หลิงหยุนช่างน่าทึ่งมากจริงๆ!
ความฝันที่ยาวนานในครั้งนั้นได้หลอมรวมดวงจิต และวิญญาณของหลิงหยุนให้เป็นเอกภาพเดียวกับร่างนี้ได้อย่างที่เขาเองก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อน..
ภาพทัณฑ์สวรรค์ที่เขาได้รับรู้ในความฝันนั้นทำให้เขาได้ตระหนัก และเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น..
นั่นเพราะในความฝันของเขานั้นกลับไม่ปรากฏภาพของทัณฑ์สวรรค์บนเกาะเตียวหยูเลยแม้แต่น้อย!
หรือพูดง่ายๆก็คือว่า..ทัณฑ์สวรรค์บนเกาะเตียวหยูนั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฏสวรรค์!
ทัณฑ์เมฆาทั้งเก้าสี!
สมุดจักรพรรดิพู่กันจักรพรรดิ หม้อเสินหนง กระบี่โลหิตแดนใต้ กระบี่มังกรขาว ต่างก็พุ่งออกมาจากแหวนพื้นที่เพื่อรับทัณฑ์เมฆาทั้งเก้า..
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ทัณฑ์สวรรค์ที่ไม่ควรจะต้องเกิด และไม่สามารถอธิบายได้นั้น ยังเปรียบเสมือนเงาดำในจิตใจของหลิงหยุน..
และนั่นก็คือปัญหาใหญ่!
เพียงแต่ในเวลานั้นขั้นของหลิงหยุนยังนับว่าต่ำมากเขาจึงไม่ต้องการครุ่นคิดหาคำตอบ..
แต่ตอนนี้เขาเขาสู่ขั้นพลังชี่ได้แล้วยิ่งไปกว่านั้นขั้นของเขายังมั่นคงอย่างมากด้วย และหากเทียบกับเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ความแข็งแกร่งในขั้นพลังชี่เมื่อยู่ในโลกใบนี้ กลับมีพลังที่เหนือกว่าและแข็งแกร่งกว่ามาก!
ถึงแม้ว่าเวลานี้หลิงหยุนจะยังไม่สามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งทั้งหมดกลับคืนมาได้แต่เขาก็มั่นใจว่ามันจะเป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรนัก..
และเป้าหมายของหลิงหยุนบนโลกใบนี้ก็คือ..การบ่มเพาะตนให้ไปจนถึงขั้นเดียวกับเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อถึงตอนนั้นเขาเชื่อมั่นว่าตนเองจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะถึงร้อยเท่า!
และเมื่อถึงเวลานั้น..ต่อให้เขาต้องพบเจอกับสายฟ้าเทวะที่รุนแรงกว่าครั้งนั้นนับสิบเท่า เขาก็จะสามารถข้ามผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน!
และนี่คือความหมายของคำพูดที่ว่า‘ชีวิตข้า – ข้าลิขิตเอง’ อย่างแท้จริง!
“พี่หยุน..พี่นี่เจ๋งจริงๆ! นับวันฉันยิ่งเคารพ และศรัทธาพี่มากขึ้นเรื่อยๆ”
ถังเมิ่งพ่นควันบุหรี่ออกจากปากและหันไปยกนิ้วให้หลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยชมหลิงหยุนจากใจจริง..
หลิงหยุนเหลือบมองถังเมิ่งและถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถังเมิ่ง.. นายก็ยังประจบประแจงเก่งเหมือนเดิมสินะ!”
ถังเมิ่งไม่สนใจคำพูดล้อเลียนของหลิงหยุนและได้แต่หัวเราะออกมา..
ส่วนตี้เสี่ยวอู๋กับหวังเฟยฮู๋นั้นได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา และสีหน้าของทั้งคู่ที่จ้องมองหลิงหยุนนั้น ก็บ่งบอกว่าตกใจและทึ่งมาก..
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้หน้าถังเมิ่งแล้วจึงหันไปชี้หน้าโม่วู๋เตาพร้อมกับย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ชะตาชีวิตของเขารวมทั้งของเจ้าด้วย.. จะเปลี่ยนแปลงด้วยมือของข้า!”
“โม่วู๋เตา..การที่เจ้าเรียกดวงวิญญาณของข้ากลับเข้าร่างนั้น เจ้าต้องแลกมาด้วยอายุขัยของตนเองที่ต้องสั้นลงถึงสามปีไม่ใช่รึ”
ทันทีที่หลิงหยุนพูดออกมาทั้งถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และหวังเฟยฮู๋ ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที!
อะไรนะโม่วู๋เตาต้องอายุสั้นลงอีกสามปีเชียวหรือ?
แววตาของถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังจ้องมองโม่วู๋เตานั้น เต็มไปด้วยคำขอบคุณ และความซาบซึ้งใจ ทั้งคู่คิดไม่ถึงว่าโม่วู๋เตาจะยอมใช้อายุขัยของตนเองสามปีแลกกับการช่วยชีวิตของหลิงหยุน!
แน่นอนว่าโม่วู๋เตาเองก็ตกใจไม่ต่างจากคนอื่นๆเขาไม่รู้ว่าจะวางตัวเช่นไรต่อไป และได้แต่ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!
“ห๊ะ!นี่.. เรื่องนี้เจ้าก็รู้อีกงั้นรึ?”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอื้อมมือไปตบบ่าโม่วู๋เตาและพูดขึ้นว่า “ขอบใจเจ้ามาก!”
“เจ้าจดจำคำพูดของข้าไว้ให้ดี..ข้า – หลิงหยุนจะทำให้เจ้าได้มีอายุยืนยาวขึ้นอีกสามสิบปี!”
หลิงหยุนพูดออกไปเช่นนั้นแต่ในใจกลับคิดว่า ‘ข้าสามารถทำให้เจ้าอายุยืนยาวได้ถึงสามร้อยปีเลยทีเดียว…’
แต่เพราะถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ยังคงอยู่ในห้องรับแขกด้วยหลิงหยุนจึงไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเกรงว่าทั้งคู่อาจจะรับไม่ได้..
“สาม..สามสิบปีงั้นรึ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
โม่วู๋เตาพึมพำออกมาอย่างงุนงงและนิ่งไปชั่วขณะ นั่นเพราะคำพูดของหลิงหยุนได้ทำลายความรู้ความเข้าใจที่เขาเคยเล่าเรียนมาจนหมดสิ้น..
หลิงหยุนนั่งกลับลงไปบนโซฟาพร้อมกับพูดยิ้มๆ“ในวันข้างหน้าเจ้าก็จะรู้เอง..”
“เอาล่ะ..ทุกคนนั่งลงคุยกันจะดีกว่า!”
หลิงหยุนเอ่ยปากเรียกทุกคนให้นั่งลงจากนั้นจึงหันไปพูดกับโม่วู๋เตาอีกครั้ง..
“เอาล่ะสหายโม่วู๋เตา..เจ้าถามคำถามข้าไปตั้งมากมายแล้ว ครั้งนี้เป็นคราวของข้าที่จะถามเจ้าบ้าง..”
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า..เพราะเหตุใดข้าจึงพาเจ้ากลับมาที่บ้านด้วย”
โม่วู๋เตาเกาศรีษะพร้อมกับทำท่าทางกระอักกระอ่วนก่อนจะตอบไปว่า “เจ้าบอกให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาตัวเอง! แล้วจากนั้นข้าก็จะเข้าใจทุกอย่าง..”
หลิงหยุนยิ้มและพูดขึ้นว่า“ถูกต้อง!”
“เรื่องที่ข้าสังหารหลิวเต๋อหมิงและศิษย์พี่ร่วมสำนักของเจ้านั้น เจ้าบอกกับข้าว่าไม่คิดที่จะแก้แค้น เพียงแค่อยากรู้ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงต้องสังหารพวกเขา..”
“ในเมื่อเจ้าเองก็ได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเองแล้ว!ตอนนี้ข้าขอถามเจ้ากลับว่า เจ้าเข้าใจหรือยังว่าเพราะเหตุใดข้าจึงต้องสังหารศิษย์ร่วมสำนักของเจ้า”
การที่หลิงหยุนพาโม่วู๋เตากลับมาที่บ้านด้วยนั้นก็เพราะต้องการให้เขาค้นพบคำตอบของคำถามนั้นด้วยตัวเอง!
โม่วู๋เตากรอกตาไปมาพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่นในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว! พวกเขาเป็นฝ่ายบุกมาหาเจ้าเอง ในเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งไม่พอ จึงได้ถูกเจ้าสังหาร..”
นี่คือความจริงที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆแทบไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำไป น้ำเสียงของโม่วู๋เตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และสีหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกผิด..
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อยและอธิบายต่อว่า “ครั้งนั้นข้าอยู่จิงฉู.. หากศิษย์พี่ของเจ้าไม่มาหาข้าถึงที่นี่ ไม่แน่ว่าตลอดชีวิตของข้า.. ข้าเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร เช่นนี้แล้ว.. ข้าจะไปฆ่าพวกเขาได้อย่างไรกัน”
“แต่ในเมื่อพวกเขามาหาเรื่องข้าถึงที่บ้านเจ้าตอบข้าทีสิ.. ว่าข้าควรต้องปราณีพวกเขาหรือไม่”
“ในการต่อสู้นั้น..หากพวกเขาไม่ตาย ก็เป็นข้าที่ต้องตาย!”
“เช่นเดียวกับในคืนที่ข้ารับทัณฑ์สวรรค์..ยอดฝีมือกว่าร้อยคนที่บุกเข้ามาในบ้านของข้า แต่ละคนนั้นข้าเองก็ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำไป แต่ในเมื่อพวกมันบุกเข้ามารังแกคนที่ข้ารัก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงของข้า พี่น้องของข้า หรือสหายของข้า…ไอลีนโนเวล.
“เช่นนี้แล้ว..จะไม่ให้ข้าลงมือสังหารพวกมันได้อย่างไรกันเล่า”
“เจ้าคงไม่คาดหวังว่าข้าจะเพียงแค่เอาชนะพวกมันแล้วเมตตาปล่อยพวกมันกลับไป หรือเลิกแล้วต่อกันหรอกนะ!
“เพราะในความเป็นจริงย่อมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้! ความอ่อนแอคือเหยื่ออันโอชะ ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเป็นที่ยำเกรง ในเมื่อพวกมันสังหารข้าไม่สำเร็จ พวกมันก็ต้องตาย..”
หลิงหยุนร่ายยาวจนจบในคราวเดียวจากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับโม่วู๋เตา และถามขึ้นว่า
“ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะพอเข้าใจเหตุผลข้อนี้อยู่บ้าง”
โม่วู๋เตาไม่ใช่คนโง่..ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงเร่งขึ้นไปบนยอดเขาหลงหู่เช่นเดียวกับยอดฝีมือคนอื่นๆแน่ อีกทั้งยังได้ครุ่นคิดเรื่องนี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้วเช่นกัน..
ไม่ว่าจะเป็นบนยอดเขาหลงหู่หรือบ้านเลขที่-1 นั้น การที่หลิงหยุนต้องสังหารเหล่าชาวยุทธ ก็เพราะว่าคนเหล่านั้นต้องการที่จะเอาชีวิตของเขาก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้.. หลิงหยุนจึงต้องสังหารคนเหล่านั้น.. นี่ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ยากเลย!
เช่นเดียวกับหลิวเต๋อหมิงและศิษย์พี่ของเขาหลิงหยุนสังหารพวกเขาก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้..
“ข้าจะกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ทราบ!”โม่วู๋เตาก้มหน้า และตอบออกไปตามความจริง..
แล้วความคับข้องบาดหมางในใจระหว่างหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาหรือแม้แต่กับสำนักเหมาซาน ก็ได้มลายหายไปจนสิ้น..
“แล้วนี่เมื่อไหร่เจ้าจึงจะกลับสำนักเหมาซาน”หลิงหยุนเปลี่ยนเรื่องคุยกับโม่วู๋เตา
โม่วู๋เตาจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ“อะไรกัน.. เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้ หรือเจ้าไม่พอใจจะให้ข้าอาศัยอยู่ที่นี่?”
ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังคำพูดของโม่วู๋เตาก็ได้แต่หันไปมองหน้ากัน และแอบคิดในใจว่า ‘รู้เลยว่าหมอนี่กำลังคิดอะไร’
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับผายมือออกเป็นการเชิญชวนแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ก็ถ้าเจ้าไม่กลัวตาย..อยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ได้ เชิญตามสบาย! ข้ารับรองว่าไม่มีใครขับไล่ไสส่งเจ้าแน่..”
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยินยอมให้ตนเองอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้โม่วู๋เตาถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข..
แต่แล้วหลิงหยุนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นในระหว่างที่จ้องมองเสื้อคลุมสีเทาสกปรกมอมแมมของโม่วู๋เตา แล้วจึงพูดขึ้นว่า..
“เสื้อผ้าของเจ้าสกปรกมอมแมมถึงเพียงนี้..เจ้าช่วยเอาใจใส่กับสุขอนามัยของตนเองด้วยจะได้หรือไม่”
ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋เคยพูดเรื่องความสะอาดกับโม่วู๋เตาไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งและเมื่อได้ยินหลิงหยุนย้ำเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งคู่ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของโม่วู๋เตา..
แต่คิดไม่ถึงว่าโม่วู๋เตาจะตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจ“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ข้าไม่เคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพเลยสักครั้ง ความสกปรกพวกนี้ทำอะไรข้าไม่ได้เลย แม้แต่น้อย..”
ยังไม่ทันที่โม่วู๋เตาจะพูดจบประโยคดีหลิงหยุนก็รีบขัดขึ้นพร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ท่านหวัง..คืนนี้ท่านช่วยจัดาการดูแลโม่วู๋เตาให้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วย หากเขาไม่ยอม ก็จับไปโยนทะเลสาบจิงฉู ปล่อยให้เขาลอยคออยู่ในน้ำสักสามวันสามคืน!”
หวังเฟยฮู๋ถึงกับหัวเราะเสียงดังและพูดขึ้นว่า “คุณชายหลิง.. ท่านไม่ต้องห่วง! ความจริงไม่ต้องถึงกับจับไปโยนทะเลสาบจิงฉูหรอก หากเขาไม่เชื่อฟัง.. ข้าจะลากตัวออกไปที่สวนด้านนอก และจัดการใช้น้ำฉีดตามร่างกาย!”
โม่วู๋เตาหันไปมองหน้าทุกคนและได้แต่คิดว่าคืนนี้ตนเองคงต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน เขาก้มลงสำรวจชุดนักพรตที่สวมอยู่พร้อมกับพึมพำเสียงเบา
“สหาย..เจ้าอยู่ติดตัวข้ามาตลอดเวลาหลายปี ไม่เคยต้องแยกจากกันเลย ขนาดท่านอาจารย์สั่งให้ข้าซักล้างทำความสะอาดเจ้า ข้ายังไม่ยอมทำเลย แต่ครั้งนี้.. ดูท่าข้าคงจะเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว!”
ภายในห้องนั่งเล่นมีเสียงหัวเราะดังกระหึ่มขึ้นมาพร้อมกันทันที..
จากนั้น..หวังเฟยฮู๋ก็พาโม่วู๋เตาไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เวลานี้จึงเหลือเพียงหลิงหยุน ถังเมิ่ง แล้วก็ตี้เสี่ยวอู๋เท่านั้น
“พี่หยุน..ท่อนไม้สองท่อนในห้องเก็บของพี่คิดจะจัดการยังไง”
ท่อนไม้สองท่อนที่ถังเมิ่งพูดถึงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..นักบวชเลี่ยยื่อแห่งเขาหลงหู่ และโอรถพรรคมารซือกงวู่จี๋!
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป“สองคนนั้นนับว่าเป็นชาวยุทธระดับหัวแถว และคงต้องรู้เรื่องราวความลับในประเทศนี้มาก พวกมันยังมีประโยชน์กับฉัน..”
“ถังเมิ่ง..นายหยุดทรมานพวกมันทั้งคู่ได้แล้ว ขืนนายยังคงทรมานพวกมันแบบนั้นต่อไป พวกมันคงต้องตายแน่!”
“เอ่อ..ฉันเข้าใจแล้วพี่หยุน”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับกับเอ่ยถาม“เสี่ยวอู๋.. แล้วนายล่ะ หลังจากผ่านเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”
แม้ว่าตี้เสี่ยวอู๋จะสามารถข้ามขั้นได้ถึงสามขั้นเช่นนี้ในสายตาของผู้อื่นอาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว กลับเป็นเรื่องปกติ..
นั่นเพราะ..ที่ผ่านมาหลิงหยุนเองก็ลงทุนกับตี้เสี่ยวอู๋ไปมาก!
“พี่หยุน..น้าฉินบอกกับฉันว่าการที่ฉันเข้าสู่ขั้นสูงขึ้นได้แบบนี้ จะมีแต่เป็นผลดี ไม่มีผลเสีย!”
“ความรู้สึกของฉันตอนนี้..ก็ดีมาก! ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย น่าประหลาดจริงๆ!”