AST
บทที่1816 – ค่ายกลสังหารเก้าสวรรค์อมตะ เฉินหวงที่กำลังตกอยู่ในอันตราย
หลังจากที่เขาเดินผ่านหุบเขาแรกซึ่งต่อมาที่เขาเห็นคือหุบเขาที่ 2 แม้จะอยู่ในระยะ 500 เมตร แต่กลับมองเห็นเป็นเพียงแค่ภาพมัว นอกจากนี้ยังมองเห็นกลิ่นอายที่แสนเหี้ยมโหดพวยพุ่งออกมาจากรุนแรง
ชิงสุ่ยค่อยๆหยุดฝีเท้าทะเลแห่งปัญญาของเขาแสดงให้เห็นพื้นที่สีแดงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยสีแดงเข้ม พร้อมกับปลดปล่อยรัศมีแห่งความชั่วร้าย
มันคือค่ายกลค่ายกลสังหาร!!
ชิงสุ่ยสัมผัสถึงกลิ่นอายของค่ายกลที่รุนแรงและน่ากลัวเพียงค่ายกลที่อยู่ข้างหน้า ชิงสุ่ยก็พอเข้าใจแล้วว่า บางทีเฉินหวงอาจจะถูกกับดักจากค่ายกลนี้ ทันทีที่ชิงสุ่ยหยุดเดินเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นอีกครั้ง”ขอกล่าวตามตรงกับเจ้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือค่ายกลสังหารเก้าสวรรค์อมตะ นางอยู่ในนั้น หากเจ้าต้องการช่วยชีวิตนาง ก็ต้องลงไปและตามหานางซะ!!”
”ข้าไม่เห็นนางด้วยตาของข้าเองข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่านางอยูในนั้น? เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะหลงเชื่อใจง่ายๆ?”ชิงสุ่ยพยายามพิจารณาสภาพแวดล้อมอย่างหนัก
ชิงสุ่ยจ้องมองไปยังแท่นหินที่เหมือนจะเป็นตัวกระจายเสียงผู้ที่กำลังพูดผ่านอากาศ
”จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้าหากไม่เชื่อ เจ้าก็รอรับศพนางไปได้เลย เออจริงสิ เจ้าคงมองเห็นคลื่นพลังสีชมพูที่แผ่ซ่านออกมาจากภายใน มันคือเศษส่วนพลังที่ใช้ในการกระตุ้นความรู้สึก แต่ถ้ายิ่งนานวันเข้าข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าภายในจะเกิดอะไรขึ้น”
ในขณะที่เสียงของใครบางคนกำลังพูดชิงสุ่ยก็จ้องมองไปยังคลื่นพลังสีชมพู เขาค่อยๆปลดปล่อยผึ่งหยกจักรพรรดิ์จำนวน 3ตัวออกไปอย่างเงียบๆ
ชิงสุ่ยเชื่อว่าอีกไม่ช้าศัตรูจะต้องค้นพบเจ้าผึ้งน้อยทั้ง3 ตัว แน่นอนว่าชิงสุ่ยคิดใช้งานพึ่งจักรพรรดิ์ทั้ง 3 ตัวเป็นเหยื่อล่อ ตราบใดที่ชิงสุ่ยสามารถค้นหาที่มาของเสียงได้ เขาก็จะเอาชนะศัตรูได้ ทุกอย่างจะต้องกระทำด้วยความไม่ประมาท หากผิดพลาดไม่สามารถช่วยเหลือเฉินหวงได้ บางทีมันอาจจะตามมาด้วยความตายของเขา
”ค่ายกลจะต้องมีข้อผิดพลาด!!”
ทันทีที่เจ้าผึ้งหยกจักรพรรดิพยายามเข้าสู่ค่ายกลในชั่วพริบตามันก็กลายสภาพการเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง แต่ต้องขอบคุณการโจมตีของมัน ที่ช่วยให้พลังปราณจิตของชิงสุ่ยสามารถจดจำรัศมีการโจมตีของศัตรู แน่นอนว่าหากตามสัญญาณของรัศมีพลังไป เขาก็จะเข้าใกล้ที่ซ่อนของศัตรู
ชิงสุ่ยมองเห็นคนทั้งหมดผ่านทะเลแห่งปัญญาผู้ที่เขามองเห็นเมื่อพิจารณาแล้วสมควรมีอายุอยู่ประมาณชายวัยกลางคน เขาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ชิงสุ่ยคาดไม่ถึง
ศัตรูมีลักษณะคล้ายกับชายร่างยักษ์ที่มีขนาดใหญ่โตเหมือนหอคอยขนาดเล็กผิวสีดำเหมือนตอตะโก ชิงสุ่ยเพิ่งเคยเห็นคนผิวดำคนแรกที่อยู่ในโลกใบนี้
ชิงสุ่ยยังคงเดินตรงไปข้างหน้าโดยเสแสร้งทำเหมือนไม่สังเกตอะไรแต่ในขณะเดียวกันทะเลแห่งปัญญาของเขาก็ตรวจพบตำแหน่งของคนทั้งสองคนที่กำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
แม้ว่าชิงสุ่ยจะดูเหมือนพยายามเข้าใกล้ค่ายกลแต่จริงๆแล้วเขาพยายามเข้าใกล้สถานที่หลบซ่อน เขารู้สึกได้ว่าผลลัพธ์ของการกระทำจะปลอดภัยหากใช้วิธีนี้ จริงๆแล้วเขาไม่ได้กลัวการเผชิญหน้า แต่กลัวว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเหนือการคาดฝันเกิดขึ้น
”ข้าคิดว่าเจ้าสนใจนางแต่ดูเหมือนว่าเจ้าก็คงเป็นเพียงคนที่รักตัวกลัวตาย”เสียงของคนคนนั้นดังขึ้น แน่นอนว่าการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาเองก็จับสัมผัส และพบว่ารูปร่างที่เขากำลังมองดูกำลังขยับริมฝีปาก
ชิงสุ่ยสลายกลายเป็นเพียงร่างพร่ามัวทันทีที่เขากล่าวจบ
ย่างก้าว9 เทวา………..ด้วยทักษะการเคลื่อนที่มันทำให้เขาสามารถเดินทางระยะไกลได้ภายในพริบตา ในการก้าวเท้าเพียงแค่ก้าวเดียว เขาก็มาถึงด้านหน้าของคนที่เขาต้องการ
ชายผิวดำอ้าปากร้องตะโกนด้วยความตกใจขณะเดียวกันเขาก็กำหมัดและพุ่งตรงเข้าหาชิงสุ่ย
ใบหน้าของชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความเย็นชาก่อนจะทักทายกลับไปด้วยกำปั้นเช่นกัน
ปังงงง!!
แรงหมัดปลดปล่อยแรงกระแทกมหาศาลใส่ชายผิวดำให้ต้องถอยหลังในทันทีส่วนปรมาจารย์ค่ายกลอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อต้องปะทะกับผู้คนที่ใช้กำลัง เขาย่อมต้องเสียเปรียบเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่อรู้เช่นนี้ เขาจึงเลือกที่จะหลบหนีเป็นธรรมดา
ในช่วงพริบตาร่างของยอดปรมาจารย์ค่ายกลก็ไปปรากฏตัวด้านหลังชายผิวดำเพื่อพาชายผิวดำหลบหนีแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมากล่าวคำเยาะเย้ย “จับข้าให้ได้สิถ้าเจ้าแน่จริง”
แน่นอนว่าเขาประเมินความสามารถของชิงสุ่ยต่ำเกินไปชิงสุ่ยเองก็เป็นยอดปรมาจารย์ด้านค่ายกลเช่นกัน เขาคิดจริงๆหรือว่าเขาจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของชิงสุ่ยไปได้ แม้ว่าเขาจะพยายามหลบหนีโดยอาศัยค่ายกลที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก แต่สุดท้ายชิงสุ่ยเพราะอาศัยพลังค่ายกลระดับง่ายๆ ก่อนจะปรากฏตัวข้างหน้าของทั้งสองคนและเริ่มจี้จุดฉานจงอย่างแม่นยำ
จุดฉานจงคือจุดชีพจรที่มีความอันตรายถึงชีวิตอย่างไรก็ตามอย่างน้อยมชิงสุ่ยก็ไม่ได้ต้องการให้ตายเลยทันที ซึ่งการสกัดจุดครั้งนี้ก็ทำให้ชายทั้งสองคนถึงกับถมเลือดคำโตออกมา ”จงบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ใครกันที่ต้องการสังหารข้าและใครกันที่ต้องการล้มล้างกลุ่มภาคีวิหคอัคคีเทวะ?”ชิงสุ่ยเปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยรอบให้อยู่ในกฎขอบเขตของพระราชวังเก้าเทวา ซึ่งเมื่ออยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ โอกาสที่ทั้งสองคนจะพยายามหลบหนีแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้
”หืม!!”ปรมาจารย์ค่ายกลหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ชิงสุ่ยเผยเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าจากนั้นเขาก็เริ่มสะบัดนิ้ว 2-3 ครั้ง ก่อนที่สีหน้าของคนทั้งสองจะแปรเปลี่ยนไป
ตอนนี้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังมีหนอนนับพันตัวเคลือบคลานหรืออย่างช้าๆพวกมันค่อยๆกัดกินร่างกายของทั้งสองคน มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งคัน ทั้งเจ็บปวดและน่ารังเกียจลึกลงสู่แกนหลักของจิตใจ มันเป็นความเจ็บปวดที่ยากเกินจินตนาการ
ชายผิวดำร่างยักษ์เริ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดร่างกายของเขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงความน่าสยดสยอง
ในขณะเดียวกันยอดปรมาจารย์ค่ายกลก็เริ่มจะไม่สามารถรับมือกับความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญได้การจัดกินของเจ้าหนอนน้อยเริ่มต้นอย่างช้าๆจนกระทั่งชายผิวดำไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาเริ่มตะโกนเพื่อต้องการปลดปล่อยร่างกายจากความเจ็บปวด “ข้า ข้ายอมแล้ว ข้าจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้!!”
ชิงสุ่ยปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่เกาะกินร่างกายของชาวผิวดำอย่างรวดเร็วเขาก็ทำมันด้วยความยินดีและเต็มใจ
ในไม่ช้ายอดปรมาจารย์ค่ายกลก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดได้อีกแล้วเขายอมพ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวด และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอว่า “ข้าเองก็ยอมแล้ว”
”บางคนเต็มใจจะพูดทั้งๆที่ควรเปิดปากตั้งแต่เริ่มตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของเจ้าแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวอย่างมีความสุข
”ไม่เขาไม่รู้เท่าที่ข้ารู้”ชายชรายอดปรมาจารย์ค่ายกลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและไม่อยากไปเชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานเช่นนี้อีกแล้ว
ชิงสุ่ยจึงจำใจต้องปลดปล่อยความเจ็บปวดของชายชราเช่นกัน
”จงบอกข้ามาว่าใครที่คิดจะสังหารข้าและเฉินหวง”
”มันคือจินเฟิงนิกายแดนดาบยักษ์และภาคีวิหคเงา”ปรมาจารย์ค่ายกลกล่าวอย่างเร่งรีบ
ชิงสุ่ยยื่นมือออกไปจี้จุดบริเวณจุดเดิมของร่างกายชายผิวดำเพื่อให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเช่นดั่งเดิม เพราะความรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาบ่งบอกได้ถึงคำพูดที่ดูโกหกจากปากของชายชรา
”ไม่ภาคีวิหคเงาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย”ชายผิวดำรีบตอบอย่างเร่งด่วนที่สุด
ชิงสุ่ยยื่นมือออกไปสกัดจุดเพื่อปลดปล่อยความเจ็บปวด”ข้ารู้ทันทีถ้าหากพวกเจ้าโกหก ครั้งหน้าจะไม่เป็นเช่นนี้อีกแล้ว หากพวกเจ้าคิดจะโกหกอีก พวกเจ้าจะได้ตายอย่างทรมาน”
ดวงตาที่ทั้งสองคนกำลังจ้องมองชิงสุ่ยมันเหมือนกับพวกเขากำลังมองดูปีศาจ ปีศาจที่โหดเห*้ยมพร้อมจะทรมานผู้คนอย่างช้าๆจนกระทั่งตาย
”แล้วตอนนี้เฉินหวงเป็นเช่นไรบ้าง”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวล
”พวกข้าเองก็ไม่รู้ แต่ที่ข้าเห็นคือจินเฟิงและผู้นำทั้งสามแห่งนิกายแดนดาบยักษ์ได้วางกับดักผสมยากระตุ้นอารมณ์เข้าไปในค่ายกลของข้า ใครก็ตามที่เข้าไปอยู่ในนั้นโอกาสที่จะต้านทานตัวยาแทบจะเป็นไปไม่ได้”
”แล้วพวกมันละ?”
”พวกเขากินยาต้านทานก่อนจะเข้าไปในค่ายกลของข้า”