ตอนที่ 195-1 จับแยกเข้าคุก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เสิ่นหย่ามาเร็วอย่างยิ่ง กระทั่งบ่าวรับใช้ที่เสิ่นเวยทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ก็ล้อมตัวนางไว้ กรูเข้ามาเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่ ดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ

 

 

เหอจังหมิงมองภรรยาที่เดินเข้ามาช้าๆ ความยากลำบากหลายปีเพียงนี้ไม่ได้ทำให้นางลืมการอบรมที่ดีงามเลย กระโปรงไม่ขยับปิ่นไม่สั่นไหว หลังยืดตรง ฝีเท้าไม่กว้างไม่แคบ ไม่เร็วไม่ช้า สง่าผ่าเผย แต่ทุกๆ ย่างก้าวเสมือนเหยียบย่ำลงในหัวใจของเหอจังหมิง ความรู้สึกของเขาซับซ้อนอย่างถึงที่สุด จำต้องยอมรับว่าความแตกต่างของภรรยากับเถียนอี๋เหนียงต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ ในใจเขาประหนึ่งมีมือเล็กๆ ข้างหนึ่งกำลังสะกิดอยู่ ไม่สบายอย่างยิ่ง

 

 

“หย่าเอ๋อร์!” เหอจังหมิงเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว ยื่นมือออกไปคิดจะจับแขนของเสิ่นหย่าไว้

 

 

ทว่าเสิ่นหย่ากลับหยุดเท้าห่างจากเขาออกไปสองก้าว โค้งคำนับต่ำๆ “วันนี้เราสองจากลากันด้วยดี หลังจากนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีก”

 

 

สีหน้านางเรียบเฉย น้ำเสียงนิ่งเรียบ แววตาไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ เสิ่นเวยอยู่ข้างๆ กระดกมุมปาก ชื่นชมท่านอาของนาง สมกับที่เป็นสตรีตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ทำให้ท่านปู่ขายหน้า แม้แต่แม่นมมั่วเองก็พยักหน้าในใจ กูไหน่ไนตระกูลเสิ่นผู้นี้กลับไม่ได้ไร้ประโยชน์เกินไป

 

 

“ท่านอา พวกเรากลับกันเถอะ หลานมารับท่านกลับบ้านแล้ว” เสิ่นเวยก้าวขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม

 

 

หนึ่งประโยคแทบจะทำให้น้ำตาของเสิ่นหย่าร่วงลงมา กลับบ้าน ใช่แล้ว ในที่สุดนางก็กลับบ้านได้แล้ว กลับบ้านแล้วควรจะมีความสุขจึงจะถูก นางสูดหายใจเข้าลึก กะพริบตาบังคับให้น้ำตากลับไป ยิ้มน้อยๆ ที่งามสง่าตอบเสิ่นเวย

 

 

เหอหลินหลินที่อยู่ข้างๆ เสิ่นหย่าก็โค้งคำนับให้พ่อของนาง หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมกัน

 

 

เหอจังหมิงเอ่ยปากแล้ว “หยุดก่อน! เสิ่นซื่อไปได้ แต่หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวตระกูลเหอ นางไปไม่ได้”

 

 

“ใช่ ใช่ หลินเจี่ยเอ๋อร์ห้ามไป” มารดาแซ่เหอที่ตามเสียงมาก็ขวางทางเหอหลินหลินไว้ กำลังจะคว้ามือนางไว้ เย่ว์กุ้ยก็วิ่งพรวดมาบังอยู่ข้างหน้านาง “พูดก็พูดดีๆ ลงไม้ลงมือเพื่ออะไร”

 

 

มารดาแซ่เหอเห็นว่าเป็นสาวใช้คนนี้ก็ตกใจจนถอยไปข้างหลังหลายก้าว เมื่อได้สติกลับมาก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “หลินเจี่ยเอ๋อร์แซ่เหอ ตามคนแซ่เสิ่นไปไม่ได้เด็ดขาด” นางถลึงตามองเสิ่นหย่าปราดหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เหอะ ไปก็ดี สตรีที่นำหายนะมาให้ครอบครัวผู้นี้ไปแล้วนางจะแต่งคนใหม่ที่ดีกว่านี้ให้ลูกชาย

 

 

เห็นคนรับใช้จวนตระกูลเหอที่ถือกระบองขวางอยู่ข้างหน้า เสิ่นเวยก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดาบจริงทวนจริงในสนามรบต่างก็ขวางนางไม่ได้ กระบองไม่กี่อันเล็กๆ ยังจะทำอะไรนางได้

 

 

“ไม่มีใครบอกว่าญาติผู้น้องไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลเหอนี่ เพียงแค่วันนี้ข้าอารมณ์ดี อยากรับญาติผู้น้องไปดูบ้านคฤหาสน์ อย่างไรเสียหลังจากนี้คฤหาสน์ของอวิ๋นโจวแห่งนี้ก็จะเป็นสินเดิมของญาติผู้น้อง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ

 

 

“นั่นก็ไม่ได้ เจ้าจะไปแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ไปแค่คนเดียว หลินเจี่ยเอ๋อร์ต้องอยู่ที่จวนตระกูลเหอ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เหอจังหมิงจ้องมองเสิ่นเวยราวกับงูพิษที่ดุร้ายตัวหนึ่ง

 

 

เสิ่นหย่าเลิกคิ้ว ละสายตามองมารดาแซ่เหอที่ตาลุกวาว “แม่เฒ่าเหอเองก็คิดเช่นนี้หรือ”

 

 

มารดาแซ่เหอหน้าเหยเก กำลังจะเอ่ยปากก็ถูกลูกชายแย่งพูดขึ้นก่อน “เจตนาของท่านแม่ย่อมต้องเหมือนข้า หลินเจี่ยเอ๋อร์ รีบมาหาพ่อเถอะ” ท่าทางจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมให้เหอหลินหลินเดินออกจากจวนตระกูลเหอ

 

 

“เหล่าเอ้อร์” มารดาแซ่เหอร้อนใจในชั่วขณะแล้ว จ้องมองลูกชายแล้วกล่าวแนะ “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงไม่รู้ประสีประสาเช่นนี้ แม้เจ้าจะหย่ากับแม่ของหลินเจี่ยเอ๋อร์แล้ว แต่อย่างไรเสียหลินเจี่ยเอ๋อร์ก็ยังคงเป็นหลานสาวของจวนตระกูลเหอ ญาติผู้พี่นางรับนางไปเที่ยวเล่นไม่กี่วันไม่ใช่เรื่องปกติหรือไร”

 

 

นางพยายามส่งสายตาให้ลูกชาย นั่นคือคฤหาสน์เชียวนะ มูลค่ามหาศาล จวนโหวใจกว้างยกให้หลินเจี่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเป็นของตระกูลเหอของนางด้วยมิใช่หรือ เด็กสาวไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเป็นคนของตระกูลอื่นแล้ว ต่อให้นำสินเดิมไปมากก็เป็นการเสียเปรียบผู้อื่น ถึงตอนนั้นทำกระเป๋าไม่กี่ใบ เย็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็พอแล้ว คฤหาสน์หลังนั้นเหลือไว้ให้หลายชายคนโตดีกว่า

 

 

เหตุใดสมองของเหอจังหมิงถึงได้ทึบจนสื่อสารกับมารดาแซ่เหอไปคนละทาง ไม่เข้าใจความพยายามบากบั่นของมารดาเขา ดวงตาที่ถลึงจนแดงก่ำก็ยังคงแสดงออกว่าไม่ยอมให้บุตรสาวของเขาไป

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา ไม่เอ่ยขอร้อง “ในเมื่อใต้เท้าเหอไม่ยอมเช่นนั้นก็ช่างเถอะ ญาติผู้น้อง เจ้าเองก็อย่าตำหนิที่พี่ไร้เมตตาเลยนะ คฤหาสน์หลังนั้นบอกว่าจะให้เจ้าก็เพราะว่าเจ้าเป็นคุณหนูญาติผู้น้องของจวนจงอู่โหวของพวกเรา เป็นหลานสาวตาเพียงคนเดียวของท่านปู่ ทุกคนรักเจ้าจึงอยากชดเชยให้เจ้าสักเล็กน้อย ตอนนี้ใต้เท้าเหอยืนกรานจะตัดญาติตระกูลนี้ เช่นนั้นพี่ก็ทำได้เพียงขออภัย อย่างไรเสียคฤหาสน์หลังนั้นก็มีมูลค่าพันตำลึงเป็นอย่างน้อย เงินของจวนจงอู่โหวของพวกเราก็ไม่ได้หอบมากับสายลม ไหนเลยจะมอบให้คนนอกได้ตามอำเภอใจ” นางกล่าวกับเหอหลินหลินด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

 

 

เหอหลินหลินสีหน้าเรียบเฉย โค้งคำนับเสิ่นเวยหนึ่งครา “ญาติผู้พี่พูดมีเหตุผล น้องหลินไม่โกรธ” หลังจากนั้นก็ก้าวเท้าเดินไปหาพ่อนาง

 

 

ชั่วพริบตาคฤหาสน์ที่อยู่ในมือกำลังจะลอยออกไป อย่าว่าแต่มารดาแซ่เหอที่ร้อนใจ แม้แต่ภรรยาบุตรคนโตแซ่เหอกับเถียนอี๋เหนียงที่อุ้มลูกชายมาดูพร้อมกันต่างก็โกรธแค้นเหอจังหมิง นั่นคือคฤหาสน์มูลค่าหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ แม้จะไม่อยู่อาศัยเพียงปล่อยให้เช่า หนึ่งปีก็มีรายได้เป็นเงินไม่น้อยแล้ว คนจวนโหวจะรับหลินเจี่ยเอ๋อร์ไปแค่ไม่กี่วันไม่ใช่หรือ ไม่ได้พูดว่าจะไม่กลับมาเสียหน่อย มิหนำซ้ำยังไม่ได้ออกจากเมืองอวิ๋นโจวแห่งนี้ เขาจะตื่นตระหนกทำไมกัน

 

 

มารดาแซ่เหอเห็นคุณชายจวนตระกูลโหวผู้นั้นและลูกสะใภ้คนก่อนไม่สนใจหลินเจี่ยเอ๋อร์แล้วจริงๆ ก็ยิ่งร้อนใจ ก้าวขึ้นไปสองก้าวดึงเหอหลินหลินเข้ามา ผลักนางไปอยู่ข้างๆ เสิ่นหย่าแม่ของนาง “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงใสซื่อเพียงนั้น พ่อเจ้าพูดออกมาด้วยความโมโหก็ฟังไม่ออกหรือ แยกกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ หลินเจี่ยเอ๋อร์ผู้น่าสงสาร ไปเถอะ ตามแม่เจ้ากับญาติผู้พี่เจ้าไปเที่ยวเล่นสักวันสองวัน อีกสองวันค่อยให้พ่อเจ้าไปรับเจ้า” นางดึงแขนเสื้อแสร้งเช็ดน้ำตา ท่าทางอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด

 

 

เหอหลินหลินยังคงไม่พูดจา คำนับมารดาแซ่เหอแล้วจึงกลับไปยืนข้างกายแม่นางด้วยสีหน้าเรียบเฉย มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเผยความเย็นชาหลายส่วน ย่านางไหนเลยจะคิดแทนนาง ชัดเจนว่าตัดใจทิ้งคฤหาสน์หลังนั้นไม่ได้ต่างหาก

 

 

เพื่อคฤหาสน์หลังนั้นแล้ว มารดาแซ่เหอเมื่อลงมือทำอะไรแล้วต้องทำให้สุด ฉวยโอกาสตอนที่ลูกชายยังไม่ได้สติกลับมา ‘ไล่’ กลุ่มคนของเสิ่นเวยออกไปเสียเลย “ในเมื่อหย่ากันแล้ว เช่นนั้นคุณชายสี่กับแม่หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบไปเถอะ เหล่าเอ้อร์เขาลำบากใจ พวกเจ้าก็อย่าได้อยู่ที่นี่ให้เขาเห็นหน้าเลย”

 

 

ฮ่าๆๆ ช่างมีไหวพริบจริงๆ เสิ่นเวยคิดไม่ถึงว่าจะออกจากจวนตระกูลเหอได้ง่ายถึงเพียงนี้ นางยังคิดว่าต้องต่อสู้ออกมาเสียอีก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้กำลังข่มขู่คนสักรอบ ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าถูกพวกเขา ‘ไล่’ ออกมาอย่างไม่รีรอ มารดาแซ่เหอแม่เฒ่าผู้นี้น่ารักจริงๆ ไม่ใช่หรือ เหมือนกลุ่มหมูโง่ไม่ใช่หรือ เสิ่นเวยวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจเงียบๆ จิตใจเบิกบานมีความสุข

 

 

กว่าเหอจังหมิงจะได้สติกลับมากลุ่มของเสิ่นเวยก็เหลือเพียงแต่เงาแล้ว เขาไต่ถามแม่เขาอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ท่านปล่อยหลินเจี่ยเอ๋อร์ไปได้อย่างไร” ไม่จับหลินเจี่ยเอ๋อร์ไว้ในมือในใจเขามักจะรู้สึกไม่ปลอดภัย

 

 

มารดาแซ่เหอกลอกตามองลูกชาย กล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าไม่ได้ยินคุณชายสี่ผู้นั้นกล่าวหรือ หากหลินเจี่ยเอ๋อร์ตัดญาติกับจวนโหว เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่นิดเดียว คฤหาสน์มูลค่าพันตำลึงไม่อยากได้หรือไร เจ้าน่ะ ไม่ดูแลบ้านก็ไม่รู้หรอกว่าข้าวยากหมากแพง เจ้าตัดใจได้ แต่มารดาเจ้าจะตัดใจได้หรือไร”

 

 

สีหน้าเหอจังหมิงแข็งทื่อ เอ่ยถึงเงินทองเขาเองก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจอย่างมาก แต่เขากังวลยิ่งกว่าหากเสิ่นซื่อแอบพาหลินเจี่ยเอ๋อร์กลับเมืองหลวงขึ้นมาจะทำอย่างไร

 

 

มารดาแซ่เหอเห็นท่าทีก็ไม่โมโหแล้ว กล่าวด้วยคำชี้แนะจากใจจริง “เหล่าเอ้อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์เพียงแค่ไปคฤหาสน์ เจ้ากังวลอะไร อย่างไรเสียเจ้าเองก็เป็นนายอำเภอ อวิ๋นเหอแห่งนี้พวกเราคุ้นเคยดียิ่งกว่าพวกเขามิใช่หรือ แม่ว่า หลินเจี่ยเอ๋อร์ตามไปสิดี หากเสิ่นซื่อใจร้ายไม่สนใจหลินเจี่ยเอ๋อร์จริงๆ พวกเราก็คงจะไม่ได้อะไรเลยมิใช่หรือ ตอนนี้คอยกระตุ้นนางทุกวันๆ นางยังจะใจร้ายได้ลงคออีกหรือ อย่างน้อยก็ต้องวางแผนอนาคตให้หลินเจี่ยเอ๋อร์บ้าง หลินเจี่ยเอ๋อร์ได้ผลประโยชน์ ก็เท่ากับพวกเราได้รับผลประโยชน์เช่นกันมิใช่หรือ”

 

 

“ใช่ๆ ยังคงเป็นท่านแม่ที่มองการณ์ไกล มีเหตุผล” ภรรยาบุตรคนโตแซ่เหอรีบประจบประแจงมารดาแซ่เหอ บุตรคนโตแซ่เหอไอหนึ่งครา กล่าวกับเหอจังหมิง “เหล่าเอ้อร์ เจ้าเชื่อฟังท่านแม่ของเราไม่มีผิดพลาดหรอก”

 

 

ในใจมารดาแซ่เหอพอใจ ชื่นชมภรรยาลูกชายคนโตที่เชื่อฟังกตัญญู แม้ว่านางจะเป็นหญิงชราในชนบท แต่กลับแต่งงานกับสามีที่ป่วยออดแอด ดังนั้นนางจึงมีอำนาจตัดสินใจในตระกูลเหอ สิ่งที่น่าพอใจที่สุดในชีวิตของนางก็คือการตัดสินใจส่งบุตรชายคนเล็กไปเรียนหนังสือ ตอนแรกเพื่อนบ้านต่างก็หัวเราะเยาะที่นางใฝ่สูง ดูสิว่าตอนนี้นางกลายเป็นแม่ของใต้เท้านายอำเภอแล้วมิใช่หรือ ซ้ำยังใช้ชีวิตที่ดีมีบ่าวให้เรียกใช้อีกด้วย

 

 

นึกถึงตรงนี้นางก็กล่าวต่อ “พวกเราไม่ใช่ว่ายังต้องคืนสินเดิมอีกหรือ มีหลินเจี่ยเอ๋อร์ลดความตึงเครียดอยู่ตรงกลาง พวกเขาจะยังบีบบังคับเจ้าจนหมดหนทางได้อีกหรือ”

 

 

มารดาแซ่เหอไม่คิดจะคืนสินเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งหมดล้วนใช้หมดแล้ว พวกเขาจะทำอะไรนางได้อีก

 

 

ก่อนหน้านี้เหอจังหมิงยังคงลังเล เมื่อได้ยินเหตุผลแล้วเขาก็ผ่อนคลายลง ใช่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดาของหลินเจี่ยเอ๋อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีกับบ้านฝั่งมารดา หากเห็นแก่หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็ต้องไว้หน้าตนบ้างใช่หรือไม่

 

 

เหอจังหมิงกับมารดาแซ่เหอคิดไว้ดียิ่งนัก ทว่าพวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าเสิ่นเวยจะเป็นคนที่ไม่ไว้หน้าคนอื่น จากมุมมองของเสิ่นเวย ต่างก็หย่ากันแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องเอาของของข้าที่กินเข้าไปคายออกมาให้หมด เอาของของข้าคืนกลับมาให้ข้า ไว้หน้าหรือ นั่นเป็นสิ่งใดกัน เสิ่นเวยไม่เคยเห็นมาก่อนเลย