บทที่ 2212 ใครจะเล่นงานใคร 4
ดวงตาเขาโชนแสง หมายจะคว้าอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ยืดแขนออกไป จู่ๆ เบื้องหน้าก็พร่าเลือน ปวดแปลบไปทั้งร่างในทันใด จากนั้นเขาก็ล้มหัวทิ่มพื้นเสียงดังตึง…
แขนขากระดูกไม่มีส่วนไหนไม่เจ็บ ทุกส่วนล้วนเจ็บปวดเสมือนมีดกรีดเฉือน…
กู้ซีจิ่วกอดอกมองเขาอย่างเฉยชา
“สำนึกเสียใจแล้วกระมัง? โชคดีที่ข้ายังทิ้งกระบวนท่าสุดท้ายไว้!”
เย่หลิงที่มีเหงื่อโชกศีรษะถลึงตามองนาง
“อ…อะไรนะ?”
น้ำเสียงกู้ซีจิ่วภาคภูมิผ่าเผย
“อันที่จริงพิษที่ข้าใช้กับเจ้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงพิษธรรมดา แต่โอสถที่มอบให้เจ้ากินเม็ดนั้นสิถึงจะเป็นพิษร้ายขนานแท้”
เย่หลิงตกตะลึง
เด็กสาวเจ้าเล่ห์คนนี้!
กู้ซีจิ่วย่อตัวลง ชื่นชมสภาพจนตรอกเหงื่อชุ่มหัวของเขาครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“อย่างไรก็ตาม เจ้าสบายใจได้เลย พิษนี้จะไม่เอาชีวิตเจ้าภายในระยะเวลาอันสั้นหรอก อย่างมากก็แค่ทำให้เจ้าเจ็บปวดครึ่งชั่วยามทุกวัน เคี่ยวกรำไปเช่นนี้ สามวันให้หลังมันถึงจะเริ่มออกฤทธิ์อย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลาพิษนี้จะกัดกร่อนอวัยวะภายในของเจ้าไปทีละชุ่นๆ จากนั้นก็ค่อยๆลุกลามออกมาภายนอก…”
หยาดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากเย่หลิงผุดขึ้นมากกว่าเดิม
“เจ้า…”
กู้ซีจิ่วหยิบขวดน้อยใบหนึ่งออกมาวางใกล้ๆ เขา
“นี่เป็นโอสถถอนพิษสำหรับสามวัน ทุกครั้งที่เจ้าเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส กินเข้าไปเม็ดเดียวก็จะดีขึ้น แน่นอน โอสถนี้ก็แค่สะกดพิษเอาไว้ชั่วคราว ทำให้เจ้าไม่เจ็บปวดอีกเท่านั้น หากว่าไม่มียาถอนพิษที่แท้จริง เจ้าก็ตายอยู่ดี ตายอย่างน่าอนาถ…”
เย่หลิงกัดฟันจนแทบแตกแล้ว
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ
“ข้าต้องออกไปจัดการธุระ จะกลับมาภายในสามวัน หากว่าคนในเผ่าของข้ายังอยู่ดี ข้าจะมอบยาถอนพิษของจริงให้เจ้า หากว่าคนในเผ่าข้าเกิดเหตุอันใดขึ้น ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ท่านเจ้าเมืองต้องรอคอยความตายอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว!”
ร่างเปล่งแสงวาบ ในที่สุดก็หายตัวไปแล้ว
เย่หลิงโกรธจนตัวสั่นแล้ว ทว่าทำได้เพียงไปจัดการตามที่กู้ซีจิ่วบอก เขายังไม่อยากตาย!
เขาถึงขั้นที่ไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมองออกว่าพลังวิญญาณบนร่างเขาถูกสะกดไว้ โดยเฉพาะคือไม่อาจปล่อยให้อวิ๋นฮูหยินทราบได้ มิเช่นนั้นนางต้องกำจัดตัวหมากอย่างเขาทิ้งแน่นอน…
….
กู้ซีจิ่วนั่งยองๆ อยู่บนคาคบไม้ รัดอาภรณ์ให้กระชับร่าง
เดิมทีเธอคิดจะเฝ้าระวังอยู่ในเมืองตลอดสามวัน แต่ถ้าเธอรั้งอยู่ในเมืองจริงๆ เย่หลิงผู้นั้นจะต้องคิดหาสารพัดวิธีมาเล่นงานเธอ ให้เธอมอบยาถอนพิษให้เขา
ในเมืองล้วนเป็นคนของเขาทั้งสิ้น เธอรั้งอยู่ในเมืองต่อให้ไม่ถูกเขาจับตัว ก็ต้องเหนื่อยยากหนักหนาอยู่ดี ไม่แน่ว่าเย่หลิงอาจจะใช้ชีวิตของชาวบ้านมาบีบให้เธอยอมจำนนก็ได้…
ถ้าเธอออกจากเมืองเสีย เย่หลิงไม่มีที่ให้ไปเสาะหาเธอ ซ้ำในกายยังมีพิษร้ายอยู่ ย่อมต้องไม่กล้าผลีผลามบุ่มบ่ามแน่
พิษร้ายนี้เป็นตี้ฝูอีที่มอบให้เธอ บอกว่านี่คือพิษที่เธอคิดค้นขึ้นมาในสมัยก่อน เป็นผลิตภัณฑ์ชั้นเซียนจากดินแดนเบื้องบน คนของโลกเบื้องล่างไม่มีทางถอนพิษได้ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่กลัวว่าเย่หลิงจะสามารถแก้พิษเองได้…
กู้ซีจิ่วยกมือป้องตามองออกไปไกลๆ ตี้ฝูอีไปที่ไหนกันนะ?
เธอหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมา กดเปิดใช้
ยันต์ถ่ายเสียงส่องแสงกะพริบ ทว่าไม่มีคนตอบรับเลย
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ แล้ว หรือตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายอยู่ ไม่มีเวลามารับสายเธอ
หลังจากยันต์ถ่ายทอดเสียงดับไป กู้ซีจิ่วก็ไม่สามารถติดต่อกับเขาได้อีก
หากว่าเขากำลังต่อสู้อยู่ สายจากเธอน่าจะรบกวนสมาธิเขา ทำให้เขาวอกแวก ไม่เป็นผลดี รอไปก่อนแล้วกัน ด้วยวรยุทธ์ของเขา ต่อให้สัตว์ร้ายเก่งกาจปานใดเมื่ออยู่ในกำมือเขาแล้วไม่ถึงครึงชั่วยามก็จบเห่แล้ว ประเดี๋ยวเธอค่อยติดต่อหาเขาอีกที
กู้ซีจิ่วเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่นั้น นั่งสมาธิสักพัก ผ่านพ้นไปประมาณหนึ่งชั่วยาม เธอจึงติดต่อหาเขาอีกที
นึกไม่ถึงว่าเขายังคงไม่ตอบรับเช่นเดิม
กู้ซีจิ่วนึกฉงนแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 2213 พวกเราก็เป็นคู่หมั้นกันนี่…
ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่เธอกับเขาใช้ติดต่อกันก็เหมือนโทรศัพท์มือถือ พอเธอติดต่อหาเขา บนยันต์ก็จะแสดงผลทั้งหมดไว้
หลังจากตี้ฝูอีปราบสัตว์ประหลาดเสร็จก็น่าจะเห็น แล้วหาเวลาติดต่อกลับมาหาเธอสิ
สถานการณ์ในตอนนี้ หรือว่าเขาจะประสบอันตรายใดเข้า?! จวบจนยามนี้ก็ยังปลีกตัวไม่ได้กระมัง?!
ยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนี้ ในใจของเธอร้อนรุ่ม สำนึกเสียใจอยู่บ้าง
ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก เธอควรจะเดินทางออกมากับเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งนั้น!
เมื่อคืนหากว่าเธอตอบรับเขา พัวพันเคล้าคลอกับเขาสักหน่อย เขาคงย่อมพาเธอไปด้วย ไม่เป็นเช่นยามนี้…
ภูมิประเทศรอบเมืองลั่วฮวาล้วนเป็นป่าเขา ในหุบเขาลึกล้วนมีสิงสาราสัตว์สารพัดชนิด แน่นอนว่ามีสัตว์ร้ายผลึกวิญญาณประเภทนั้นด้วยเช่นกัน สิ่งที่ตี้ฝูอีต้องล่าคือผลึกวิญญาณระดับหนึ่ง ย่อมต้องเข้าสู่ส่วนลึกสุดของหุบเขา เป็นสถานที่เปลี่ยวร้างไร้คนย่างกรายถึงจะใช้ได้
ในส่วนลึกสุดของหุบเขาทั้งสี่ทิศล้วนเป็นไปได้ว่าจะมีสัตว์ร้ายขั้นหนึ่งอยู่ มีอาณาเขตหลายพันตารางกิโลเมตร ถ้าเธอหลับหูหลับตาตามหาย่อมเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
เธอนั่งกอดเข่าอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดีชั่วขณะ
เหม่อมองเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ในสมองก็มีกลอนสองประโยคผุดขึ้นมา
‘อยู่เพียงบรรพตนี้ ติดเพียงเมฆาหนาไม่ทราบว่าอยู่หนใด’
สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ มีเพียงคำเดียวเท่านั้น…รอ!
เธอติดต่อหาเขาหนึ่งครั้งในทุกๆ ครึ่งชั่วยาม แต่ติดต่อครั้งไหนก็ต้องผิดหวังทุกครั้ง…
เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงจับเจ่าอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ตั้งแต่รุ่งสางตะวันลอยขึ้น รอคอยอยู่จวบจนจันทราค้างกลางนภา
ผ่านพ้นไปหนึ่งวันแล้ว!
กู้ซีจิ่วไม่เคยคาดคิดเลยว่ารสชาติการรอคอยจะทรมานถึงเพียงนี้ ไร้หนทางปานนี้!
เขาต้องเกิดเรื่องแล้วแน่ๆ!
มิเช่นนั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่ตอบรับยันต์ถ่ายทอดเสียงของเธอเขารู้อยู่ชัดเจนว่าเธอเป็นห่วงเขา…
กู้ซีจิ่วไม่อาจเฝ้ารออย่างไร้ซึ่งความหวังเช่นนี้ได้อีกแล้ว!
เธอสูดหายใจยาวๆ ขณะที่กำลังจะสุ่มเลือกทิศทางหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไป จู่ๆ ในสมองก็มีบทสนทนาหนึ่งแว่วขึ้นมารางๆ
‘ถ้าต้องการตามหาคนผู้หนึ่ง สามารถใช้เส้นผมหรือไม่ก็ของใช้ส่วนตัวมาประกอบกับเคล็ดหทัยสวรรค์ จะสามารถรับรู้ถึงทิศทางคร่าวๆ ได้’
‘เทพขนาดนั้นเชียว? เคล็ดนี้สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนของอีกฝ่ายได้ไหม? เวลาที่ข้าต้องการหาตัวคนจะได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปหาเลย!’
‘ถ้าเจ้าฝึกฝนจนบรรลุขั้นเจ็ดก็คงพอทำได้อย่างถูไถ’
‘ขั้นเจ็ด? มากปานนี้เชียว?! ถ้างั้นข้าต้องฝึกนานแค่ไหนกัน?’
‘ร้อนรนอะไร? ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะมีพลังวิญญาณขั้นหก ฝึกฝนไปสักพัก ก็น่าจะฝึกถึงขั้นสามของเคล็ดนี้ได้’
‘ที่แท้ระดับสูงสุดที่ข้าฝึกได้ก็คือขั้นสามเองหรือ…’
‘ขั้นสามก็สามารถระบุตำแหน่งคร่าวๆ ได้แล้ว คลาดเคลื่อนไปไม่เกินห้าหกลี้’
‘เช่นนั้น…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านฝึกฝนเคล็ดนี้จนบรรลุขั้นใดแล้ว?’
‘สูงสุด…’
‘มิน่าล่ะในอดีตท่านถึงตามจับข้าอย่างคล่องมือได้ทุกครั้ง…’
‘เด็กดี ข้าจะรอให้เจ้าฝึกฝนจนสามารถจับข้าได้นะ ให้เจ้าได้ล้างแค้น’
‘ข้าไม่จับท่านหรอก จะซ่อนตัวจากท่านยังทำไม่ได้เลย’
‘ช่างทำร้ายผู้อื่นโดยแท้ จะซ่อนจากข้าทำไม ข้าดีต่อเจ้าขนาดนี้…’
‘เฮอะ ไม่เห็นรู้สึกว่าท่านดีต่อข้าตรงไหนเลย…’
‘ข้าเป็นถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่ง วนเวียนอยู่รอบตัวเจ้าทุกวัน ช่วยเจ้าจากอุปสรรคสารพัดยังไม่ดีอีกหรือ? เสี่ยวซีจิ่ว คนเราจะแล้งน้ำใจเช่นนี้ไม่ได้นะ…’
‘เอาเถอะ ข้าไม่เถียงกับท่านแล้ว ท่านรีบถ่ายทอดเคล็ดทหัยสวรรค์ให้ข้าเถอะ’
‘เรียกข้าดีๆ ให้ฟังก่อนสิ’
‘เรียกท่านดีๆ ยังไง?’
‘อืม เรียกสามีเถอะ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคู่หมั้นกันนี่…’
บทสนทนานี้ราวกับเคยถูกกดไว้ในส่วนลึกสุดของสมองเธอ ทว่าไม่ทราบว่าเหตุใดถึงผุดขึ้นมาในยามนี้
กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนคาคบไม้ พลันรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบ!
หัวใจรัดแน่นขึ้นมาในทันใด ทั้งร่างแข็งทื่อปานจมน้ำ! ทั้งเจ็บทั้งชา!
———————————–