”

 

 

ท่าทีของเสิ่นเวยดีอย่างยิ่ง เม้มปากกล่าวต่อ “กลับเป็นท่านใต้เท้าเหออ้างนู่นอ้างนี่หมายความว่าอย่างไร ทำร้ายจนถึงแก่ความตายแล้วยังไม่ยอมหย่า ไม่ต้องมาเอ่ยถึงความผูกพันอะไรให้ข้าฟังอีก คนใจดำเช่นท่านรู้จักความผูกพันด้วยหรือ คิดดูว่าใครบ้างที่ไม่รู้แผนการลับๆ นั่นของพวกท่าน ก็แค่อยากได้สินเดิมของท่านอาไม่ใช่หรือ ข้าว่านะใต้เท้าเหอ ท่านมีเจตนาดีจริงๆ หรือ ครอบครองสินเดิมบ้านภรรยา ชื่อเสียงนี้หากว่าแพร่ออกไป ลูกชายหลายคนของท่านจะยังแต่งภรรยาได้อยู่อีกหรือ” เสิ่นเวยตอกหน้ากลับไป

 

 

เหอะๆ พวกเรามาลองดูกันสิว่าคุณหนูจวนโหวของพวกข้าจะออกเรือนไม่ได้ หรือว่าลูกชายของชายชั่วแซ่เหอเช่นเจ้าที่จะแต่งภรรยาไม่ได้

 

 

“เจ้า เจ้าบังอาจนัก!” เหอจังหมิงถูกทักษะการพูดของเสิ่นเวยทำให้โกรธจนตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยเฉียบแหลม มองปราดเดียวก็เห็นรองเท้าปักที่โผล่ออกมาจากใต้ฉากกั้น ก็รู้แล้วว่ามีคนซ่อนอยู่หลังฉากกั้น ส่วนคนผู้นี้จะเป็นใคร ฮ่าๆ นั่นยังต้องถามอีกหรือ ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงเกิดความคิดดีๆ

 

 

“ใต้เท้าเหอเองก็ได้ยินเพลงพื้นบ้านบทนั้นแล้วใช่หรือไม่ ในนั้นมีประโยคหนึ่งที่หลานสี่จำได้แม่นอย่างยิ่ง! ยกอี๋เหนียงที่เป็นม้าซูบผอมขึ้นหิ้ง เป็นม้าซูบผอมใช่หรือไม่” เสิ่นเวยยังเอียงหน้าถามเถาจือที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง

 

 

“จุ๊ๆ ใต้เท้าเหอท่านเก่งจริงๆ เป็นถึงขุนนางราชสำนัก ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูม้าซูบผอม ซ้ำยังยกเป็นอนุภรรยาศักดิ์สูงอย่างโจ่งแจ้ง ท่านต้องการจะท้าทายกฎหมายต้ายงหรือ ช่างเป็นผู้กล้าเสียจริงๆ!” เสิ่นเวยกล่าวชื่นชมเกินจริง

 

 

ใบหน้าของเหอจังหมิงโกรธจนม่วงแล้ว “เจ้าใส่ร้ายป้ายสีคน! เถียนอี๋เหนียงเป็นสตรีมีความสามารถ ไม่ใช่ม้าซูบผอมอะไรอย่างที่เจ้าว่า ต่อให้จวนจงอู่โหวของเจ้าจะมีอำนาจมาก แต่ก็ไม่อาจกลับขาวเป็นดำเช่นนี้ได้”

 

 

เสิ่นเวยหลุดหัวเราะหนึ่งครา คนที่กลับขาวเป็นดำมาโดยตลอดคือพวกท่านไม่ใช่หรือ

 

 

“สตรีมีความสามารถงั้นหรือ ยังเป็นคนแก่มีความสามารถที่ยากจนจนต้องขายลูกสาว สามารถเลี้ยงเถียนอี๋เหนียงจนเป็นเช่นนี้ได้ จะใช้คำว่าอะไรดีเล่า” เสิ่นเวยขมวดคิ้วท่าทางราวกับลำบากใจอย่างยิ่ง

 

 

“ใต้เท้าไม่เคยสังเกตสักนิดเลยหรือ ท่านไม่รู้สึกว่าบนเตียงเถียนอี๋เหนียงเก่งเรื่องนั้นสักนิดเลยหรือ สตรีตระกูลดีจะเป็นแบบนั้นหรือ อ้อ เกือบลืมไปแล้ว นอกจากท่านอาของข้า ใต้เท้าเหอไหนเลยจะเคยเห็นสตรีตระกูลดีๆ คนอื่น เถียนอี๋เหนียงมีฐานะเดิมเป็นม้าซูบผอม หวังอี๋เหนียงเป็นหญิงขายศิลปะในหอนางโลม ส่วนหลี่อี๋เหนียงผู้นั้นก็มีที่มาดียิ่งกว่า ต่อให้ท่านคิดก็คิดไม่ถึง นางเป็นนางโลมบนเรือสำราญ ฮ่าๆ ทั้งสามคนต่างก็ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ใต้เท้าเหอคงจะมีความสุขมากใช่หรือไม่ เรื่องนั้นใต้เท้าเหอนับว่ามีวาสนาดียิ่งนัก” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ จ้องมองข้างล่างฉากกั้นปราดหนึ่ง เห็นรองเท้าปักข้างนั้นหายไปแล้ว

 

 

“ว่าอย่างไรนะ ใต้เท้าเหอไม่เชื่อหรือ ข้าหวังดีมาบอกกับท่าน ท่านยังไม่เชื่ออีก หรือว่าชอบเก็บไว้เป็นความลับ อะไรนะ ท่านบอกว่าหลักฐานงั้นหรือ ย่อมมีแน่นอน โอวหยางไน่ เอาหลักฐานมาให้ใต้เท้าเหอดู” มุมปากเสิ่นเวยยกสูง โดยเฉพาะตอนที่หลักฉากกั้นมีเสียงดังสนั่นดังเข้ามา คล้ายเสียงของบางอย่างตกลงพื้น

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะกล่าว “ใต้เท้าเหอ หนูในจวนท่านใจกล้าจริงๆ!”

 

 

เหอจังหมิงพลิกดูหลักฐานที่โอวหยางไน่ส่งมา เงยหน้าขึ้นดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยสีแดงโลหิต จ้องมองเสิ่นเวย “เจ้าปลอมแปลงหลักฐาน ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว” สองมือของเขาออกแรง จากนั้นจึงฉีกหลักฐานที่เสิ่นเวยให้เขาออกเป็นชิ้นๆ ราวกับว่าฉีกทิ้งแล้วเรื่องนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

 

ปลอมหรือไม่ในใจเหอจังหมิงรู้ดี แต่เขาจะยอมรับได้หรือไม่ เขายอมที่จะหลอกตัวเองดีกว่าจะต้องยอมรับ! เพราะเมื่อยอมรับแล้ว เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

 

 

เสิ่นเวยยักไหล่ไม่ถือสาแม้แต่นิดเดียว นางเองเพียงหวังดีเตือนเขาก็เท่านั้นเอง ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางจะยุ่งด้วยแล้ว

 

 

“ใต้เท้าเหอไม่เชื่อก็ช่าง พวกเรามาเข้าเรื่องเดิมเถอะ เมื่อวานใต้เท้าหลี่ข้าหลวงประจำจังหวัดมาเยี่ยมเยียนที่เรือน พอได้ยินเรื่องของท่านอาก็โมโหอย่างยิ่ง เขียนหนังสือหย่าแทนท่านอาตอนนั้นเลย อยู่ตรงนี้ ใต้เท้าเหอลงนามเถอะ” เสิ่นเวยบอกเป็นนัยให้โอวหยางไน่ส่งหนังสือหย่าไปให้

 

 

เหอจังหมิงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่รู้ได้อย่างไรว่าใต้เท้าหลี่ไปเยี่ยมเยียนถึงเรือน แม้แต่ข้าหลวงประจำจังหวัดผู้ยิ่งใหญ่ยังไปเอาใจเด็กคนหนึ่งได้ อำนาจของจวนจงอู่โหวรุ่งเรืองเพียงนั้นเชียวหรือ

 

 

ยังมี หนังสือหย่าฉบับนี้คืออะไรกัน เหอจังหมิงถลึงตามองกระดาษบางๆ แผ่นนี้ตรงหน้า แววตาปรากฎความหวาดกลัว คว้าไว้กำลังจะฉีก แต่กลับถูกเสียงที่เย็นเยียบของเสิ่นเวยห้ามไว้ “ท่านกล้าหรือ!”

 

 

เสิ่นเวยมองเหอจังมิงอย่างเฉยชา เสียงๆ นั้นประหนึ่งดังมาจากนรก “ท่านลองฉีกดูสิ หากท่านฉีก ข้าจะลงดาบกับลูกๆ ของท่านเสีย”

 

 

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!” บุตรอนุภรรยาทั้งสามของเหอจังหมิง รวมถึงเหอเทียนเฉิงบุตรของเถียนอี๋เหนียงต่างก็ถูกคนจับไว้ในมือ โดยเฉพาะคนเล็กที่สุด เพิ่งจะอายุสี่ขวบ กลัวจนร้องไห้ลั่น

 

 

“เจ้า เจ้ารีบปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้” เหอจังหมิงทั้งตกใจทั้งโมโห อีกทั้งยังหวาดกลัว ลูกชายของเขาตกอยู่ในมือคนอื่นตั้งแต่เมื่อไร เขาลุกขึ้นกำลังจะเข้าไป แต่กลับพะว้าพะวง ไม่กล้าเข้าไป เพียงแค่มองเสิ่นเวยด้วยสายตาโกรธแค้น

 

 

แต่เสิ่นเวยกลับยังคงสบายอารมณ์ “ตกลงใต้เท้าเหอจะลงนามหรือไม่ ลงนาม ลูกๆ ของท่านก็ยังคงเป็นของท่าน ไม่ลงนาม ขออภัย ท่านก็รอสิ้นบุตรหลานสืบสกุลได้เลย!”

 

 

เถียนอี๋เหนียงที่หลบอยู่ข้างหลังฉากกั้นก็ทนไม่ไหวแล้ว วิ่งออกมาร้องห่มร้องไห้มองลูกชายของตน “เฉิงเกอเอ๋อร์ เฉิงเกอเอ๋อร์” จากนั้นจึงหันไปหาเหอจังหมิง อ้อนวอนไม่หยุด “นายท่าน ท่านช่วยลูกของพวกเราเถิด ข้าขอร้องท่านล่ะ ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว ข้าคุกเข่าขอร้องท่านแล้ว ท่านลงนามเถิด”

 

 

เหอจังหมิงปากสั่น หมัดกำแน่น เสิ่นเวยนั่งอยู่อย่างสุขุม รอเขาตัดสินใจครั้งสุดท้าย

 

 

“ได้ ลงนาม ข้าลงนาม!” คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เป็นปีศาจ เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น เขากล้าฆ่าลูกชายของเขาจริงๆ จวนของเขานั้นไม่เลว แต่คนรับใช้ในจวนตระกูลเหอไหนเลยจะสู้ชายฉกรรจ์ที่คุณชายสี่แซ่เสิ่นพามาได้ ในสถานการณ์ที่ด้อยกว่าผู้อื่น นอกจากน้อมรับคำสั่งแล้วเขาจะยังทำอะไรได้อีก

 

 

เสิ่นหย่ากับลูกๆ เหอจังหมิงยังคงเลือกอย่างหลัง เขายกพู่กัน ประหนึ่งหนักพันจิน มือสั่นระริกอยู่นานก็เขียนไม่ได้สักที

 

 

เสิ่นเวยเลิกคิ้วกล่าว “โอวหยางไน่ เจ้าไปช่วยใต้เท้าเหอหน่อย”

 

 

โอวหยางไน่ขานรับ เหอจังหมิงเห็นชายน่ากลัวที่บนใบหน้ามีแผลเป็นเช่นนี้ ชั่วขณะมือก็ไม่สั่นแล้ว ลงนามชื่อของตนในกระดาษอย่างคล่องแคล่ว

 

 

โอวหยางไน่หยิบหนังสือหย่าส่งให้เสิ่นเวยด้วยความเคารพ เสิ่นเวยมองชื่อข้างบนก่อน จากนั้นจึงส่งให้โอวหยางไน่อย่างระมัดระวัง “เอาไปให้ที่ว่าการบันทึกคดี”

 

 

นางลุกขึ้นยืนกล่าวกับเหอจังหมิง “ไม่รบกวนใต้เท้าเหอแล้ว สินเดิมของท่านอาพวกท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง พรุ่งนี้ข้าจะสั่งคนมาขนย้าย เถาฮวา ไปเชิญกูไหน่ไน พวกข้ากลับแล้ว”