”อย่าทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลย!”จงคุยโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม แม้กระนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ยังต้องพูดจาสุภาพต่อจงคุยเอาไว้ “ในฐานะพลเอก ผมมีสิทธิจะทำให้สัญญาณเตือนภัยดังตอนไหนก็ได้ แม้จะเป็นตอนตีสามก็ตาม มันจะอะไรนักหนา? ทุกคนควรจะได้รู้ว่าผมได้เป็นพลเอก ”
”จงไค!”จงคุยตะโกนขัดจงคุยที่กำลังพูดอยู่ขึ้นมา ก่อนจะตะคอกใส่เต็มแรงด้วยความโมโห “อย่าลืมว่าฉันเองก็เป็นพลเอกเหมือนกัน!”
”แล้วแกจะเสียใจ!”จงคุยเดือดอย่างมาก และอยากจะสั่งสอนบทเรียนให้จงไค
ในตอนนั้นเองเจียงเหว่ยก็รีบแสดงตัวขึ้นมาต่อหน้าจงไค เนื้อตัวกำยำของเขาบดบังจงคุยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นซะมิด
ทุกในที่นั่นต่างเห็นภาพนั้นกันหมดตัวของเจียงเหว่ยนั้นใหญ่โตจนสามารถบดบังพลเอกคนใหม่ซะมิด
จงไคค่อยๆพูดขึ้นมาช้าๆ”ผมยังไม่ได้ถามท่านพ่อเลย ช่วยตอบทีสิว่าทำไมวัสดุที่ดีที่สุดของเราทั้งปืน กระสุน อาวุธทั้งหลายจากคลังอาวุธรวมถึงเสบียงในค่ายของเราถึงถูกบรรทุกขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ทั้งห้าลำซึ่งบินออกจากค่ายเราไปยังค่ายเขี้ยวหมาป่า จนอาวุธของเราหายไปมากกว่าครึ่ง ที่นี้มันมีค่ามากพอรึยังที่ผมจะส่งสัญญาณเตือนภัย?”
”อะไรน่ะ!”
ทุกคนตะลึงตกใจกันหมด!
”อาวุธในคลังอาวุธหายไปกว่าครึ่ง?และยังถูกส่งไปให้ค่ายเขี้ยวหมาป่า?”
”ฝีมือใคร?มันจะต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากพอจะสั่งการให้ขนย้ายอาวุธในคลังสินค้าได้!”
”เฮลิคอปเตอร์ทั้งห้าลำเลย?แต่มันก็เป็นที่รู้กันดีว่าซางจิงทอดทิ้งค่ายเขี้ยวหมาป่าแล้วไม่ใช่งั้นเหรอ?” ”แล้วใครกันที่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?!ชาวบ้านทั้งค่ายจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ในอีกไม่ช้าว่าเรายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซางจิง!”
”นี้มันเป็นการผลักเราเข้าไปในกองไฟชัดๆ!”
จงคุยเองก็ตกใจค้างเหมือกนันเขามองลูกชายด้วยแววตาร้อนดั่งไฟ จากนั้นก็ตะคอกถามออกมาเสียงดัง “นี้มันคำสั่งของแก!”
”ผะผม—–” จงไคเดือดดาลสุดๆ จ้องพ่อตัวเองตาเขม็ง ตอนนี้ตัวเขามีศักดิ์เป็นพลเอกแห่งค่ายจินหยางเหมือนกัน เขาไม่กลัวอีกต่อไป “ผมก็ยังยืนคำถามเดิมทำไมท่านพ่อถึงทำแบบนั้น? ซางจิงยอมรับผมอย่างแท้จริงเพราะความสามารถของผม แม้ว่าจะพิการแต่พวกเขาก็มองว่าผมเหมาะสมกับตำแหน่งพลเเอก เพราะงั้นเพื่อที่จะปลดผมลงจากตำแหน่ง ท่านเลยคิดจะใส่ร้ายลูกตัวเองด้วยวิธีนี้?!”
”ฉันใส่ร้ายแก?”จงคุยไม่อยากจะเชื่อว่าจงไคจะลอบกัดเขาข้างหลังแบบนั้น จงคุยโกรธจัด “คิดว่าฉันมองไม่ออกเหรอว่าแกจงใช้ฉวยโอกาสเพื่อยึดอำนาจของฉัน!”
”หึ!ล้อเล่นรึไง แม้ว่าผมจะได้อำนาจของท่านพ่อมา แต่ไม่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะครองทั้งจินหยางได้” จงไคโต้กลับทันที “เห็นได้ชัดว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”
การเผชิญหน้าระหว่างสองพ่อลูกที่ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างเลยทุกคนรอบนอกได้ยืนมองอย่างทำอะไรไม่ถูก
อยากจะบ้าตาย!
ทำไมพวกเขาต้องมาฟังสองพ่อลูกเถียงกันไปมาแย่งชิงอำนาจกันด้วย!
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ยังไม่สามารถตัดสินใจได้เลยว่าจงไคหรือจงคุยที่พูดความจริงกันแน่ทั้งสองต่างยืนยันว่าเป็นแผนการของอีกฝ่าย การกระทำเช่นนี้ทำให้ค่ายจินหยางหมดความน่าเชื่อถือไปเลย
ไม่คุ้มค่ากับการเสียเทียนเพื่อจุดไฟให้สว่างเลยด้วยซ้ำ! การทะเลาะของสองพลเอกยังต่อลากยาวมาจนถึงรุ่งเช้าถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีทหารนายหนึ่งตัดสินใจดึงทุกคนกลับเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบันซะก่อน คาดว่าการทะเลาะของสองพ่อลูกคงจะไม่หยุดง่ายๆ คนที่มาจากค่ายอื่นๆยิ่งกว่ารำคาาญ พวกเขาคิดว่าค่ายจินหยางจะเหนือกว่า มีพลเอกในค่ายถึงสองคนมันคงกลายเป็นความรุ่งโรจน์ แต่กลับกลายเเป็นว่ามันสร้างปัญหาขึ้นมากกว่าเดิมซะอีก
ในช่วงเวลายุ่งเหยิงดำไม่กี่ชั่วโมงมีเพียงแค่เจียงเหว่ยที่ยืนอยู่ข้างจงไคยืนนิ่งเงียบราวกับหลับใน ไม่แสดงอาการท่าทางอะไรต่อเหตุการณ์เลยสักนิด
เจียงเหว่ยเงียบสงบดั่งภูเขาหากแท้จริงในใจกำลังยิ้มชอบใจที่ทุกอย่างเดินไปตามแผนของเขา
ทะเลาะ?
ดี!
ยิ่งทำให้สองพ่อลูกผิดใจกันมากเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะมันยิ่งสะดวกต่อพวกเขาที่จะหาช่องโหว่ในการส่งเสบียงของค่ายจินหยางไปให้ค่ายเขี้ยวหมาป่า!
ใครส่งเฮลิคอปเตอร์ทั้งห้าลำไป?
แน่นอนว่าไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนในค่ายจินหยางอนุญาตทั้งนั้นทุกอย่างนี้เกิดขึ้นหลังฟานจากไป หน่วยข่าวกรองลับส่งข่าวมาบอกพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าจงไคจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพลเอก
ตราบใดที่จงไคได้กลายเป็นพลเอกความขัดแย้งระหว่างสองพ่อลูกที่ถูกระงับเอาไว้จะระเบิดออกมา และหลังจากนั้นเหม็ลดพันธุ์ที่เขาหว่านเอาไว้เป็นเวลานั้นก็จะได้ฝังรากของมันลงไป
ช่างน่าบังเอิญที่ข่าวการแจ้งตำแหน่งพลเอกคนใหม่ของค่ายจินหยางมาได้จังหวะพอดีกับที่ค่ายเขี้ยวหมาป่ากำลังอยู่ในวิกฤตพอดีเรียกได้ว่าโชคเข้าข้างพวกเขา และหน่วยข่าวกรองลับก็ไม่ได้อะไรเลยหลังจากการประชุมลับของพวกเขาจบลง หัวข้อการประชุมลับของพวกเขาในครั้งนั้นก็คือการปล้นคลังอาวุธโดยใช้คนในที่พวกเขาส่งตัวเข้ามาแทรกซึมอยู่ในค่ายจินหยางให้บินเฮลิคอปเตอร์ทั้งห้าลำไปยังค่ายเขี้ยวหมาป่าซึ่งวิธีการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนเสบียงของค่ายเขี้ยวหมาป่าเท่านั้น แต่มันยังเป็นการช่วยให้หน่วยข่าวกรองลับในค่ายจินหยางได้ทำการติดต่อกับศูนย์บัญชาการใหญ่ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าอีกด้วย ยังไม่รวมที่มันช่วยสุมไฟความขัดแย้งของสองพ่อลูกให้หนักขึ้นกว่าเดิม!
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว!
————-
ตวนเจียงเหว่ยยืนอยู่ริมหน้าต่างมองลงมายังค่ายของตัวเองที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วจากวันแรกที่ตั้งต้น รูปแบบของค่ายที่เปลี่ยนไป ภาพตรงหน้าเขาในตอนนี้ดูไม่ต่างจากภาพในครั้งยุคศิวิไลซ์เลย ชาวบ้านของค่ายทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง กองกำลังทหารของค่ายตวนก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใคร
การได้รับเงิน500,000 เหรียญล่มสลายนั่นช่วยย่นระยะเวลาแผนการพัฒนาของค่ายตวนที่เดิมทีเป็นแผนระยะให้ลดลงมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยความทะเยอะทะยานและมุ่งมั่นเช่นนี้ทำไมค่ายตวนของเขาจะกลายเป็นที่หนึ่งของโลกไม่ได้?
”ค่ายจินหยาง?”ตวนเจียงเหว่ยหมุนตัวกลับมาและจ้องหน้าหลูชูซเวที่เดินเข้ามาเพื่อรายงานด้วยสีหน้าสับสน จังหวะตวนเจียงเหว่ยหมุนตัวกลับมา ลมได้ตีเสื้อคลุมของเขาไปข้างหลัง เผยให้เห็นมีดสั้นตรงเอวซึ่งเปล่งประกายแสงสีม่วงตรงด้านบนสะท้อนออกมา
”ค่ะได้รับการยืนยันแล้ว” หลูชูซเวตอบกลับด้วยความท่าทางนอบน้อม ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองตาตวนเจียงเหว่ย และเลือกที่จะวางสายตาไปที่เอวของตวนเจียงเหว่ยซึ่งมีมีดพกอยู่ ความข้องใจก่อตัวขึ้นในใจของเธอทันที
ทำไมพลเอกตวนเจียงเหว่ยต้องพกมืดสั้นติดตัวไว้ที่ข้างเอว!
ทำไมมันถึงเเปล่งแสงออกมาตอนนี้?
คำถามมากมายก่อตัวขึ้นในหัวของหลูชูซเวแม้ว่าเธอจะรู้ความจริงเกี่ยวกับตวนเจียงเหว่ย แต่เธอก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามเขาออกมาตรงๆ
ตวนเจียงเหว่ยเองก็คิดว่าหลูชูซเวต้องจัดการกับปัญหาภายในของค่ายตวนทุกวันและแทบไม่ได้ออกไปจากค่ายเลยแม้ว่าจะออกจากค่าย หลูชูซเวก็จะมีผู้ติดตามดูแลกลุ่มใหญ่ค่อยประกบเสมอ แต่แล้วทำไมจู่ๆกริชของเขาถึงได้เปล่งแสงเตือนออกมาตอนที่เห็นหลูชูซเวล่ะ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆโดยที่หลูชูซเวไม่รู้อะไรเลยหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้อะไรเลยกันแน่!