บทที่ 2214 เขาไม่ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น…
เสียงในสมองเธอเสมือนถูกกั้นด้วยน้ำ ค่อนข้างอื้ออึงเลือนราง แต่น่าประหลาดที่เธอได้ยินบทสนทนาทั้งหมดชัดเจนดี ถึงขั้นที่เธอสามารถแยกได้เลยว่าเป็นเสียงที่พูดคุยกันคือหนึ่งหญิงหนึ่งชาย…
และผู้หญิงคนนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นตัวเธอเอง!
แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นใครล่ะ? เป็นใคร?
ฟังจากบทสนทนานี้ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ธรรมดา คล้ายจะเป็นคู่รัก…
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะใช่ตี้ฝูอีไหม?
ไม่เหมือนเลย!
ตี้ฝูอีบอกว่ารู้จักกับเธอมาตั้งแต่เล็ก หมั้นหมายกันมานานแล้ว ยังบอกด้วยว่าตอนอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนวรยุทธ์ของเธอยังสูงกว่าเขาเสียอีก
แต่ฟังจากบทสนทนานี้ ทั้งสองคนดูคล้ายจะเป็นประเภทไม่ต่อยตีไม่รู้จัก วรยุทธ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นก็เห็นได้ชัดว่าสูงกว่าเธอมากมายนัก…ถึงขั้นที่วรยุทธ์บางส่วนของเธอก็ได้รับการถ่ายทอดจากเขา คล้ายเป็นกึ่งอาจารย์กึ่งคนรัก…
ทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ตี้ฝูอีพูดปดหรือ?
หรือว่าเรื่องของตนกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเพียงละครรักฉาบฉวยฉากหนึ่ง? แม้แต่ตี้ฝูอีก็ไม่ทราบเรื่องเช่นกัน?
แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นบอกว่า เธอกับเขาเป็นคู่หมั้นกัน…
ที่แท้เมื่อก่อนเธอเคยหมั้นหมายมากี่ครั้งกัน?!
ปลายนิ้วเธอเย็นเฉียบ ยกมือลูบหน้าตัวเอง รู้สึกว่าตนไม่ใช่คนโลเลหลายใจ จะหมั้นหมายกับสองตระกูลได้อย่างไร?
หรือตนจะถอนหมั้นกับตี้ฝูอีไปแล้ว จากนั้นก็รู้จักกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แล้วเกิดความรักกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
แต่เธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายร้าวฉานกันได้ยังไงล่ะ? ทำไมเธอถึงกลับไปอยู่ข้างกายตี้ฝูอีอีกครั้ง?
ข้อสันนิษฐานนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในสมองเธอ เธอคิดจนปวดหัวแล้ว! อดไม่ได้จะยกมือนวดหว่างคิ้ว
เธอรู้ว่ายังมีอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งที่น่าเชื่อถือยิ่งนัก นั่นก็คือก่อนจะความจำเสื่อมเธอชมชอบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย และคบหาดูใจอยู่กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ส่วนตี้ฝูอีก็ชอบเธอ ฉวยโอกาสที่เธอความจำเสื่อมหลอกลวงเธอ ทำให้เธอกลายเป็นสามีภรรยากับเขาจริงๆ…
ข้อสันนิษฐานสุดท้ายนี้ทำให้หัวใจเธอบีบตัวแน่นขึ้นมา
เธออดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ เมื่อคืนคล้ายว่าเธอจะถามเรื่องทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปประโยคเดียว ตี้ฝูอีก็เย็นชาลงทันที…
หรือว่า…
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่มีความทรงจำเหล่านั้น แต่ความสามารถเชิงตรรกะประมวลหาเหตุผลของเธอแข็งแกร่งนัก ยามนี้นำเรื่องราวทั้งหมดมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้วใคร่ครวญดู ก็คาดเดาความจริงเกือบทั้งหมดออกแล้ว…
แต่ความจริงนี้โหดร้ายเกินไป จิตใต้สำนึกเธอต่อต้านอย่างยิ่ง!
ตี้ฝูอีไม่ทำหรอก เขาไม่ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น…
เป็นตนคิดมากไป! ต้องคิดมากไปแน่ๆ!
หัวหน้าเผ่าเคยบอกว่ายามปกติเธอมักจะคิดมากเกินไป มีจุดอ่อนตรงที่ขี้ระแวงมากไป
จุดอ่อนนี้ไม่ดีเลย เธอจะต้องเปลี่ยนแปลง!
‘เขาดีกับข้าถึงเพียงนี้ และข้าก็มีความรู้สึกต่อเขายิ่งนัก ยามอยู่กับเขาก็อบอุ่นใจมาก รู้สึกอย่างยิ่งว่าหาที่พึ่งพาพบแล้ว ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ให้ผู้ใดมาก่อนเลย…ข้าต้องเชื่อใจเขา อย่าคิดว่าเขาเลวร้ายเช่นนั้น…’
กู้ซีจิ่วพยายามปลอบประโลมตัวเองเช่นนี้อยู่ในใจ
“กรรซ์…”
มีเสียงสัตว์คำรามแว่วมาจากที่ไกลๆ ทำให้ต้นไม้ใหญ่ที่กู้ซีจิ่วพิงร่างอยู่สั่นสะเทือน
กู้ซีจิ่วสูดหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่งดึงสติกลับมา ตบหน้าผากตัวเองทีหนึ่ง!
ตอนนี้มันเวลาไหนกัน เธอยังจะมาสาละวนอยู่กับเรื่องเหลวไหลพวกนี้อีกหรือ! ต้องหาตัวคน! ตามหาตัวคนสิถึงจะสำคัญ!
ว่าแต่เคล็ดหทัยสวรรค์นั้นต้องใช้ยังไงนะ?
เธอความจำเสื่อมขั้นรุนแรง นึกวิธีร่ายเคล็ดทหัยสวรรค์นั้นไม่ออกไปชั่วขณะ เพียงแต่เธอรู้สึกว่าเธอจะนึกออก ตามสัญชาตญาณของเธอรู้สึกว่า เธอคุ้ยเคยกับเคล็ดหทัยสวรรค์ยิ่งนัก ขอเพียงพยายามนึกอย่างสุดชีวิตก็จะนึกออก…
ขณะที่เธอหลับตาลงใคร่ครวญอย่างละเอียด ก็มีเสียงสัตว์ร้ายคำรามแว่วมาจากที่ไกลๆ อีกครา
“กรรซ์…”
จิตใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว!
เสียงคำรามนี้เป็นเสียงของจูผอหลงที่ครอบครองผลึกวิญญาณ! หรือว่าเขาจะอยู่ที่นั่น?!
————————————————————————————-
บทที่ 2215 รู้สึกวูบโหวงปานย่างเท้าลงบนอากาศ
เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายทันที…
….
ต้นไม้นับไม่ถ้วนหักโค่น ดินหินมากมายปลิวว่อนสู่ฟ้า
ในหมอกแดงกลิ้งตลบมีจูผอหลงขนาดมหึมาตัวหนึ่งอยู่ จูผอหลงตัวนี้ตัวใหญ่ยิ่งนัก สูสีกับกับตัวนั้นที่กู้ซีจิ่วเคยพบในหนแรกเลย เพียงแต่เล็กกว่าตัวนั้นเล็กน้อย
เงาร่างสีม่วงสายหนึ่งกำลังเหินทะยานวนเวียนรอบตัวจูผอหลงตัวนั้น ต่อสู้กันอย่างดุเดือด…
เนื่องจากหมอกแดงหนาทึบยิ่ง สายตาจึงพร่าเลือน และเนื่องจากการเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นว่องไวยิ่ง ด้วยเหตุนี้ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาสายหนึ่ง ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่ได้เห็นใบหน้าคนผู้นี้ชัดเจน…
แต่บุรุษอาภรณ์ม่วงวรยุทธ์เลิศล้ำที่เธอรู้จักมีอยู่แค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือเจ้าเมืองวิปริตผู้นั้น อีกคนก็คือตี้ฝูอี!
เจ้าเมืองวิปริตผู้นั้นต้องพิษอยู่ในเมืองมีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่กำลังเร่งตามหาคนมาแก้พิษอยู่ ไม่ออกมาล่าสัตว์แน่
เช่นนั้นบุรุษชุดม่วงในยามนี้ย่อมต้องเป็นตี้ฝูอี…
ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วใช้วิถีเคลื่อนย้ายต่อเนื่องกันสี่ครั้งเพื่อเข้าไปใกล้ ทันทีที่ได้เห็นฉากนี้ ก็ร้องเรียกไปตามสัญชาตญาณ
“ตี้ฝูอี!”
เงาร่างของบุรุษชุดม่วงที่ต่อสู้พัวพันอยู่รอบตัวจูผอหลงปานธารารินไหลพลันชะงักไปแวบหนึ่ง เหลียวกลับมา
และเป็นเพราะการชะงักครั้งนี้ของเขา ในที่สุดกู้ซีจิ่วจึงได้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนแล้ว ผงะไปแวบหนึ่งเช่นกัน!
คนผู้นี้มิใช่ตี้ฝูอี!
แต่เป็นชายหนุ่มที่มีรูปโฉมเลิศล้ำยิ่งนักคนหนึ่ง
บุคลิกงามสง่าอ่อนโยน มีกลิ่นอายความเป็นปัญญาชน
นี่เป็นความประทับใจแรกที่กู้ซีจิ่วมีต่อบุรุษคนนี้ บุรุษผู้นี้คล้ายคุณชายตระกูลสูงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนกริยามารยาทมาเป็นอย่างดี มองแล้วทำให้คนสบายอกสบายใจยิ่ง อยากคบค้าสมาคมด้วยนัก
กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่รางๆ ว่ารูปโฉมของบุรุษผู้นี้ดูจะคุ้นตาอยู่บ้าง
แต่ถึงแม้จะคุ้นตาแค่ไหนเขาก็ไม่ใช่ตี้ฝูอี กู้ซีจิ่วผิดหวังอย่างยิ่ง รู้สึกวูบโหวงปานย่างเท้าลงบนอากาศ
เธอสูดหายใจเบาๆ คิดจะไปตามหาที่อื่นต่อ
คาดไม่ถึงว่าหลังจากคนผู้นั้นสบตากับเธอแล้ว จะโพล่งนามของเธอออกมา
“ซีจิ่ว!”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
บุรุษที่ราวกับดอกจวินจื่อหลาน[1]ผู้นี้รู้จักเธอด้วยหรือ?
แต่เธอแค่รู้สึกว่าเขาคุ้นตาอยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้รู้จักเขา
บุรุษผู้นี้รูปโฉมโดดเด่นปานนี้ หากว่าเมื่อก่อนเธอเคยเจอจะต้องจำได้ในแวบเดียวแน่นอน
หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือในเมืองลั่วฮวาที่ออกมาล่าสัตว์? เคยพบพานเธอในหมู่ชนมาก่อน?
ไม่สิ ตอนที่เขาเรียกชื่อเธอเรียกอย่างสนิทสนมยิ่ง หากมีวาสนาได้พบหน้ากับเพียงหนเดียว เขาไม่ควรจะเรียกชื่อเช่นนี้…
หรือจะเป็นสหายเก่าที่เธอเคยรู้จักตอนอยู่ดินแดนเบื้องบน?!
กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่วิถีเคลื่อนย้ายชั่วคราว
จูผอหลงตัวนั้นโอหังลำพองอย่างยิ่ง ยามนี้ย่อมไม่อนุญาตให้เหยื่อมารำลึกความหลังอยู่ตรงนี้ ดังนั้นหลังจากมันแผดร้องเสียงยาวคราหนึ่ง ก็โจมตีอย่างดุดันยิ่งขึ้น!
เนื่องจากคนผู้นั้นใจลอยไปชั่วขณะ จึงหวิดจะถูกคมเขี้ยวยาวจูผอหลงตัวนั้นกระชากไปแล้ว!
เขาถอยห่างไปหลายจั้งดั่งวารีรินไหล หลบเลี่ยงการโจมตีอย่างรุนแรงของจูผอหลังได้
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่อสู้โรมรันกันอีกครั้ง
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ไกลออกไปนอกสนามรบ ชมการต่อสู้ครั้งนี้
ชมอยู่ครู่หนึ่งเธอก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอยู่ในใจ วรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงส่งนัก! พลังวิญญาณอย่างน้อยก็ต้องขั้นเก้าแล้ว! เสมอกับตี้ฝูอีในยามนี้…
เธอเพ่งพิศบุรุษผู้นี้อีกครั้ง รูปโฉมของบุรุษคนนี้แตกต่างกับคนที่ถือกำเนิดเติบโตที่นี่ เห็นทีว่าจะมิใช่คนของโลกนี้ หรือเป็นสหายของเธอที่ดินแดนเบื้องบนจริงๆ?
ตี้ฝูอีสามารถลงมาตามหาเธอได้ เช่นนั้นคนอื่นๆ ที่ดินแดนเบื้องบนก็น่าจะลงมาได้เหมือนกันกระมัง?
พบพานสหายเก่าในต่างแดน เดิมทีก็เป็นเรื่องมงคลอย่างหนึ่งในชีวิตคน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสหายเก่าในโลกพิสดารแห่งนี้เลย ช่างเป็นวาสนายิ่งนัก!
ดังนั้นถึงแม้ในใจกู้ซีจิ่วจะยังพะวงถึงตี้ฝูอีที่ไม่ทราบว่าอยู่แห่งหนใด ก็เธอก็ไม่คิดจะจากไปชั่วขณะ
————————————————————————————-
[1] จวินจื่อหลาน เป็นชื่อของดอกลิลลี่สายพันธุ์หนึ่ง เปรียบเปรยถึง ชายรูปงามสูงศักดิ์ทว่าสง่างามอ่อนน้อม