หากอยากจะหลอกล่อฮ่องเต้ก็ต้องมีคุณธรรมและสติปัญญาด้านการค้าที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นขาดทั้งสองสิ่ง สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือวิธีการที่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์เพียงบางอย่าง ซึ่งก็ยังไม่ใช่ประวัติศาสตร์ก่อนหน้าราชวงศ์ถัง ประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้หลี่ซื่อหมินรู้ดีกว่าเขามากมายนัก
อวี๋ชิวอวี่เคยกล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์ของพวกเรานั้นยาวนาน การวางแผนที่ลึกลับซับซ้อน กลยุทธ์ทางการทหารมากมาย ความมืดมนอันยิ่งใหญ่ เบื้องหลังที่ลึกสุดหยั่ง ความละโมบโลภมากเหลือคณา วิสัยทัศน์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อน แผนการที่สุ่มเสี่ยง แต่แท้จริงแล้วชีวิตคนเราไม่ได้ซับซ้อนวุ่นวายมากถึงเพียงนั้น ซึ่งจุดนี้อวิ๋นเยี่ยนั้นเข้าใจได้เป็นอย่างดี
บันทึกที่เหลืออยู่นั้นไม่มีครั้งไหนที่ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายร้อยปี เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยมากจึงได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ โดยทั่วไปแล้วก็ดำเนินชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่หรือ ชีวิตที่เรียบง่ายนั้นมีมากกว่าวันเวลาที่ต้องอยู่ภายใต้คมหอกคมดาบมากมายนัก ไม่มีใครสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็วเป็นระยะเวลานานๆ ได้หรอก บุคคลประเภทนั้นคือคนบ้า เช่น ฮิตเลอร์
อันที่จริงหลี่ซื่อหมินเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเป็นอย่างมาก คำพูดนี้หากพูดออกไปคงต้องโดนตบหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะโดนถ่มน้ำลายใส่หลายครั้งด้วย กักขังบิดา ฆ่าพี่น้อง ฆ่าลูกชายและลูกชาย ทุกอย่างนี้เขาทำมาหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ยังไม่เคยทำก็คือการสังหารขุนนางที่สร้างความดีความชอบ ดูราวกับว่าเขาจะดีกับคนนอกมากกว่าคนใกล้ชิดของตนเอง แม้แต่ม้าที่มีตำหนิด่างพร้อยอย่างอวี้ฉือกงก็ยังมีชีวิตบั้นปลายที่ดี จะไม่บอกว่าเขาเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางมากก็ไม่ได้ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าแม่ทัพ เพียงแค่วิธีการนี้ยังไม่ปรากฏในการกระทำของเขา แม้ว่าโหวจวินจี๋จะก่อกบฏเขาร้องไห้วิงวอนต่อเหล่าขุนนางแทนเขา ถึงแม้จะถูกสงสัยว่ากำลังเล่นละคร แต่ทว่าภรรยาและลูกเด็กเล็กแดงของเขารอดชีวิตมาได้ก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่เชื่อถือได้มาก เพราะแม้แต่เรื่องอื้อฉาวในพระราชวังก็ยังบันทึกโดยละเอียด เพียงแค่จุดนี้อวิ๋นเยี่ยก็เชื่อว่า หลี่ซื่อหมินเป็นหนึ่งในบรรดากษัตริย์ในยุคศักดินาคนหนึ่งที่ยังสามารถช่วยเหลือให้อยู่บนบัลลังก์ต่อไปได้
อวิ๋นเยี่ยกำลังพยายามช่วยเหลือจิตวิญญาณของหลี่ซื่อหมินอยู่ แต่ก็มีบางคนที่หวังว่าจะสามารถกำจัดหลี่ซื่อหมินจากร่างเนื้อได้ ผลการทำงานของนักฆ่าก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่น่าพอใจเอาเสียมากๆ สำนักใหญ่ๆ หลายสำนักในเมืองฉางอันต่างก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการโอบล้อมและกำจัดจนหมดสิ้น
ต้องบอกว่าหงเฉิงนั้นบ้าไปแล้วจริงๆ นักฆ่าที่ส่งมาจากตระกูลอวิ๋นแม้ว่าจะบ้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง ลิ้นนั้นสูญเสียระบบการหดยืดไปอย่างสิ้นเชิง ลิ้นห้อยอยู่นอกปากตลอดทั้งวันเหมือนกับสุนัขในวันที่อากาศร้อน แล้วแลบลิ้นออกมาและน้ำลายไหลจนดูน่าขยะแขยงมาก
หน่วยข่าวกรองนั้นไม่รังเกียจ หงเฉิงจึงยิ่งเหมือนได้สมบัติล้ำค่ามา ความเสียหายของเมืองฉางอันต้องมีคนมาชดเชยความสูญเสีย ความผิดต้องมีคนมาแบกรับเอาไว้ เขาถูกอวิ๋นเยี่ยรีดนาทาเร้นจนสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่สามารถชดเชยความสูญเสียได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงพุ่งเป้าหมายไปที่พรรคและสำนักเหล่านั้นซึ่งหลายปีที่ผ่านมาทำการค้าที่ให้ผู้อื่นรับรู้ไม่ได้ ทรัพย์สินท่วมท้นหากไม่แบ่งเอามาบ้างก็ออกจะเป็นการผิดต่อตัวเองจริงๆ และยิ่งผิดต่อชาวบ้านที่เป็นผู้เดือดร้อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อพิสูจน์ความจริงแล้ว เหล่ากำลังนอกรีตทั้งหมดเมื่อถูกกวาดล้างภายใต้การลงมือของทางการก็เป็นเหมือนหิมะและน้ำแข็งในฤดูร้อนที่ละลายหายไปจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว การตัดสินใจของหงเฉิงนั้นชาญฉลาดมาก จากพื้นที่ตามตรอกซอกซอยในเมืองฉางอันสามารถกวาดล้างชุดเกราะออกมาได้สองร้อยหกสิบเจ็ดชุด จำนวนอาวุธทั้งดาบยาวและดาบสั้นที่ควบคุมได้นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้หงเฉิงเสียวสันหลังจนเหงื่อออกมากที่สุดก็คือการปรากฏขึ้นของรถยิงหน้าไม้สองคัน
ยิงเพียงครั้งต่อเนื่องถึงสามดอก รุนแรงทะลุเกราะหนักได้ เมื่อใช้ทำลายกำแพงเมืองเหล่าทหารสามารถดูจากเป้าที่อยู่บนกำแพงและมุ่งหน้าไปยังตรงนั้นได้ ถ้าหากฮ่องเต้ออกรบด้วยตนเองก็จะมีคนหนึ่งอยู่ในระยะห้าร้อยก้าวคอยยิงธนู หงเฉิงแทบไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์เลย
หัวหน้ากลุ่มใหญ่ของพันธมิตรเสือขาวถูกตรึงไว้บนโครงไม้ในห้องลงทัณฑ์ เสือขาวที่องอาจห้าวหาญและความเย่อหยิ่งจองหองในอดีตตอนนี้เป็นเหมือนแมวป่วยตัวหนึ่ง ภายใต้แววตาเย็นชาของหงเฉิงตัวสั่นเทาไปทั้งร่างและวิงวอนร้องขอไม่ยอมหยุด
“รถยิงหน้าไม้มีทั้งหมดกี่คัน นำมาจากที่ไหน แล้วส่วนที่เหลือหายไปไหน พูดออกมาให้ชัดเจนแล้วข้าจะเมตตาให้เจ้าตายด้วยศพที่สมบูรณ์”
เสือขาวยังคิดจะเล่นตุกติก ดวงตากลิ้งกลอกไปมาคำโกหกก็ออกจากปากในทันที หงเฉิงเห็นคนประเภทนี้มามาก หากไม่ได้รับความทรมานอย่างจริงจังจะไม่ยอมพูดความจริงออกมาเด็ดขาด จึงยกดาบขึ้นเมื่อดาบตวัดลงนิ้วมือทั้งสี่นิ้วของเขาก็ถูกตัดขาดลงมา
เสียงร้องครวญครางดังขึ้นซึ่งคล้ายกับเสียงคำรามของเสือจริงๆ บางทีนี่อาจจะเป็นที่มาของชื่อเสือขาว
การให้ปากคำของเสือขาวทำให้หงเฉิงเหลือแต่ความเย็นชาแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีอีกสองคันที่ถูกคนที่ไม่รู้จักชื่อแซ่ซื้อไปด้วยเงินสามพันก้วนและถูกแยกออกเป็นชิ้นส่วนแล้วนำออกจากเมืองฉางอันไป
นกพิราบสื่อสารหลายตัวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า กองทหารม้าควบห้อตะบึงอยู่บนพื้นดิน แม้ว่าด้านหนึ่งอยู่บนฟ้าและอีกด้านหนึ่งอยู่บนดินแต่กลับไปยังทิศทางเดียวกันซึ่งก็คือมุ่งหน้าไปยังเขาอวี้ซัน หงเฉิงที่อยู่บนม้าเจ็บใจที่ตนไม่มีปีกที่สามารถรีบบินไปยังเขาอวี้ซันได้ในทันที
ทหารชราต้อนฝูงแพะไปกินหญ้าที่เชิงเขา ลูกชายของเขากำลังจะแต่งงานในไม่ช้านี้ ภายหน้าต้องมาที่บ้านเพื่อแสดงความยินดีซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกกินเก่งกันทั้งนั้น ไม่มีเนื้อสัตว์ต้อนรับไม่ได้เด็ดขาด บ้านอิฐเทาที่มุงหลังคาทั้งสามห้องตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่นัก ที่อยู่ติดกันเป็นบ้านสามห้องนอนของหมาน้อย ฝีมือในการสร้างบ้านของตระกูลอวิ๋นนั้นไร้ที่เปรียบ เวลาเพียงสิบวันก็สร้างบ้านเสร็จ ใหญ่โตกว้างขวาง แม้แต่ประตูตึกก็ก่อด้วยอิฐและปูด้วยอิฐแกะลายค้างคาว กระเบื้องที่เป็นรูปหัวสัตว์ ช่างดูดีมีสง่า แม้แต่ฝันยังไม่เคยฝันเลยว่าตนเองจะมีวันหนึ่งที่ได้อยู่บ้านแบบนี้
เมื่อนึกถึงคำขอโทษจากผู้ดูแลของตระกูลอวิ๋นในใจทหารชราก็รู้สึกอบอุ่น อิฐแดงหมดแล้วเพราะถูกส่งไปยังสถานที่ก่อสร้างในเมืองหลวงทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถขนย้ายแบ่งออกมาใช้บางส่วนไม่ได้จริงๆ จึงได้แต่ใช้อิฐเทาแทนเท่านั้น ตระกูลอวิ๋นผิดคำพูดที่ให้ไว้ขอให้ทหารชราและหมาน้อยอภัยให้ด้วย หากรออีกสองสามเดือนก็จะมีอิฐแดงแล้ว
ทหารชราหัวเราะและพูดกับผู้ดูแลว่า “จับสายลับได้คนหนึ่งก็ได้ผลดีถึงเพียงนี้ ข้ายังจะขออะไรอีก อิฐเทาก็อิฐเทาเถอะ บรรพชนข้าไม่เคยได้อาศัยอยู่ในบ้านที่หลังคาปูกระเบื้องด้วยซ้ำ อิฐแดงนั้นมีไว้เพื่อให้ชนชั้นสูงได้ใช้ พวกยากจนข้นแค้นในชนบทหากใช้ของสิ่งนั้นอาจจะอายุสั้นเอาได้ ได้ใช้อิฐเทานับว่าตระกูลอวิ๋นมีเมตตามากแล้ว มีโอกาสได้พบกับชนชั้นสูงผู้ซึ่งพูดแล้วไม่กลับคำนับว่าเป็นวาสนาของเกษตรกรอย่างพวกเรา”
ตอนนี้ในแต่ละวันบ้านสร้างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว หน้าต่างขัดแตะก็ติดตั้งเสร็จแล้วและยังโบกด้วยปูนขาวครั้งหนึ่ง ตระกูลอวิ๋นยังตั้งใจใช้อิฐที่เหลือเพื่อก่อแคร่ปูนขนาดใหญ่ให้ทั้งสองครอบครัวอีกด้วย เป็นของดีเชียวนะ เมื่อถึงฤดูหนาวคราวนี้ก็จะได้ไม่ต้องทรมานแล้ว โรคปวดไขข้อของคนชราหากได้อยู่บนแคร่ปูนอุ่นๆ ต่อให้เทพเจ้าจะขอแลกก็ไม่ยอม
ไล่ต้อนฝูงแพะเตรียมจะกลับบ้าน บ้านใหม่ยังคงต้องรอให้แห้งอีกสักสองสามวันจึงจะเข้าอยู่ได้ แต่ละวันหากไม่ได้ไปดูหลายๆ ครั้งจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เจ็บปวดใจจริงๆ เมื่อวานนี้เลิ่งจื่อลืมปิดหน้าต่างหากเกิดลมพัดแรงขึ้นมาจะไม่พัดหน้าต่างกระจายออกมาเป็นชิ้นหรือ
คุณหนูตระกูลจ้าวยิ่งเป็นนางจิ้งจอกอยู่ วันหนึ่งๆ เอาแต่แต่งตัวยั่วยวนทำให้เลิ่งจื่อหลงใหลหัวปักหัวปำ ชาวบ้านชาวนามีหรือจะสามารถทานทนต่อการทรมานของหญิงผลาญเงินเก่งได้หรือ โดนต่อยไปสามครั้งแล้วแต่ก็ไม่ปริปากสักคำ ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป ภายหน้าหากมีชีวิตที่ยากลำบากอย่าคิดว่าข้าจะช่วย วันนี้เหล่าพี่น้องทหารจะมาร่วมงานกัน ฆ่าแพะสักตัวแล้วดื่มเหล้าสักหน่อย จะเลิกเอาเรื่องเด็กโง่อย่างเจ้ามาเก็บเป็นอารมณ์แล้ว
มีรถม้าหลายคันควบอยู่บนถนนใหญ่ นี่เป็นลูกหลานจอมล้างผลาญตระกูลไหนกัน ไม่สงสารวัวควายเลยแม้แต่น้อย ก็แค่ขนย้ายสิ่งของ มีใครบ้างที่ไล่วัวควายราวกับไล่กระต่าย เพียงพริบตาเดียวรถม้าก็มาถึงด้านหน้าและมีชายสวมชุดดำคนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้าแล้วก็อ้าปากถามว่า “จากที่นี่ไปหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นต้องไปอีกไกลแค่ไหน”
ไม่อยากจะยุ่งกับเขา ไม่มีมารยาทเลยสักนิด จะถามทางก็ถามได้ชวนให้คนรังเกียจจริง แต่ว่าเมื่อเห็นว่าชายชุดดำร่างกายกำยำแข็งแรง หยุดยืนอย่างมั่นคง บางทีเขาอาจเป็นทาสของชนชั้นสูงตระกูลไหนก็เป็นได้ หลายวันนี้เจอมาเยอะมากแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำมีแต่คนมุ่งหน้าไปเขาอวี้ซัน ถือความคิดที่ว่าหากมีเรื่องน้อยลงไปหนึ่งเรื่องย่อมดีกว่าจึงกล่าวกับชายชุดดำว่า “ไม่ถึงยี่สิบลี้ แต่ว่าเมื่อถึงหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นแล้วพวกเจ้าต้องขับรถให้ช้าลงอีกหน่อย มิฉะนั้นองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นจะไล่พวกเจ้ากลับไป”
เหรียญทองแดงหลายเหรียญถูกโยนลงที่เท้าของทหารชรา ชายชุดดำก็รีบควบรถม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
ทหารชราหยิบเงินที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาทีละเหรียญแล้วใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด เรียงซ้อนกันไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นวางไว้บนก้อนหินที่อยู่ข้างทาง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนหนุ่มสาวในปัจจุบันนี้ไม่รู้จักที่จะทะนุถนอมวาสนาที่มีเลย โยนเงินทิ้งมั่วไปหมด” เมื่องมองไปที่รอยล้อรถบนพื้นก็บ่นอุบว่า “บรรทุกของหนักราวกับรถยิงหน้าไม้แล้วยังเร่งม้าไม่คิดชีวิตเช่นนี้อีก มันเป็นบาปนะ”
แกะวิ่งหนีไปอีกแล้วจึงหยิบก้อนดินขึ้นมาแล้วปาออกไปไกลๆ บังเอิญหล่นใส่เขาแพะตัวหนึ่งเข้าพอดี ฝูงแพะจึงเริ่มวิ่งกลับมาอีกครั้ง ทหารชราหัวเราะแหะๆ วิชาขว้างก้อนหินของเขายังใช้การได้อยู่
ตลาดนัดที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นตอนนี้กลายเป็นเปิดทุกวันแล้ว จากที่ในตอนแรกจะมีเพียงวันที่หนึ่งและสิบห้านับเป็นสองวันต่อเดือน ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นทุกๆ เจ็ดวัน แต่ช่วยไม่ได้เพราะพ่อค้าแม่ค้ามากันมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้จึงกลายเป็นมีทุกวันไปเลย หากใครมีอะไรก็สามารถนำมาขายได้ เจ้าหน้าที่ท้องที่ก็ได้สร้างโรงเก็บภาษีไว้ใกล้ๆ กับหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เพื่อทำหน้าที่ดูแลจัดการพ่อค้าเหล่านี้ซึ่งต้องจ่าย “ภาษีสิบห้าจ่ายหนึ่ง” แต่เกษตรกรไม่ต้องจ่ายซึ่งนี่เป็นคำร้องขอเป็นการเฉพาะของตระกูลอวิ๋น ในตอนนั้นที่อนุญาตให้เกษตรกรค้าขายที่นี่ก็เพียงแค่อำนวยความสะดวกแก่ชาวบ้าน หากต้องจ่ายภาษียังจะถือว่าอำนวยความสะดวกให้อีกหรือ
มีร้านค้าเปิดใหม่จำนวนมาก ร้านขายปลาของโจวต้าฝูก็คือหนึ่งในนั้น รวบรวมปลาจากชาวประมงและขายเพื่อทำกำไร แน่นอนว่าปลานั้นตายแล้วและนำก้างปลาออกจนหมด ผู้ซื้อเพียงแค่ซื้อเนื้อปลากลับไป ไม่ว่าจะนึ่งหรือต้มเมื่อเพิ่งเครื่องปรุงรสของร้านขายปลาก็จะได้อาหารมื้ออร่อยหนึ่งมื้อแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลอวิ๋นที่ซื้อทุกวันเพราะเป็นอาหารโปรดของแม่เฒ่า
วันนี้โจวต้าฝูสวมผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านขายปลา พูดคุยกับคนรู้จักละแวกนั้นเกี่ยวกับกับข้าวทั่วๆ ไปโดยบอกว่าการค้าเช่นนี้สนุกสนานมาก เพียงแต่ดวงตาจ้องมองทางเข้าตลาดเป็นระยะๆ ราวกับว่าเขากำลังรออะไรอยู่
เมื่อรถม้าที่คลุมด้วยผ้าใบกันน้ำมันค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในตลาด ดวงตาของโจวต้าฝูก็เปล่งประกายขึ้นและกล่าวขอตัวกับคนอื่นๆ โดยบอกว่าของในบ้านใหม่ของเขาส่งมาถึงแล้วต้องไปรอรับ จากนั้นก็รีบร้อนเข้าไปต้อนรับ
บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย รถม้าที่คลุมด้วยผ้าใบกันน้ำในตลาดมีจำนวนมาก รถสองคันนี้ของโจวต้าฝูจึงไม่ได้ดูสะดุดตาอะไรแม้แต่น้อย จึงขับรถม้าไปจนถึงประตูหลังซึ่งมีประตูขนาดใหญ่อยู่บานหนึ่งที่ใหญ่พอจะให้รถม้าผ่านเข้ามาได้
ซึ่งในลานบ้านนั้นคนที่ยืนอยู่ก็คือโต้วเยี่ยนซัน มือสังหารที่ส่งไปยังเขาอวี้ซันหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งหมด เขาก็รู้ว่ามันไม่ดีแน่จึงไปซ่อนตัวไกลๆ อยู่นอกเมืองฉางอันเพื่อรอคอยโอกาส มีข่าวว่าหลี่ซื่อหมินมาที่เขาอวี้ซันจึงทำให้เขาเห็นความหวังอีกครั้ง เพียงแต่ต้องการลอบสังหารระยะประชิดเป็นภารกิจที่ไม่มีทางทำสำเร็จ มีเพียงอาวุธระยะไกลเท่านั้นที่น่าจะบังเกิดผล อาวุธโจมตีระยะไกลเป็นอุปกรณ์ที่ถูกทางการสั่งห้ามไม่ให้ใช้เป็นการส่วนตัวอย่างเด็ดขาด รถยิงหน้าไม้ในกองทัพเขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะนำออกมาได้
โจวต้าฝูในฐานะชาวพื้นเมืองที่เกิดและโตที่นี่กลับรู้ว่าเสือขาวมีของสิ่งนี้ จึงใช้เงินจำนวนมากซื้อรถยิงหน้าไม้มาสองคัน ซึ่งนี่ทำให้พอจะมีต้นทุนสำหรับการลอบสังหารขึ้นมา ถนนสายยาวที่ทางเข้าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเป็นเส้นทางที่หลี่ซื่อหมินจะต้องเดินทางผ่านเพื่อกลับเมืองหลวง การลอบสังหารที่นี่สามารถได้ผลแบบยิงนัดเดียวได้นกสองตัว เมื่อหลี่ซื่อหมินถูกลอบสังหารไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ภัยใหญ่ก็จะต้องมาเยือนตระกูลอวิ๋นอย่างแน่นอน กองกำลังจึงใช้ตระกูลอวิ๋นเป็นศูนย์กลางและวาดวงกลมไว้บนแผนที่ซึ่งทั้งผู้คนเอย สุนัขเอยที่อยู่ในวงกลมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเป้าหมายที่ถูกระบุอย่างชัดเจน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
ขณะลูบคลำไม้ของรถยิงหน้าไม้ที่มันวาว โต้วเยี่ยนซันหลับตาลง เมื่อมีของสิ่งนี้ การลอบสังหารหลี่ซื่อหมินก็มีโอกาสมากถึงแปดส่วน ตระกูลอวิ๋นนั้นต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย คิดว่าวิญญาณท่านปู่บนสวรรค์จะต้องรู้สึกเป็นสุขอย่างแน่นอน