หลี่ซื่อหมินกินอย่างไม่คิดอะไรมากทั้งไม่สนใจเกี่ยวกับเข็มเงินที่เปลี่ยนเป็นสีดำเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยกกล่องที่ใส่ต้นกุ้ยช่ายที่ผัดเกรียมขึ้นมากินจนไม่มีเหลือ อู๋เสอผู้น่าสงสารที่กำลังเหงื่อไหลดั่งสายฝน ยืนพิงอยู่ที่ราวระเบียง ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่เขาราวกับว่าเพิ่งจะไปเที่ยวนรกมาหนึ่งรอบ
มองดูหลี่ซื่อหมินเคี้ยวอาหารด้วยความวิตกกังวล กว่าครึ่งค่อนวันอู๋เสอจึงยืนตัวตรงได้ เขาแทบอยากจะบีบคออวิ๋นเยี่ยให้ตายทั้งเป็น
“จะสอนอะไรให้เจ้าอย่างหนึ่ง อู๋เสอ เข็มเงินนั้นสามารถทดสอบพิษที่มีปริมาณที่น้อยมากได้ ซึ่งนั่นก็คือสารหนูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือกล่าวอีกอย่างคือสารพิษทั้งหมดที่มีกำมะถันผสมอยู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่ากำมะถันคืออะไร เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าสารหนูที่สำนักศึกษาผลิตขึ้นมาเข็มเงินไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าลองไปหาเห็ดพิษมาพิสูจน์ดูก็จะรู้ว่าการตรวจพิษด้วยเข็มเงินเป็นเรื่องน่าขันเพียงไร พระวรกายของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงชะตาของประเทศ พวกเจ้ากลับใช้วิธีการง่ายๆ ที่ไม่บังเกิดผลเช่นนี้มาปกป้องฝ่าบาทหรือ เจ้าเองก็ลองหาไข่ไก่มาจำนวนหนึ่งแล้วดูว่าไข่แดงทั้งหมดสามารถทำให้เข็มเงินเป็นสีดำได้หรือไม่ ถ้าหาก… “
“ถ้าหากเขาพูดผิด จะต้องมาสอนที่สำนักศึกษาใช่หรือไม่ ด้านหนึ่งก็เรียนรู้วิธีทดสอบยาพิษกับซุนซือเหมี่ยว จากนั้นถือโอกาสให้สอนนักเรียนที่โง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้นของเจ้าให้เป็นยอดฝีมือใช่ไหม” หลี่ซื่อหมินแคะฟัน เหล่มองอวิ๋นเยี่ยด้วยอาการดูถูก เพียงแค่เอ่ยปากก็เปิดโปงความคิดอันชั่วร้ายของเขาแล้ว
อวิ๋นเยี่ยอ้าปากค้างแต่พูดอะไรไม่ออกเลย ตนเองแอบวางแผนเรื่องอู๋เสออยู่หลายวัน ไม่ใช่ง่ายเลยที่กำลังจะเห็นผลแล้ว แต่กลับถูกหลี่ซื่อหมินเปิดโปง ความทุ่มเทที่ลงทุนลงแรงไปต้องสูญเปล่าจะให้เขาไม่เสียอกเสียใจได้อย่างไรไหว
“เจ้าหนุ่มอย่างเจ้าเวลาพบเจอของดีเข้า ก็พยายามที่จะได้มาครอง หยกจันทร์เสี้ยวของถังเจี่ยนคงตกอยู่ในมือเจ้าแล้วกระมัง ได้ยินมาว่าหยกขาวหลิงหลงคู่ของตระกูลเฉิงก็อยู่ในมือเจ้าแล้วกระมัง เจ้าไม่ใช่คนที่รักเงินทองดั่งชีวิต แต่ก็มีนิสัยที่ไม่ดีในการซ่อนสมบัติล้ำค่าหลังจากที่รวบรวมได้
กับผู้ที่มีความสามารถอันแท้จริงก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการใดกับตระกูลกงซู อย่างไรก็ตามตำแหน่งขุนนางขั้นที่หกของราชสำนักถูกเขามองเป็นสิ่งไร้ค่า สวี่จิ้งจงเองก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง หากไม่ได้มีปัญหาเรื่องของศีลธรรมเป็นเหตุ มีหรือเราจะอนุญาตให้เจ้าพาเขาไปทนทรมานที่ทุ่งหญ้าอย่างนั้นหรือ หลังจากที่กลับมานิสัยก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าทำกิจอันใดก็ละเอียดละออไม่มีข้อผิดพลาด โจรปล้นสุสานคนนั้นเจ้าก็สามารถบีบเค้นความสามารถของเขาออกมาจนหมดสิ้น เจ้าหนุ่ม เราอดพูดไม่ได้คำหนึ่งว่า เจ้าเยี่ยมมาก! ตอนนี้ก็พุ่งกรงเล็บปีศาจมายังอู๋เสอ หลายวันนี้เข้าเฝ้าดูอย่างเย็นชาก็เพื่อดูว่าเจ้าจะเล่นลูกไม้แบบไหน ในที่สุดวันนี้หางสุนัขจิ้งจอกของเจ้าก็เปิดเผยออกมาแล้ว”
เมื่อพูดคำพูดที่ยืดยาวจนจบก็เอามือกุมท้องหัวเราะลั่น ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำ เขาก็จะรู้สึกยินดีปรีดา
อู๋เสอก็หัวเราะดังตามไปด้วย รอยยับยู่ยี่บนใบหน้าก็ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นให้เห็นเสมือนหนึ่งดอกเบญจมาศแรกแย้ม เมื่อพูดจบก็คุกเข่าถวายคำนับพูดด้วยความวิงวอนอย่างที่สุดว่า “กระหม่อมชำระร่างกายเข้าวังตั้งแต่อายุแปดขวบ ถวายการรับใช้ฮ่องเต้ทั้งสามรัชสมัยแห่งราชวงศ์สุย หากไม่เป็นเพราะฝ่าบาททรงมีวิสัยทัศน์เก็บกระหม่อมมาจากสถานที่ที่ไม่มีใครมอง ร่างกายที่ไม่สมประกอบของกระหม่อมก็เสมือนหนึ่งเป็นดินโคลนที่ถูกผู้คนเหยียบย่ำ แม้ว่ากระหม่อมจะมีฝีมือติดตัว แต่ก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฝ่าบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้ต้องตายกี่ครั้งก็ไม่มีวันเสียใจ
หลายวันก่อนเห็นอวิ๋นโหวไม่รังเกียจกระหม่อมคิดว่าผู้ที่มีความรู้ในใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่ดูแคลนร่างกายที่ไม่สมประกอบของกระหม่อม ในตอนนี้ความตั้งใจของอวิ๋นโหวถูกฝ่าบาททรงมองทะลุปรุโปร่ง ขออย่าได้รู้สึกเสียหน้าเลย อวิ๋นโหว ท่านรู้หรือไม่ว่าในใจข้าเย่อหยิ่งเพียงใด ตัวข้าที่เป็นขันทีคนหนึ่งสามารถดึงดูดให้ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่นับจำนวนได้ในใต้หล้าให้ความสนใจที่จะดึงตัวได้ นับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ของข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าได้เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้บรรพบุรุษของข้าที่นอนอยู่ใต้ดินล้วนแล้วแต่รู้สึกภาคภูมิใจ อวิ๋นโหวหากถึงช่วงเวลาที่ข้าร่างกายเหนื่อยล้าไม่สามารถทำอะไรได้อีก ข้าจะขอกราบทูลลาฝ่าบาทเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลาย ในเวลานั้นสำนักศึกษาอวี้ซันจะยังคงมีที่สำหรับขันทีเฒ่าอย่างข้าอยู่อีกหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กุมสองมือของอู๋เสอที่มือขวากำลังกำหมัดประกบอยู่ใต้มือซ้ายแล้วพูดกับเขาว่า “ขอเพียงแค่ฝ่าบาททรงอนุญาตและเจ้าเต็มใจมา ข้าจะเหลือห้องทำงานไว้ให้เจ้าหนึ่งห้อง ประตูใหญ่แห่งสำนักศึกษาจะเปิดรอเจ้าอยู่เสมอ”
“ฮึ รุกฆาตเราหรือ มาสำนักศึกษาคราวนี้ช่างขาดทุนยิ่งนัก คนรับใช้ที่ใช้งานอยู่ดีๆ คนหนึ่งจู่ๆ หัวใจก็โบยบินไปเสียเช่นนี้แล้ว เอาเถอะ อู๋เสอ เจ้าอยู่ข้างกายเราอีกสามปี แล้วเราจะอนุญาตให้เจ้าออกจากวังไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา เพื่อเชิดชูวงศ์ตระกูลทำให้ความปรารถนาของบรรพชนเจ้าได้เป็นจริง”
อู๋เสอหมอบลงบนพื้นทันทีและโขกศีรษะไม่ยอมหยุดด้วยเสียงอ้ำอึ้งในลำคอพูดอะไรไม่ออก ส่วนอวิ๋นเยี่ยนั้นตกอยู่ในแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของหลี่ซื่อหมินจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้ายิ่งทียิ่งรุนแรงขึ้น
ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรนักที่จะไปล่องเรือบนแม่น้ำตงหยางกับหลี่ซื่อหมิน เขาชอบเป็นฝ่ายลงมือกระทำ ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะพายเรือด้วยตัวเอง หลังจากหมุนวนเป็นวงกลมอยู่เจ็ดแปดครั้งอยู่ในแม่น้ำ เขาก็ถูกใจแพไม้ไผ่ของผู้อื่นเข้า โดยบอกว่าอวิ๋นเยี่ยเตรียมของเล่นอะไรที่ไม่ได้เรื่องให้ ในแม่น้ำตลอดทั้งสายมีเพียงแค่พวกเขาที่นั่งเรือ ส่วนคนอื่นๆ นั้นพายแพไม้ไผ่ ตนเองนั้นต้องนั่งเรือโทรมๆ ที่ไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ ทำให้เสียบรรยากาศเป็นอย่างมาก
หลี่เค่อพายแพไม้ไผ่ให้มารดานั่ง น้องชายกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน อินเฟยและหลี่โย่วช่วยกันพายแพไม้ไผ่ สองแม่ลูกช่วยกันพายแพไม้ไผ่ไปอย่างรวดเร็ว หลี่โย่วยังตะโกนเรียกหลี่เค่อให้แข่งขันเพื่อวัดผลแพ้ชนะ ซึ่งไม่เหลือร่องรอยท่าทีของคุณชายชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย
คนขี้เกียจที่สุดต้องยกให้หลี่ไท่ ถือร่มกระดาษน้ำมันนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้และถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง ก็รู้ว่าเขาไม่ได้อ่านแต่กำลังแสร้งทำเมือ่อยู่ต่อหน้าพ่อของเขา นอนหลับจนน้ำลายไหลยืดออกมา เพิกเฉยต่อความเหนื่อยยากของหวงสู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของแพ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลี่ไท่จึงชอบที่จะออกคำสั่งต่อหวงสู่ อวิ๋นเยี่ยเรียกหวงสู่มาหาเตรียมที่จะเปลี่ยนแพ อู๋เสอเพียงแค่กระโดดพุ่งตัวจากเรือก็ไปยืนอยู่บนแพไม้ไผ่แล้ว พูดกับหวงสู่เพียงคำเดียว “ไสหัวไป!” หวงสู่ผู้เชื่อฟังก็กระโดดลงไปในน้ำทันทีและลอยไปตามกระแสน้ำ
อวิ๋นเยี่ยคว้าตัวหลี่ไท่ที่นอนหลับสะลึมสะลือขึ้นมาจากเก้าอี้ ประจบประแจงหลี่ซื่อหมินอย่างเต็มที่โดยเชิญให้เขาเอนกายลง จากนั้นแบ่งไม้พายให้หลี่ไท่หนึ่งด้ามและตนเองหนึ่งโดยไม่ต้องให้ออกคำสั่ง ทำตามคำสั่งของหลี่ซื่อหมินให้พายเรือทวนน้ำไล่ตามหลี่เค่อและหลี่โย่วที่พายห่างออกไปไกลมากแล้ว
พายแพไม้ไผ่จนมือเท้าอ่อนแรงในที่สุดก็ตามพวกเขาทัน แต่หลี่ซื่อหมินกลับเปลี่ยนใจและไม่อยากเล่นสนุกพร้อมกับภรรยาและลูกของเขา เตรียมจะไปพูดคุยกันตามประสาสองนายบ่าวกับหลี่จิ้งที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่ใต้ต้นหวยซู่
ชายชราแต่ละคนถือกาน้ำชาอยู่ในมือ ยกขึ้นดื่มอย่างออกรสชาติอย่างมีความสุข เพียงแค่ยื่นมือออกไปอู๋เสอก็หยิบกาน้ำชาจากกล่องผ้าที่แบกอยู่บนหลังส่งให้หลี่ซื่อหมิน พวกหลี่กังก็ลุกขึ้นตั้งแต่ที่เห็นจากระยะไกล ทำการคารวะต้อนรับการมาเยือนของหลี่ซื่อหมิน
“ท่านอาจารย์หลี่ ไม่ได้กันนาน เห็นท่านสุขภาพแข็งแรงสติแจ่มใสเหมือนดั่งเคย เราก็รู้สึกดีใจนัก” หลี่ซื่อหมินหัวเราะฮ่าๆ พูดเรื่องไร้สาระ
“หายากยิ่งที่ฝ่าบาทจะทรงหาเวลาว่างสักเล็กน้อยเสด็จออกมาตรวจราชการที่เขาอวี้ซัน ถือเป็นวาสนาของพวกกระหม่อมและนักเรียนอีกหลายพันคนในสำนักศึกษาแห่งนี้ ไม่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงเสด็จมาทรงพักผ่อนอย่างเบิกบานพระทัยได้อย่างเต็มที่ถือเป็นความผิดของกระหม่อม”
ไม่รู้ว่าจ้าวเหยียนหลิงโผล่ออกมาจากไหนนำเก้าอี้ไม้ไผ่สานวางไว้ในที่ร่มแล้วเชิญให้หลี่ซื่อหมินไปประทับ จากนั้นเขาก็หยิบอุปกรณ์ต้มชาอันแสนรักของเขาออกมาจากกล่องไม้เล็กๆ ใช้เม็ดสนที่ตากจนแห้งจุดไฟที่เตาเล็กๆ ขึ้น เตรียมที่จะถวายให้ฮ่องเต้ได้ลิ้มลองรสชาติการต้มชาที่ถนัดของเขา ในตอนนี้เขาจะมีงานอดิเรกเช่นนี้ ความคิดที่จะรับราชการนั้นจางหายไปนานแล้ว เพียงแต่ทักษะการต้มชาของตนเองถูกมองข้ามก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจมาโดยตลอด
ตอนนี้ในสำนักศึกษานั้นการชงชาใสได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ต้องใส่อะไรเลย เพียงแค่ได้เห็นใบชาลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบก็มีความสุขแล้ว มีบางคนที่ชอบนึกสนุกทำอะไรแผลงๆ ก็จะนำใบชาสดใหม่ที่ตนเองชอบมากที่สุดที่เพิ่งซื้อมาไปคั่วด้วยมือเปล่า แม้ว่ามือจะถูกลวกจนเหมือนเท้าหมูก็ยังคงไม่ตายใจที่จะเลิกทำ
เมื่อคราวนี้ฮ่องเต้เสด็จมาเอง จ้าวเหยียนหลิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยโอกาสให้ผ่านไป คราวที่แล้วฮองเฮาทรงโปรดปรานมาก สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีเหตุผลว่าฮ่องเต้จะไม่ชอบมัน นอกจากนี้ตนเองยังได้ปรับปรุงวิธีการดื่มชาแล้วด้วย ท่ามกลางความสง่างามที่แท้จริงเผยให้เห็นถึงสภาพความจริง
หลังจากอวิ๋นเยี่ยได้ชิมเมื่อคราวที่แล้วได้ให้ความเห็นว่าเป็นเหมือนน้ำล้างหม้อ คนพื้นบ้านเช่นนี้มีหรือจะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของแดนเสฉวน ไอน้ำเป็นละอองปกคลุมเสมือนปุยเมฆบนเขาอูซัน ตาปลาลอยพลิกไปมาทำให้ไอใสๆ ลอยขึ้นมา ฟองอากาศในน้ำเดือดราวกับคลื่นในแม่น้ำฉางเจียงกระทบฝั่งให้บรรยากาศดั่งท้องทะเลที่งดงามประณีต และที่หายากยิ่งไปกว่านั้นคือตนเองได้ใช้ไฟอ่อนคอยย่างแผ่นใบชาที่ตากแห้งรอให้เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงอ่อน แล้วใช้โม่หินบดให้ละเอียดให้เหมือนผงเปลือกสน ลอยทับซ้อนกันจากนั้นค่อยปรุงให้เข้ากันด้วยฝีมืออันสุดยอดให้ฟองอากาศกระจายตัวไล่ๆ กันไม่ทับซ้อนกันอยู่ในถ้วยชาสีเขียวเข้มอ่อนช้อยราวกับรำไทเก๊ก แต่ขาดตาปลาไปสองดวงซึ่งตนเองก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะใช้น้ำมันหมูแทนและโรยด้วยเกลือละเอียดอีกทั้งหัวหอมและขิงด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นรสชาติที่ไม่อร่อยเอาเสียเลย รสชาติแห่งแดนเสฉวนนั้นมีเพียงส้มกิกเปลือกส้มเข้มที่มีผิวละเอียดโรยไว้ด้านบนราวกับตะวันทอแสงในยามเช้า ฮองเฮาทรงชมไม่ขาดปากนั่นก็คือผู้ที่เข้าถึงจริงๆ อวิ๋นเยี่ยจอมเจ้าเล่ห์เพทุบาย หัวโจกของสามเภทภัยแห่งฉางอัน จะมีคุณสมบัติพอจะวิพากษ์วิจารณ์คุณภาพของชาของข้าได้อย่างไรกัน
จอนผมและหนวดของจ้าวเหยียนหลิงพลิ้วไหวอยู่บริเวณช่วงอก ท่าทีเคร่งขรึม วิธีการอันเคร่งครัด การชงชาเพียงหม้อเดียวก็ถูกเขาแสดงออกมาอย่างละเมียดละไมไร้ที่กล่าว หลังจากอู๋เสอแลบลิ้นออกมาหลังการทดสอบยาพิษ จึงถวายชาถ้วยแรกให้ฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อม จากนั้นจึงค่อยแจกจ่ายให้กับทุกคน แม้แต่หลี่ไท่ก็ยังมีหนึ่งถ้วย มีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนเดียวที่ถูกข้ามไป คนหยาบคายประเภทนี้ไม่คู่ควรที่จะให้ดื่ม
อู๋เสอรู้สึกเศร้าโศกแทนเจ้านายของตน หลี่ไท่สีหน้าอมทุกข์อยากจะส่งถ้วยชาให้อวิ๋นเยี่ย หลี่กังสรุปออกมาอย่างเสียงดังว่าเป็นชาที่ดีแต่ก็ไม่ได้ดื่มมันลงไป หยวนจางกัดฟันดื่มลงไปทั้งหมดในอึดใจเดียว และยกนิ้วหัวแม่มือให้ อาจารย์อวี้ซันนั้นชอบจริงๆ เขาสูดดมกลิ่นชาแล้วจิบไปหนึ่งคำและยิ้มแย้มหน้าบาน หลังจากหลีสือดื่มแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่อาการสำลักขึ้นมาเล็กน้อยได้ทรยศเขาเพราะบอกให้รู้ว่ากระเพาะเขานั้นผิดปกติ
หลี่ซื่อหมินจิบเล็กน้อยและส่งเสียง “จุๆ” ชื่นชมเขาและถึงกับถามจ้าวเหยียนหลิงว่าจะให้เขาต้มให้อีกหนึ่งกาได้หรือไม่ เพราะเขายังกระหายอยากลิ้มลองรสชาตินี้อีก การแสดงของพ่อตนทำให้หลี่ไท่รู้สึกเสียใจภายหลังกับการกระทำที่น่ารังเกียจของตนที่เมื่อครู่แอบเทน้ำชาใส่แขนเสื้อของเขา
เมื่อเหล่มองสีหน้าหลี่ซื่อหมินที่กำลังรอคอยอย่างใจจดจ่อ อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงความรู้สึกที่มีความสุขหลังจากที่จั่งซุนได้ดื่มชา ราวกับนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองในยุคปัจจุบันที่ไปเป็นแขกในบ้านของชาวปศุสัตว์ ชาเนยถือเป็นของดีที่เอาไว้ใช้สำหรับการต้อนรับแขก แต่ว่าพวกเขาต่างก็เป็นชนกลุ่มน้อยนะ
เมื่อมาคิดย้อนกับไปถึงชาติกำเนิดที่แปลกประหลาดของตระกูลหลี่และตระกูลจั่งซุนก็รู้ได้ทันทีว่าพวกชนเผ่าที่กินเนื้อวัวและเนื้อแกะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ชอบกินชาที่มีกลิ่นคาวและมัน ไม่แน่ว่ามันอาจได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากยีนในร่างกายของหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนก็เป็นได้
จ้าวเหยียนหลิงเดินผ่านหน้าอวิ๋นเยี่ยไปอย่างหยิ่งยโส ทั้งยังส่งเสียงหึๆ เบาๆ ด้วย นี่เป็นท่าทีที่เขาแสดงออกหลังจากที่เขาถูกอวิ๋นเยี่ยเหยียดหยามอย่างที่สุด…
หลี่ซื่อหมินได้กินน้ำมันหมูเข้าไปเต็มกระเพาะทำให้สุขกายสบายใจ ทั้งยังมีเสียงพิณโบราณของอาจารย์หยวนจางบรรเลงขับกล่อม ช่างเป็นสิ่งที่งดงามสุดจะบรรยาย หลี่กังฮัมบทกวีโบราณ “ลั่วเสินฟู่” หลีสือจรดพู่กันเขียนอักษร “ขุยเซี่ยจูเสียนถู” หลี่ซื่อหมินลุกขึ้นมารำกระบี่ อวิ๋นเยี่ยรีบหนีเตลิดเปิดเปิง
ยังไม่ทันที่จะดื่มสุรา ทุกคนต่างก็พากันเมามาย ต่างคนต่างเดินกอดคอกันกลับที่พัก ขณะหลี่ซื่อหมินนั้นนั่งเรือก็ยังมีเพลงพิณบรรเลงส่งตลอดการเดินทาง…
เงาของเรือผ่านพ้นมุมของภูเขา หลี่ก็อาเจียนยกใหญ่ หยวนจางโกรธมาก อวี้ซันดึงหูอวิ๋นเยี่ยส่งเสียงคำรามราวฟ้าผ่า ฝ่ามือของหลีสือกำแล้วปล่อยเปลี่ยนไปมาไม่หยุด มีเพียงจ้าวเหยียนหลิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ท่ามกลางความดื่มด่ำกับจินตนาการอันไร้ขอบเขตไม่รับรู้ต่อเรื่องราวในโลกภายนอก
“เจ้าหนุ่ม เรื่องประจบประแจงที่น่ารังเกียจเช่นนี้ยังถึงกับกล้าให้พวกเขาไปทำ ไม่กลัวฟ้าผ่ากลางศีรษะอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่ข้าพยายามฝืนที่จะบรรเลงพิณ ถึงตอนนี้ยังเจ็บปวดอยู่ในใจไม่จางหาย ศักดิ์ศรีของข้ายังเหลืออยู่อีกหรือ”
“ฝ่าบาทอยากเป็นคณบดี พวกเรานอกจากจะไม่ควรลงมือจากผลประโยชน์แล้วทั้งยังต้องเริ่มลงมือจากความรู้สึกด้วย ทำให้เขามีความรู้สึกที่ดีต่อสำนักศึกษา นี่จึงจะเป็นหลักการความเจริญที่ยั่งยืนของสำนักศึกษาไปตลอดกาล ความรู้สึกของมนุษย์เรานั้นแปลกมาก เมื่อมีของสิ่งนี้แล้วเรื่องถูกหรือผิดจะกลายเป็นเรื่องรองลงมาทันที อาจารย์ทุกท่าน เพื่อผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษา จะประพฤติตนเป็นคนต่ำช้าไปบ้างก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากมายกระมัง”