AST
บทที่1814 – เดินทางเข้าสู่หุบเขาวิหคอัคคีสุริยัน ทำตามคำสั่ง
ทันทีที่ชิงสุ่ยไปอ่านข้อความในจดหมายสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ เฉินหวง…..กำลังตกอยู่ในอันตราย? ใครกันที่แข็งแกร่งถึงระดับที่สามารถคุกคามเธอได้
ชิงสุ่ยไม่คิดว่านี่เป็นเพียงจดหมายขู่เพราะในจดหมายไม่ได้แสดงถึงความต้องการใดๆทั้งสิ้น
ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังจะออกเดินทางทหารยามภายในตระกูลชิงก็รีบวิ่งตรงมาหาชิงสุ่ย จากนั้นก็บอกว่ามีคนกำลังต้องการเข้าพบชิงสุ่ยโดยด่วน
ชิงสุ่ยพอจะคาดเดาได้ว่าใครที่มาหาเขาแน่นอนว่ามันคงจะต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน ซึ่งทันทีที่ชิงสุ่ยเดินตรงเข้าไปยังลานหน้าบ้าน เขาก็พบกับชายวัยกลางคนค่อนไปทางชรากำลังยืนรอเขาอย่างใจจดใจจ่อ
จากลักษณะภายนอกผนวกกับเสื้อผ้าที่ดูธรรมดายิ่งทำให้ชายคนนี้เหมือนกับคนทั่วไปหากพลัดหลงเข้าไปในกลุ่มฝูงชน คงไม่มีใครดูออก แต่สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยแปลกใจยิ่งกว่า คือคนคนนี้มีพลังอยู่ในระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์
”ข้าคือผู้รับใช้ของท่านจ้าวสวรรค์”ชายคนนั้นกล่าวอย่างเชื่องช้า
ไม่น่าแปลกใจที่จะได้เห็นคนรับใช้มาปรากฏตัวในช่วงเวลานี้แต่อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนที่ต้องการคนรับใช้ ดังนั้นเขาจึงต้องมองชายที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางแปลกไป
”นางคือคนที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ อันที่จริงแล้ว ครอบครัวของข้ารอดมาได้ก็เพราะนาง แต่นางไม่เคยยอมรับข้าว่าเป็นคนรับใช้ ถึงอย่างไรข้าก็ประสงค์ที่จะทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง ข้าเองไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของภาคีวิหคอัคคีเทวะ ดังนั้นข้าจะมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า”ชายชราจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาจริงจัง
ชิงสุ่ยยังคงแสดงทีท่าสงบนิ่งเขาอยากรู้ว่าสิ่งที่ชายชรากำลังจะบอกเขาเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาเพิ่งอ่านจากจดหมายหรือไม่ และจากรูปลักษณ์ภายนอกรวมถึงท่าทางที่เขาแสดง มันเป็นกิริยาที่ไม่อาจคาดเดาว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
ชิงสุ่ยปลดปล่อยพลังการรับรู้จิตวิญญาณเพื่อแทรกซึมและจับสัมผัสจากการกระทำของชายชรา สิ่งแรกที่เขารับรู้คือชายชราคนนี้จะต้องฝึกฝนมาในเส้นทางของนักฆ่า นอกจากนี้ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและมีหลักฐานการฝึกฝนที่ดี
”ตอนนี้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับนางถ้าหากข้าต้องไปเผชิญหน้าภับร้ายตามลำพัง แม้ว่าข้าจะยอมตาย ข้าก็คงช่วยนางไม่ได้ ที่สำคัญข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อถือใครได้บ้าง แม้แต่ผู้อาวุโสในกลุ่มภาคี ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าข้าควรไว้วางใจพวกเขาจริงๆหรือไม่ แล้วต่อให้พวกเขาไปกับข้า ข้าก็คิดว่าพวกเขาคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก”ชายชรากล่าวต่อ
”แล้วทำไมท่านถึงยอมเชื่อและไว้ใจข้า?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
จากการแสดงออกของชายชราชิงสุ่ยยังไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ อย่างไรก็ตามมนุษย์บางคนก็มีความสามารถในการแสดงความเสแสร้ง แต่ตราบใดที่พฤติกรรมของพวกเขาเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยชิงสุ่ยก็สามารถตรวจจับได้ แต่อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังคงไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติจากชายชรา
ส่วนการพูดของเขาทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผล ชิงสุ่ยจึงคิดว่าเขาสามารถไว้ใจในคำพูดของชายชราคนนี้ได้
”ข้ามาที่นี่เพื่อทดสอบโชคชะตาของข้าข้าเชื่อมั่นในตัวของข้า และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ข้าตัดสินใจลงไปถูกต้อง”ชายชราถอนหายใจ ลึกๆเขาเองก็รู้สึกกังวล กังวลว่าชิงสุ่ยจะไม่ยอมไปช่วยเฉินหวง
”ท่านรีบไปก่อนเถอะเพราะตัวข้านั้นสามารถเดินทางได้ด้วยความเร็วเหนือกว่าท่าน หรือไม่ทันก็ควรกลับไปรอและรอฟังข่าวจากข้า”ชิงสุ่ยพยักหน้าขณะกล่าว
ดวงตาของชายชราแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังตอนนี้เขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ชิงสุ่ยก็เพิ่งเข้าร่วมภาคีวิหคอัคคีเทวะในฐานะผู้อาวุโสรับเชิญ มันยังเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะมีความยับยั้งชั่งใจ หากต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ย่อมเลือกเส้นทางในการหลบหนี ยิ่งไม่ใช่เรื่องของตนเอง ยิ่งไม่ควรยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว
ภายในไม่กี่อึดใจร่างกายของชายชรารวมถึงใบหน้าดูแก่กว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แผ่นหลังของเขาเริ่มโค้งงุ้มไม่ตั้งตรงเหมือนเก่า มันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกภูเขายักษ์นับ 10 ลูกหล่นทับ
อาการแสดงออกไม่ใช่สิ่งจอมปลอมมันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณจิตที่ควบคุมจิตใจจากภายใน เมื่อใครคนนึงมาถึงจุดตัดสินที่สำคัญในชีวิต ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนสภาพภายนอกรวมรวมถึงสภาพกายให้แสดงผลเหมือนกับสภาพจิตใจ
ชิงสุ่ยไม่สามารถรีรอได้อีกต่อไปแน่นอนว่าเขาก็ยังคงเป็นกังวลความปลอดภัยของตระกูล เขาถึงเรียกอีหวงกู่หวู่ อีเย่เจี้ยนเก้อและคนอื่นๆมาเพื่อเฝ้าระวัง
หลังจากที่ไปบอกข่าวเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับคนในครอบครัวชิงสุ่ยก็เตรียมพร้อมที่จะเดินทาง บรรดาภรรยาของเขาต่างก็บอกให้เขาระวังตัวให้มาก ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ชิงสุ่ยไม่สนใจว่านี่จะเป็นกับดักหรือไม่แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริงสุดท้ายปลายทางก็จะมีหลุมกับดักรอคอยเขาอยู่เสมอ ซึ่งเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกระโดดเข้าไปในหลุมกับดัก
ย่างก้าว9 เทวา!!
แม้ฝ่ายตรงข้ามจะให้เวลาเขาถึง6 ชั่วโมง ชิงสุ่ยก็ไม่มีรีรอใดๆทั้งสิ้น นอกจากนี้เขายังวางแผนจะเข้าโจมตีศัตรูเพื่อสร้างความตื่นตระหนก เนื่องจากทักษะย่างก้าว 9 เทวาเป็นทักษะที่ใช้ในการเคลื่อนที่พริบตา ศัตรูคงไม่คาดคิดว่าชิงสุ่ยจะมาถึงรวดเร็วเกินไป
หากใช้วิธีการเดินทางแบบปกติจะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แม้จะเป็นทักษะการเคลื่อนที่ที่ว่องไว พวกเขาจึงให้เวลาชิงสุ่ย 6 ชั่วโมง ซึ่งพวกมันกำลังคาดการณ์ว่าชิงสุ่ยคงจะมาถึงในช่วงเวลา 4 ชั่วโมงก่อนกำหนด
โชคดีที่ชิงสุ่ยได้ศึกษาเรื่องราวของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำจึงทำให้เขารู้ว่าหุบเขาวิหคอัคคีสุริยันนั้นอยู่ในเทือกเขาวิหคอัคคีร่ายรำ ตามตำนานเล่าว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ชิ้นส่วนซากโบราณสงครามยังหลงเหลือ และได้รับการบูรณะค่อนข้างดี เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมศัตรูถึงเลือกที่จะรอคอยอยู่ที่นั่น เป็นไปได้หรือไม่ว่าซากโบราณจะมีส่วนหรืออะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเฉินหวง? บริเวณปลายสายตาของชิงสุ่ยเริ่มมองเห็นหุบเขาวิหคอัคคีสุริยัน ยิ่งเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ก็ยิ่งร้อน เขารู้สึกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างฉับพลัน มันร้อนเหมือนกับเตาย่างไก่ ถ้าหากเป็นคนไม่ได้ฝึกฝนพวกเขาจะตายภายใน 1 วันอย่างแน่นอน
หุบเขาวิหคอัคคีสุริยันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารหลังจากที่ชิงสุ่ยเดินทางเข้าใกล้อีกสักพักใหญ่เขาก็เห็นภูเขาขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพื้นดินสีแดง ราวกับพื้นหินหนืดไฟพร้อมกับไฟป่าที่กำลังแผดเผาต้นไม้ทั่วทั้งพื้นที่
ไฟฟืนเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้จะรู้จักกันในนามไม้วิหคเพลิงมันคือวัตถุดิบมีค่าที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นหลายสิ่งหลายอย่างได้ และยังสามารถนำไปใช้ในการแพทย์รวมถึงการปรับแต่งศาสตราวุธ และการสร้างค่ายกลอีกหลายรูปแบบ
ชิงสุ่ยไม่ได้พยายามแอบเข้าใกล้ศัตรูเขาเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามต้องรู้ว่าเขามาถึงแล้ว เขาจึงค่อยๆทะยานลงสู่พื้นดินของหุบเขาวิหคอัคคีสุริยันโดยตรง
”ข้าอยู่ที่นี่แล้ว!!พวกเจ้าจงออกมา!!”ชิงสุ่ยเปล่งเสียงแม้จะไม่ใช่การตะโกนแต่ก็สะท้อนไกลออกไปทั่วพื้นที่
ศัตรูแสดงความตกใจและไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะมาถึงเร็วขนาดนี้
”เจ้าเห็นภูเขาที่อยู่ตรงหน้าของเจ้าหรือไม่?เดินตรงไปที่นั่น”
”เฉินหวงอยู่ที่ใดข้าต้องการเห็นนางกับตาของข้าเอง”ชิงสุ่ยกล่าว
”เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไจากข้า”เสียงของคนคนนั้นเต็มไปด้วยความมั่นคงและเยือกเย็น
ชิงสุ่ยขมวดคิ้วเขารู้สึกเครียดแค้นอดกลั้นเพราะไม่ชอบถูกใครบังคับ แต่ตอนนี้มันไม่มีทางเลือกนอกจากการเดินเข้าไปในภูเขาที่อยู่ข้างหน้า
อากาศภายในร้อนพอๆกับเปลวเพลิงแต่สำหรับชิงสุ่ย มันไม่ต่างอะไรจากลมที่พัดผ่านที่สำคัญเขากังวลว่าศัตรูกำลังวางแผนจัดการเขาด้วยวิธีใด