บทที่ 1815 -อสูรลอบสังหาร อสูรหินสวรรค

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

AST
  บทที่1815 – อสูรลอบสังหาร อสูรหินสวรรค์
  แม้ว่าชิงสุ่ยจะมั่นใจในตัวเองมากแต่การถูกเชื้อเชิญได้สร้างความกังวลให้กับเขา ท้ายที่สุดแล้วทุกคนย่อมเป็นกังวลเมื่อกำลังเผชิญหน้ากับภยันตรายที่ตัวเองไม่รู้
  ชิงสุ่ยได้พยายามเพิ่มพูนระดับความแข็งแกร่งสูงสุดเท่าที่ทำได้หลังจากที่เข้าไปในหุบเขาวิหคอัคคีสุริยัน เขาก็ลดความเร็วในการเคลื่อนที่ลง ขณะเดียวกันก็พยายามปลดปล่อยการรับรู้ทางจิตวิญญาณเพื่อสังเกตและตรวจจับการเคลื่อนไหวโดยรอบทุกกรณี
  หลังจากเดินไปได้ประมาณ100 เมตร ชิงสุ่ยก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง มันคือหินที่มีขนาดเท่าภูเขาเล็กๆ แต่ในกระแสการรับรู้ทางปราณจิตบ่งบอกสีของมันว่าเป็นสีแดง
  โดยปกติถ้าหากสิ่งที่เขาตรวจจับเป็นสีแดงนั่นคือสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นภัยคุกคามสำหรับเขา แต่ถ้าหากเป็นสีดั้งเดิมมีสีเขียว นั่นคือสิ่งที่เป็นปกติทั่วไปไม่ได้มีพิษมีภัย
  ดังนั้นชิงสุ่ยจึงพยายามสังเกตก้อนหินขนาดใหญ่เท่าภูเขาย่อมๆดูท่าทางแปลกประหลาดและแล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่มาจากภูเขาลูกนั้น
  อสูรหินสวรรค์!!
  มันคือสัตว์อสูรที่มีร่างกายคล้ายกับหินและใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรจากก้อนหินทั่วไป
  ลักษณะภายนอกของมันที่คล้ายกับหินจึงทำให้มีความน่าเกรงขามสูงมันไม่รู้จักวิธีการโจมตีใดๆนอกจากใช้พลังปราณจิต และเพื่อชดเชยกับโอกาสที่จะถูกโจมตี มันถูกทดแทนด้วยความต้านทานของร่างกายที่มีพลังเป็น 2 เท่าของพลังปราณจิต แน่นอนว่าแม้มันจะเป็นก้อนหินแต่เมื่อพวกมันเคลื่อนที่ ความเร็วที่พวกมันมีก็ถือว่าเป็นความเร็วที่เหมาะสม
  นอกจากนี้มันยังเก่งกาจในการซุ่มโจมตีและสังหารเหยื่อด้วยความสามารถในการซ่อนตัว เหยื่อแทบจะไม่ทันรู้ตัวก่อนจะถูกจัดการ
  เมื่อชิงสุ่ยรับรู้ถึงตัวตนของเจ้าอสูรหินสวรรค์เขารู้ได้ทันทีว่าฝั่งตรงข้ามจะต้องประเมินเขาต่ำไป คิดจะใช้การลอบโจมตีในการปลิดชีพชิงสุ่ย ช่างเป็นเรื่องน่าตลกยิ่งนัก และเนื่องจากเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น เขาจึงสงสัยจริงๆว่าศัตรูใช้วิธีใดในการจัดการเฉินหวง เพราะความแข็งแกร่งระดับเฉินหวงไม่ควรที่ถูกจัดการง่ายๆ
  มีเพียงวิธีเดียวคือศัตรูจะต้องแข็งแกร่งเท่ากับหรือไม่ก็มากกว่าเฉินหวง
  ชิงสุ่ยอยู่ห่างจากเจ้าอสูรหินสวรรค์ในระยะไม่ถึง5 เมตร แม้จะเป็นเช่นนั้นชิงสุ่ยก็ยังคงก้าวเดินต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไร เขาไม่ได้กังวลในตัวของสัตว์อสูร แต่กังวลว่าจะมีใครซ่อนตัวอยู่ภายในเจ้าอสูรหินสวรรค์
  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพลังปราณจิตของชิงสุ่ยแสดงให้เห็นเป็นร่างมนุษย์สีแดงซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างล่างเจ้าอสูรหิน
  กลิ่นรอบตัวมนุษย์คนนั้นเข้มข้นและเด่นชัดแต่ช่างน่าโศกเศร้า ที่โลกใบนี้ได้ปรับสมดุลให้นักฆ่าไม่ได้เปรียบเหมือนโลกดั้งเดิมชองชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยอยากจะผ่าก้อนหินก้อนยักษ์เพื่อตรวจสอบแต่มนุษย์ที่อยู่ข้างในก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
  ชิงสุ่ยได้แต่ค่อยๆเดินผ่านเจ้าอสูรหินสวรรค์ไปอย่างช้าๆทีละก้าวสองก้าว สามก้าว
  ทันใดนั้นกลิ่นอายที่เจ้าก้อนหินยักษ์พยายามปกปิด ก็แผ่ซานออกมารอบตัว จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นอสูรหินพร้อมกับพุ่งไปหาชิงสุ่ย
  ความเร็วของมันเทียบเท่าความเร็วของสายฟ้าฟาดนอกเหนือจากการจู่โจม คงจะเป็นกลิ่นอายจิตสังหารที่โหดเหี้ยม
  ชิงสุ่ยปิดตาภายในทะเลแห่งปัญญาของเขาสามารถมองเห็นทุกร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง มันปรากฏให้เห็นเป็นร่างของมนุษย์ ที่พยายามใช้มีดสั้นสีเทาลักลอบหมายจะแทงลำคอของชิงสุ่ย
  หากเขาเลือกที่จะอยู่นิ่งเฉยชิงสุ่ยอาจจะตรวจจับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะขยับ นั่นก็เท่ากับความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
  อันที่จริงชายคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่แข็งแรงเสียดายที่เขาเลือกเส้นทางการเดินในฉบับนักฆ่า ถ้าหากเลือกเส้นทางการฝึกฝนสายพลังตัวของเขาคงมีโอกาสชนะมากกว่านี้ แต่คงเป็นเพราะการลอบเร้นสังหารร่วมกับเจ้าอสูรหิน และไม่เคยพบเจอความผิดพลาด จึงทำให้ทั้งสองหยิ่งผยองเชื่อมั่นในพลังของตนมากเกินไป
  ชิงสุ่ยยังคงยืนนิ่งและทันทีที่เจ้าอสูรหินเข้ามาใกล้ ร่างกายของชิงสุ่ยก็เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน มันเป็นการเคลื่อนที่หลบไปด้านข้างซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของเจ้าอสูรยักษ์ได้อย่างง่ายดาย  ชิงสุ่ยไม่เพียงแต่หลบหลีกการโจมตีของสัตว์อสูรไปยังหลบหลีกการโจมตีของนักฆ่าที่หมายจะสั่งหารในบริเวณจุดตาย จากการกระทำทั้งหมดแน่นอนว่าเป้าหมายของชิงสุ่ยยังไม่สำเร็จลุล่วง เขาจึงค่อยๆสะบัดแขนอย่างช้าๆ
  เพลงหมัดแส้ไทเก๊ก!!
  ปังงง!!
  เสียงระเบิดที่ดังฟังชัดฟาดเข้าไปบริเวณสีข้างของนักฆ่าที่พยายามซ่อนตัว
  กระดูกซี่โครงใต้รักแร้ของมนุษย์เป็นส่วนที่บอบบางที่สุดการโจมตีของชิงสุ่ยทำให้บริเวณซี่โครงของเขาแตกต่างอย่างชัดเจน มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่การแตกหักแต่เรียกได้ว่ากระดูกที่ถูกบดขยี้
  ชายคนนั้นส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมาอย่างรุนแรงแต่เขาก็ยังคงถือมีดสั้นเอาไว้ในมือ เขาพยายามระงับความเจ็บปวดเพื่อปั่นสีหน้าที่ดูสงบ เมื่อมองดูชัดๆ ในที่สุดชิงสุ่ยก็มองเห็นใบหน้าของนักฆ่า มันคือชายชราตัวเล็กๆ
  ชายชราผู้นี้มีผมสีขาวแฝงไปด้วยผมสีดำลายแถบบางส่วนภายนอกดูปกติเหมือนมนุษย์ร่างผอม แต่ความเจ็บปวดแสดงให้เห็นถึงความน่าสังเวช จากการเหลือบมองเพียงแค่ครั้งเดียว ก็พอจะบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นชายเจ้าเล่ห์เพทุบาย
  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงการฝึกฝนและการเคลื่อนไหวพรางตัวได้จนเกือบสมบูรณ์แบบ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชิงสุ่ย ความได้เปรียบที่ควรจะพึงมีก็กลายเป็นความเสียเปรียบอย่างชัดเจน
  ”เฉินหวงอยู่ที่ไหนแล้วเจ้าเป็นใครกัน?”ชิงสุ่ยเอ่ยถาม
  ทันทีที่ชิงสุ่ยกล่าวจบเจ้าอสูรหินสวรรค์ก็ไม่ยอมเลิกรา มันพยายามเข้าโจมตีชิงสุ่ยอีกครั้ง
  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใจร้อนของชิงสุ่ยหันมองมันกลับไปก่อนจะปรากฏง้าวทองทะลวงศัตรู และสะบั้นฟาดเจ้าก้อนหินยักษ์อย่างจัง
  พลังการโจมตีปลดปล่อยคลื่นพลังที่รุนแรงความแตกต่างระหว่างเจ้าอสูรหินและชิงสุ่ยมีขนาดที่มากเกินไป เสียงแตกของก้อนหินดังขึ้น ตอนนี้กะโหลกศีรษะของเจ้าอสูรหินสวรรค์ถูกบดขยี้ให้แตกหักออกจากกันในช่วงพริบตา
  ในขณะที่เจ้าอสูรหินเริ่มเคลื่อนไหวชายชราก็พยายามเคลื่อนไหวอีกครั้ง อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวมากนัก มีแววความเจ็บปวดมันใบหน้าก็พลันสลายหายไป ก่อนจะปรากฏให้เห็นเป็นความเย็นชา
  ”ถ้าหากเจ้ายืนนิ่งข้าจะไม่ฆ่าเจ้าแต่ถ้าหากเจ้าขยับ ข้ามั่นใจได้เลยว่าอวัยวะเท่าเม็ดถั่วของเจ้าจะถูกบดขยี้”ชิงสุ่ยป้องกันการโจมตีของชายชราด้วยง้าวทองทะลวงศัตรูที่อยู่ในมือ
  ชายชรายังคงนิ่งเงียบก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวช่างน่าเสียดายที่ความต่างพลังมีขนาดมากเกินไป ยิ่งขึ้นที่เข้าใกล้ชิงสุ่ย ความตายและความพ่ายแพ้ก็จะยิ่งเห็นเด่นชัด
  ”เขาเป็นเพียงแค่คนหูหนวกถ้าหากเจ้าต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับนางก็เข้ามาหาข้า เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ”เสียงที่น่ารำคาญดังขึ้นอีกครั้ง ชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้อยากฆ่าชายชรา เพราะจากพลังการรับรู้ทางจิตวิญญาณบ่งบอกถึงอายุไขของชายชราคนนี้ แน่นอนว่าอีกไม่นานชายชราคงไม่มีโอกาสจับอาวุธขึ้นมาสังหารศัตรูได้อีกแล้ว
  ”คิดจะใช้การลอบสังหารกับข้างั้นรึ?คิดจะใช้เล่ห์กลโง่ๆมาหลอกข้า พวกเจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว”ชิงสุ่ยเริ่มหัวเราะเยาะฝ่ายศัตรู
  ”ฮ่าฮ่า ฮ่า อีกสักครู่เจ้าจะได้รู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมของข้าใช้กับเจ้าได้หรือไม่ หากเจ้าไม่ต้องการทำตามคำสั่งข้าก็ต้องถอยหลังกลับไป ข้าไม่เคยขอร้องให้เจ้าทำตามคำสั่งของข้าเลยตั้งแต่ต้น”เสียงที่น่ารำคาญดังกึกก้องไปทั่วพื้นที่อีกครั้ง
  แน่นอนว่าสุดท้ายชิงสุ่ยก็ยังคงต้องทำตามคำพูดของผู้ที่กำลังสั่งการแม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด แต่เขาก็เดินหน้าต่อไป ตัวของชิงสุ่ยเองก็อยากรู้ว่าศัตรูจะใช้อุบายใดในการต่อกรกับเขา เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าสุดท้ายใครจะเป็นคนหัวเราะดังที่สุด