บทที่ 1031 ชีวิตข้า - ข้าลิขิตเอง

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ชีวิตข้า..ข้าลิขิตเอง!
  หลังจากตอบโม่วู๋เตาไปแล้วหลิงหยุนก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองโม่วู๋เตาอย่างพินิจพิจารณา..
  นั่นเพราะโม่วู๋เตาเป็นเพียงนักพรตตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นแต่กลับกล้ายืนประจันหน้ากับหลิงหยุนอย่างไม่เกรงกลัว และยังกล้าอบรมสั่งสอนหลิงหยุนถึงสิ่งที่ไม่ควรทำอีกด้วย!
  เมื่อเห็นโม่วู๋เตาที่ดูเหมือนจะโกรธจนหน้าตาบูดบึ้งเคร่งเครียดเช่นนั้นหลิงหยุนจึงได้แต่นึกขันอย่างมาก และแสร้งทำเป็นถามกลับไปว่า..
  “ข้าทำอะไรงั้นรึข้าทำอะไรที่เป็นการฝืนกฏสวรรค์บ้าง? เจ้าพูดมา..”
  โม่วู๋เตาโมโหจนปากคอสั่นและร่ำล่ำระลักพูดออกไปทันที “หลายวันมานี้ข้าได้ฟังเรื่องที่เจ้าช่วยผู้คนให้หลุดพ้นจากความตายมากมาย.. เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่”
  หลิงหยุนพยักหน้ายอมรับและคนที่เขาช่วยชีวิตไว้นั้น แต่ละคนก็ล้วนมีอาการสาหัสชนิดที่เรียกว่าดวงวิญญาณไปจ่ออยู่ที่ประตูยมโลกแล้ว และเขาเป็นผู้ที่ไปช่วงชิงดวงวิญญาณเหล่านั้นกลับมา…
  “ถูกต้อง!ก็ข้าเป็นหมอ.. ย่อมมีหน้าที่รักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ใช่รึ หรือเจ้าคิดว่าข้าควรปล่อยให้คนไข้ตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วย?” หลิงหยุนถามโม่วู๋เตาพร้อมกับยิ้มให้..
  โม่วู๋เตาถึงกับนิ่งอึ้งไป!และไม่สามารถโต้เถียงหลิงหยุนได้ จึงได้แต่พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก..
  “เอาล่ะ..แล้วเรื่องที่เจ้าใจดีแจกเงินจำนวนห้าแสนหยวนให้กับเพื่อนร่วมชั้นเกือบร้อยคนนั่นล่ะ เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่”
  หลิงหยุนพยักหน้ายอมรับอีกครั้งพร้อมกับตอบไปว่า“ถูกต้อง.. ข้ามอบเงินให้กับเพื่อนๆทุกคนจริง!”
  “ในคืนนั้น..ทุกคนเห็นว่าข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงพากันฝ่าพายุฝนมาจนร่างกายเปียกปอนเป็นลูกนก พวกเขารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจากผู้มีอำนาจบารมีอย่างผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน ในเมื่อทุกคนทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้ หากข้า – หลิงหยุนไม่ตอบแทนพวกเขากลับไปบ้าง เจ้าว่ามันถูกต้องแล้วหรือ”
  โม่วู๋เตากัดฟันแน่นเขาจ้องมองหลิงหยุนราวกับกำลังจ้องมองภูตผีปีศาจ จากนั้นจึงส่ายหน้าไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “การที่เจ้าตอบแทนน้ำใจเพื่อนร่วมชั้นนั้นย่อมไม่ผิดแน่..แต่สิ่งที่เจ้าทำนั้นมันมากเกินไปต่างหาก!”
  “จู่ๆเจ้ามอบเงินจำนวนห้าแสนหยวนให้คนเกือบร้อยเช่นนั้น ไม่เท่ากับว่าเจ้าได้ทำการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนเกือบร้อยครอบครัวอย่างนั้นรึ ”
  หลิงหยุนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ“ก็อาจเป็นได้..”
  เมื่อได้เห็นท่าทางของหลิงหยุนที่ดูเหมือนจะไม่แยแสกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปนั้นโม่วู๋เตาก็ถึงกับเดือดดาลมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงพูดต่อ..
  “เอาล่ะ..เรื่องเก่าข้าจะไม่พูดถึง! แต่นี่เจ้าเพิ่งจะผ่านทัณฑ์สวรรค์มาได้แท้ๆ และเพิ่งจะฟื้นคืนสติกลับมาได้ไม่ทันไร เจ้าก็ทำใจกว้างเที่ยวแจกเงินคนยากคนจนถึงครอบครัวละหนึ่งล้านหยวน..”
  “นี่เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าเจ้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุขก่อนจะตอบโม่วู๋เตาไปว่า “ที่ข้ามอบเงินจำนวนนั้นให้กับพวกเขา.. เพราะเชื่อว่ามันจะสามารถช่วยให้หลายครอบครัวข้ามผ่านความยากจน และความยากลำบากในชีวิตไปได้ อีกทั้งยังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน!”
  โม่วู๋เตาถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายสิ้นหวังพร้อมกับกระทืบเท้ากับพื้นด้วยความโมโห และในที่สุดก็อดที่จะตำหนิหลิงหยุนออกมาไม่ได้
  “เจ้าใจกว้างเป็นแม่น้ำไล่แจกเงินคนยากไร้เช่นนี้เจ้ายังไม่รู้ตัวว่าได้ทำความผิดอีกงั้นรึ”
  “หลิงหยุน..ไม่ว่าเจ้าจะรู้ หรือไม่รู้ก็ตาม! แต่ละชีวิตล้วนมีชะตาชีวิต และชะตากรรมของตนเองทั้งสิ้น!”
  “บางคนถูกกำหนดมาให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากในชีวิตแต่การกระทำของเจ้านั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผู้คนให้เป็นไปในทางตรงกันข้าม เปลี่ยนคนที่ต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้น ให้กลับมีชีวิตที่สุขสบาย..”
  “เช่นนี้แล้ว..สวรรค์จะไม่คิดบัญชีกับเจ้าได้อย่างไรกัน เจ้าต้องถูกสวรรค์หมายหัวแน่ๆ!”
  “มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีอายุขัยของตัวเองแต่เจ้ากลับใช้วิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศของตนเอง ดึงพวกเขากลับจากประตูยมโลก ทำให้พวกเขามีอายุขัยที่ยาวขึ้น และสามารถอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้ได้…”
  เมื่อได้ฟังคำอธิบายของโม่วู๋เตา..คิ้วของหลิงหยุนก็ขมวดเข้าหากันทันที และในแววตานั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาก
  คำพูดของโม่วู๋เตาถูกต้องจริงๆอย่างนั้นหรือ
  โดยปกติทั่วไปนั้นย่อมถูกต้อง!
  หากคนทั่วไปได้มาฟังโม่วู๋เตาสาธยายเรื่องชะตาชีวิตของทุกสรรพสิ่งบนโลกเช่นนี้คงต้องคิดว่าเขาเป็นปรมาจารย์ด้านไสยศาสตร์ที่สูงส่งเป็นแน่..
  แม้แต่หลิงหยุนเองยังรู้สึกว่า..สิ่งที่โม่วู๋เตาพูดมาทั้งหมดนั้นไม่เพียงแค่ถูกต้อง แต่ยังเป็นจริงตามนั้นด้วย!
  เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น..เหตุใดบนโลกใบนี้จึงต้องมีหมอดูทำนวยดวงชะตาด้วยเล่า เหตุใดยังต้องมีศาสตร์อย่างฮวงจุ้ย หรือแม้แต่ศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยเล่า?
  หากไม่มีชะตาชีวิต..ก็ไม่จำเป็นต้องมีหมอดูทำนายดวงชะตา และอาชีพนี้ก็คงสูญสลายไป ไม่สานต่อมาจนถึงทุกวันนี้!
  บางคนเกิดมาในครอบครัวร่ำรวยมีอันจะกินไม่เคยต้องอดต้องอยากเลยสักครั้ง เป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งตาย..
  ในขณะที่บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแร้นแค้นต้องอดอยากตั้งแต่เกิด ไม่เคยได้กินอิ่มท้องจนกระทั่งตาย..
  นี่จึงเป็น..ชะตาเกิด!
  บางคนเกิดมามีสุขภาพแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ไม่ว่าจะเที่ยวกินดื่มอย่างไร หรือไม่แม้แต่จะสนใจดูแลสุขภาพร่างกาย แต่ในชีวิตกลับไม่เคยเจ็บป่วยเลยสักครั้ง หนำซ้ำยังมีชีวิตยืนยาวจนถึงอายุแปดสิบปี..
  ในขณะที่บางคนเกิดมาก็มีโรคภัยเต็มตัวอยู่ในโลกได้เพียงแค่สองสามปีก็เสียชีวิต หรือไม่ก็มีอายุสั้น หนำซ้ำยังต้องทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอีกด้วย..
  นี่จึงเป็น..ชะตาชีวิต!
  แต่บางคนเกิดมาเพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกบางคนก็เกิดมาเพื่อเจ้าแผ่นดิน บางคนก็เกิดมาเพื่อที่จะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่งในวันข้างหน้า แต่ก็มีหลายคนที่เกิดมาเพื่อมีชีวิตตกต่ำ ไม่เป็นที่รู้จักของใครเลยด้วยซ้ำไป..
  นี่จึงเป็น..ชะตากรรม!
  และเหตุใดทุกชีวิตบนโลกใบนี้จึงมีชะตาเกิด ชะตาชีวิต และชะตากรรมแตกต่างกันเล่า หากจะพูดอย่างงมงายไร้เหตุผลก็คือ.. มีอำนาจที่มองไม่เห็นควบคุมสิ่งเหล่านี้อยู่!
  และเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้โม่วู๋เตาอธิบายหรือย้ำเตือน ตัวเขาเองย่อมรู้ดีกว่าใครๆ ไม่เช่นนั้นหลิงหยุนคงไม่เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้ง ด้วยแววตาที่ใครก็ยากจะเข้าใจ!
  หากทำสิ่งที่สวรรค์ไม่อาจยอมรับได้ก็ยากนักที่ผู้ใดจะรับมือกับการลงทัณฑ์ได้เช่นกัน!
  กฎสวรรค์คืออะไรกันมันมีอยู่จริงอย่างนั้นหรือ?
  แต่แล้วหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นห้ามโม่วู๋เตาที่กำลังส่งเสียงดังด้วยความโกรธเขายิ้มออกมาเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า
  “โม่วู๋เตา..ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้ากำลังจะบอกข้า!”
  “แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า..ข้าอาจเป็นผู้ที่สวรรค์ลิขิตให้มาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต และชะตากรรมของคนเหล่านั้นก็ได้!”.novel-lucky.
  การที่หลิงหยุนถามคำถามเช่นนี้กับโม่วู๋เตาก็เพราะว่า..ในเมื่อมีคนเช่นหลิงหยุนเกิดมาบนโลกใบนี้ และสามารถทำเรื่องที่น่าอัศจรรย์ได้มากมายถึงเพียงนี้ ใครบ้างที่กล้าพูดว่านี่ไม่ใช่ลิขิตสวรรค์
  “เอ่อ..”
  โม่วู๋เตาถึงกับอึ้งไป..เขายกมือขึ้นเกาศรีษะตนเอง และไม่สามารถตอบคำถามของหลิงหยุนได้..
  ถังเมิ่งและคนอื่นๆที่ยืนฟังหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาคุยกัน ต่างก็พากันครุ่นคิดไปด้วย ถังเมิ่งถึงกับต้องควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ..
  หลังจากที่ยืนครุ่นคิดอย่างหนักและนิ่งเงียบไปนาน โม่วู๋เตาจึงตอบกลับไปว่า “เอาล่ะ.. เรื่องนี้ข้ายอมรับว่าไม่สามารถโต้เถียงเจ้าได้!”
  “แต่การที่เจ้าพลิกชะตากรรมและชะตาชีวิตของผู้คนมากมายเช่นนี้ สวรรค์ต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
  “การที่เจ้าต่ออายุขัยให้ผู้อื่น..สวรรค์ก็จะลดทอนอายุขัยของเจ้าแทน! และการที่เจ้าพลิกชะตาผู้อื่นให้พวกเขาไม่ต้องรับความทุกข์ยากนั้น สวรรค์ก็จะให้เจ้าลิ้มรสความทุกข์ยากเหล่านั้นแทน!”
  “คำพูดของข้า..เจ้าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตามใจ!”
  โม่วู๋เตายังมีคำพูดอีกมากมายที่ต้องการจะพูดเพียงแต่มันเป็นความลับของสวรรค์ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจแพร่งพรายได้ โม่วู๋เตาจึงทำได้เพียงแค่ตักเตือนหลิงหยุนเท่านั้น..
  โม่วู๋เตารู้ดีว่าสิ่งที่หลิงหยุนทำลงไปนั้นล้วนแล้วแต่จะทำให้ชะตาชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป!
  หลังจากที่ฟังโม่วู๋เตาพูดจนจบ..หลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “นักพรตน้อย..ขอบใจเจ้ามากสำหรับคำเตือน! แต่หากจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าย่อมยอมรับด้วยความเต็มใจ เพราะข้ารู้ดีอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น!”
  หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งหลิงหยุนจึงพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัว “ในเมื่อรู้ทุกอย่างดีแล้ว แต่ยังทำสิ่งเหล่านี้ ย่อมบ่งบอกว่าข้าไม่มีความหวาดกลัวใดๆต่อ…”
  ชะตากรรม..หรือว่าอสุนีบาต!
  โม่วู๋เตาเพียงแค่คิดอยู่ในใจแต่ไม่พูดออกมาและได้แต่จ้องมองหลิงหยุนนิ่งเงียบ…
  จากนั้นหลิงหยุนจึงแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนหันไปมองโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดต่อว่า
  “มีสองเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องย้ำกับเจ้า..”
  “เรื่องแรก..ชีวิตของข้า – หลิงหยุนจะยืนยาวอย่างมาก!”
  “และเรื่องที่สอง..ข้า – หลิงหยุนเกิดมาก็ปราศจากความกลัวต่อความทุกข์ยากใดๆทั้งสิ้น! นั่นเพราะข้าได้รับความทุกข์ยากมามากพอแล้ว มากเกินกว่าที่เจ้าจะคาดคิดเชียวล่ะ..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็เอื้อมมือไปตบบ่าโม่วู๋เตาเบาๆและพูดต่อว่า “ด้วยเหตุนี้.. ข้าจึงไม่เกรงกลัวว่าสวรรค์จะลดทอนอายุขัยของข้า และไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อยหากสวรรค์จะโยนความทุกข์ยากของผู้อื่นใส่หัวข้า!”
  “การช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเรียกว่ากรรมดี ในเมื่อเป็นกรรมดี.. ข้าทำแล้วย่อมมีความสุข! และในเมื่อข้ามีความสุข ใยข้าต้องไปสนกฎสวรรค์อะไรอีกเล่า”
  โม่วู๋เตาได้ฟังคำพูดอหังการของหลิงหยุนก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้แต่เสื้อคลุมสีเทาก็ถึงกับสะบัดไหว เขาจ้องมองหลิงหยุนด้วยความตกตะลึง และพึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ..
  “เจ้า..นี่เจ้ากำลังท้าทายสวรรค์!”
  หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..‘ที่ข้าฝึกฝนอยู่ทุกวันนี้ก็นับว่าเป็นการท้าทายสวรรค์อยู่แล้ว..’
  หลิงหยุนยิ้มให้กับโม่วู๋เตาและตอบไปว่า “ในเมื่อนับวันโลกยิ่งไร้มนุษยธรรม.. เหตุใดข้าจึงจะท้าทายสวรรค์ไม่ได้เล่า”
  จากนั้น..หลิงหยุนก็หันไปสบตากับทุกคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นโม่วู๋เตา ถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และหวังเฟยฮู๋ ก่อนจะยืดตัวตรงพร้อมกับประกาศกร้าวว่า
  “ชีวิตของข้า..ข้าลิขิตเอง ไม่ใช่สวรรค์เป็นผู้ลิขิต!”
  ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ..
  หากได้มีชีวิตอยู่..แต่กลับไม่กล้าทำในสิ่งที่อยากทำ เช่นนี้แล้วเขาจะฝึกฝนไปเพื่ออะไร นี่คือสิ่งที่หลิงหยุนคิด..
  หลังจากที่โม่วู๋เตานิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เขาก็พูดออกมาสั้นๆเพียงแค่ “เจ้ามันเสียสติ..”
  หลิงหยุนแสร้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินและพูดต่อว่า “ข้าจะช่วยชีวิตผู้คนต่อไป และจะใจกว้างเช่นนี้ไปอีกเรื่อยๆ สิ่งใดที่ทำแล้วมีความสุข ข้าก็จะทำต่อไป! และไม่สนว่าสวรรค์จะยินยอม หรือไม่ยินยอม! ”
  “ข้าเฝ้าเพียรฝึกฝนวิชาอย่างหนักหากไม่สามารถทำสิ่งใดได้ตามใจชอบ และยังต้องยินยอมให้สวรรค์บงการ สู้ให้ข้าตายไปเสียดีกว่า..”
  โม่วู๋เตาได้ฟังก็ถึงกับอึ้งและกัดฟันพูดรอดไรฟันออกมาอย่างประชดประชัน..
  “หึ..ช่างเก่งยิ่งนัก!”