เล่มที่ 20 เล่มที่ 20 ตอนที่ 582 คนพาล ท่านพอได้แล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

มู่หรงฉีไม่พูดอันใดอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ถามขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าแต่งตั้งจงเมิ่งหยวน บุตรสาวของจงเนี่ย ให้ดำรงตำแหน่งหลิงเซียวจวิ้นจู่ ตอนนี้นางยังอยู่ในวังหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีคาดเดาได้ว่ามู่หรงอวิ๋นไห่คิดจะทำสิ่งใด จึงหรี่ตามองเขา

มู่หรงฉีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ดูเหมือนมหาอุปราชจะชื่นชอบหลิงเซียว ดังนั้น หลายปีมานี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องนาง ตอนนี้นางยังเป็นจวิ้นจู่เพียงคนเดียวในราชวงศ์หนานเฉา”

“ข้าจำได้ว่า ตอนยังเด็ก นางมีใบหน้างดงาม ตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? ”

มู่หรงฉีมองซูจิ่นซี และพูดว่า “ตอนนี้หลิงเซียวยังคงงดงามโดดเด่น และ… มีใบหน้าคล้ายน้องหญิงยิ่งนัก”

มู่หรงอวิ๋นไห่ดูพอใจอย่างมาก “หลังกลับวังหลวง เจ้าไปสู่ขอนางที่สกุลจงเถิด! ข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ นางหนูหลิงเซียวชอบพอเจ้าอยู่บ้าง ความคิดของหญิงสาว ยิ่งเติบโตก็ยิ่งลึกซึ้ง คิดว่าตอนนี้นางต้องมีใจให้เจ้าอย่างลึกซึ้งเป็นแน่”

มู่หรงอวิ๋นไห่คิดจะใช้การอภิเษกของมู่หรงฉีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่กำจัดจงเนี่ยพ่อลูก?

ทันใดนั้น มู่หรงฉีก็ยืนขึ้น “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ไม่อาจทำได้! ”

มู่หรงอวิ๋นไห่หรี่ตาลง เขามองมู่หรงฉีราวกับใบมีดเชือดเฉือน “เพราะเหตุใด? เจ้ายังคิดถึงสนมจงอยู่อีกหรือ? ”

มู่หรงฉีพลันตกตะลึง

เรื่องระหว่างเขากับจงจื่อเยียน มีไม่กี่คนที่รู้ ตั้งแต่จงจื่อเยียนเข้าวัง เพื่อความปลอดภัยและอนาคตของนาง เขาได้จัดการอย่างเรียบร้อยและไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เช่นนั้น เสด็จพ่อทรงทราบได้อย่างไร?

เมื่อเห็นมู่หรงฉีไม่ตอบคำถามเป็นเวลานาน มู่หรงอวิ๋นไห่จึงมองมู่หรงฉีด้วยสายตาเย็นชามากขึ้น

มู่หรงฉีรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “เสด็จพ่อ ลูก… ลูกมิกล้า ลูก… ลูกมิกล้าจริงๆ ”

“ไม่กล้าก็ดี! ” แววตาของมู่หรงอวิ๋นไห่เปล่งประกายอยู่เหนือร่างของมู่หรงฉี แววตานั้นเย็นชายิ่งนัก “ในเมื่อไม่มี พรุ่งนี้ก็ไปสำนักโอสถสกุลจงเพื่อสู่ขอนาง

แม้มู่หรงเฟิงจะร่วมมือกับสกุลจง ทว่าในช่วงเวลาที่อ่อนไหวเช่นนี้ ใช่ว่าพ่อลูกสกุลจงจะเชื่อใจมู่หรงเฟิง ดังนั้น เพื่อดึงเจ้าเข้ามาเป็นพวกด้วย พวกเขาต้องตอบตกลงเรื่องการสู่ขอครั้งนี้แน่นอน

นอกจากนั้น เรื่องจงเนี่ยพ่อลูก ค่อยลงมือตอนที่เจ้ากับหลิงเซียวเข้าพิธีอภิเษก”

ที่สุดแล้ว มู่หรงอวิ๋นไห่ก็เป็นฮ่องเต้ ในตอนนั้น เขาเป็นผู้ค้ำชูสำนักโอสถสกุลจงให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ผู้ที่เป็นถึงฮ่องเต้ย่อมมีความคิดลึกซึ้งดั่งมหาสมุทร เขาเข้าใจจงเนี่ยพ่อลูกเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจงซูอี้ แม้เขาจะมากด้วยกลอุบาย ทว่าจุดอ่อนที่สุดของเขาคือความคิดที่ลึกซึ้งเกินไป และจิตใจที่เต็มไปด้วยความโลภ

บางครั้ง คนที่มีความโลภจะถูกกิเลสตัณหาทำร้ายตนเอง

ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูจิ่นซีนิ่งเงียบไม่พูดอันใด แววตาของนางเย็นชายิ่งกว่ามู่หรงอวิ๋นไห่เสียอีก เย็นชาราวกับว่าเรื่องที่อยู่ตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง เย็นชาราวกับว่านางเป็นเพียงผู้ที่ยืนดูการแสดงเท่านั้น

นางค่อยๆ ยกถ้วยชาบนโต๊ะด้านข้างขึ้นมาพลางปัดใบชาที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และจิบน้ำชาแผ่วเบา

นี่คือราชวงศ์แห่งกษัตริย์ผู้ไร้ใจ นี่คือธิดาและโอรสของราชวงศ์

หากไม่ถูกละเลยเมินเฉย ก็ถูกใช้เป็นบันไดเหยียบขึ้นไปสู่อำนาจของฮ่องเต้

แม้มู่หรงฉีจะไม่เต็มใจอย่างมาก ทว่าไม่มีวิธีใดดีไปกว่าวิธีที่มู่หรงอวิ๋นไห่แนะนำแล้ว

นอกจกนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องบนคือเสด็จพ่อของเขา จึงไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับแผ่นดินสกุลมู่หรง เขายิ่งไม่สามารถต่อต้านได้ ทำได้เพียงตอบรับ

เมื่อเรื่องนี้ได้รับการตัดสินใจแล้ว สุดท้ายซูจิ่นซีจึงกล่าวสรุปประเด็น

“ฉีอ๋อง เรื่องการอภิเษกระหว่างท่านกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ ยิ่งเร็วยิ่งดี จะให้ดีที่สุดคือลงมือในวันที่สกุลจงจัดการแข่งขันซิ่งหลิน”

มู่หรงฉีพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใด

“ในเมื่อเรื่องนี้ได้ข้อตกลงแล้ว เช่นนั้น พวกเราต่างไปจัดการเรื่องของตนเองเถิด! หม่อมฉันไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อน”

ซูจิ่นซีพูดพลางลุกขึ้นและเดินออกไป

ฮูหยินเฒ่าหานขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายหรือ? จิ่นซีเจ็บป่วยอันใดหรือไม่? เมื่อครู่ยายให้สาวใช้ไปเรียกเจ้า นางรู้สึกว่าเสียงของเจ้าผิดปกติ ต้องการให้ยายไปดูอาการให้เจ้าหรือไม่ หากเกิดเจ็บป่วยจะได้รักษาทัน”

แก้มของซูจิ่นซีพลันแดงก่ำ “ไม่… ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ… ”

ฮูหยินเฒ่าหานเห็นซูจิ่นซีแก้มแดง จึงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น “ไม่มีเรื่องอันใดจริงๆ ใช่หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีเขินอายจนไม่รู้ว่าควรตอบฮูหยินเฒ่าหานอย่างไร

“ท่านยายอย่าได้กังวล จิ่นซีไม่เป็นอันใดจริงๆ อาจเป็นเพราะ หลายวันมานี้เกิดเรื่องมากมายจึงเหนื่อยเกินไป ยังไม่หายดี จิ่นซีกลับไปนอนอีกหน่อยคงดีขึ้น”

ทว่าคำพูดนี้เป็นความจริง

เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนอยู่ที่ดินแดนต้องห้ามสกุลจง นางพักผ่อนไม่เพียงพอ อีกทั้งเมื่อคืนนี้ยังถูกเยี่ยโยวเหยาทำภารกิจทั้งคืน ยามนี้นางเหนื่อยจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว ที่นางยังนั่งอยู่ที่นี่และพูดคุยกับมู่หรงอวิ๋นไห่พ่อลูกเป็นเวลานาน ทั้งหมดล้วนอาศัยความอดทนอย่างหนัก

ตอนที่ซูจิ่นซีพูดคุยกับฮูหยินเฒ่าหาน ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่ามู่หรงฉีมองมาที่ตนด้วยสายตาผิดปกติ

นางหันศีรษะเหลือบมองสายตาของมู่หรงฉี เมื่อเข้าใจทิศทางที่มู่หรงฉีมองมา จึงตกตะลึงอยู่ในใจ แก้มยิ่งแดงมากขึ้น

ซูจิ่นซียกมือจับคอเสื้อด้านข้างลำคอ และรีบเดินออกไป “ตอนนี้ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน มื้อเที่ยงและมื้อเย็นไม่ต้องมาเรียกข้า ข้าไม่อยากทาน หากข้าอยากทานสิ่งใด จะให้สาวใช้ไปทำเอง”

ฮูหยินเฒ่าหานไม่เข้าใจว่าซูจิ่นซีเป็นอันใดกันแน่ ซูจิ่นซีจากไปอย่างเร่งรีบเช่นนั้น ทำให้นางยิ่งกังวลใจ

นางกลัวว่าซูจิ่นซีจะมีโรคอันใดแอบแฝงอยู่ภายใน และเขินอายเกินกว่าจะเอ่ยปาก หากปิดบังไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้การรักษาล่าช้าก็เป็นได้

ส่วนมู่หรงฉี เขาเพียงมองตามด้านหลังซูจิ่นซีและยกยิ้มมุมปากอย่างเงียบงัน

เขาพูดเกลี้ยกล่อมฮูหยินเฒ่าหานว่า “ฮูหยินเฒ่าหานอย่าได้กังวลใจ น้องหญิงมีความรู้ด้านการแพทย์ ในเมื่อนางไม่อยากพูด คิดว่าร่างกายตนเอง นางย่อมเข้าใจดีที่สุด โรคภัยทั่วไปไม่อาจทำอันใดนางได้”

ฮูหยินเฒ่าหานได้ยินเช่นนั้นจึงโล่งใจ

ซูจิ่นซีเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ และตรงไปที่เรือนพักของตนเอง

เมื่อกลับมาถึงเรือน นางไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะใช้มือผลักประตู จึงเดินเข้าไปใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก และตรงเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง

ซูจิ่นซียืนอยู่ข้างโต๊ะเครื่องแป้งและเอียงศีรษะเล็กน้อย ในกระจก นางเห็นรอยสีแดงดั่งสตรอว์เบอร์รี่อยู่ที่บริเวณลำคอด้านขวา

ทันใดนั้น แววตาของมู่หรงฉีก็ปรากฏขึ้นในความคิดของนาง นางยกมือกุมหน้าผากด้วยสีหน้าบูดบึ้ง และค่อยๆ ฝังใบหน้างดงามลงบนฝ่ามือ

เวลานี้ นางโกรธจนแทบจะเอากระจกฟาดศีรษะตนเอง

ช่างน่าอายเสียจริง!

นางนึกไม่ถึงว่าจะมีสิ่งนี้ ทั้งมู่หรงฉียังเห็นอีก ไม่รู้ว่านอกจากมู่หรงฉีแล้ว ยังมีผู้อื่นพบเห็นอีกหรือไม่

แม้นางจะออกเรือนแล้ว ทว่านางอยู่ที่นี่เพียงลำพัง! ผู้อื่นจะคิดอย่างไร?

ยิ่งคิดมากเท่าไร ซูจิ่นซีก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นเท่านั้น นางโมโหจนอยากจะวางยาพิษตนเอง และลืมเรื่องนี้ไป

ไม่ต้องพูดถึง แม้เรื่องเช่นนี้จะยากสักหน่อย ทว่าซูจิ่นซีสามารถทำได้

ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังลังเลว่าจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ มือเรียวยาวก็ค่อยๆ ยื่นมาจากด้านหลัง และโอบรอบเอวของนางอย่างอ่อนโยน มือนั้นค่อยๆ กอดนางแน่นขึ้น พานางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันกว้างใหญ่และปลอดภัย

หลังจากนั้น ใบหน้าที่มีลมหายใจเย็นชาของคนผู้หนึ่งก็วางลงบนหัวไหล่ของนาง

“ซูจิ่นซี ปล่อยให้ข้ารออยู่ตั้งนาน เจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร? ”

หากเยี่ยโยวเหยาไม่ปรากฏตัวก็คงจะดี เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น ความอับอายที่อยู่ในใจของซูจิ่นซีมานานก็กลายเป็นความโกรธที่ยากจะอธิบายได้

ซูจิ่นซีหลับตาลง “เยี่ยโยวเหยา ท่านพอได้แล้ว! ”

หลังสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาก็ซุกไซ้ไปที่ลำคอของนาง ทำให้ร่างของนางสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ความโกรธที่อยู่ในใจยิ่งทวีความรุนแรงจนไม่สามารถอธิบายได้ ซูจิ่นซียับยั้งการกระทำของเยี่ยโยวเหยา และหันกลับไปทันที

“คนพาล ท่านพอได้แล้ว! ”