ตอนที่ 259 จุดเกิดจุดตาย โดย Ink Stone_Fantasy
เดิมทีโจวเซี่ยวเทียนไม่ใช่คนที่นิสัยแปลกแยก เพียงแต่ว่าเมื่อทางบ้านเกิดเรื่องราวที่เป็นจุดเปลี่ยน จึงทำให้คุยกับคนอื่นน้อยลงไปด้วย นานวันเข้าจึงกลายเป็นคนที่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากและนิสัยเย็นชา
แต่ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเจอเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ความอัดอั้นในใจของเขาก็เป็นที่รับรู้ได้ ในตอนนี้หาที่ระบายความทุกข์ได้จึงพรั่งพรูออกมาจนหยุดไม่ได้
เมื่อได้ฟังเรื่องราวในสิบกว่าปีที่ผ่านมาในชีวิตของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา แต่เดิมเขาคิดว่าตัวเองตั้งแต่เล็กโตมาไม่มีแม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเทียบกับโจวเซี่ยวเทียน ตัวเขาเองถือว่าโตมามีชีวิตที่สุขสบายเป็นอย่างมาก
และเยี่ยเทียนยังรู้อีกว่า มองไปที่โจวเซี่ยวเทียนที่อายุอย่างมากไม่เกินยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี ปีนี้น่าจะอายุสิบแปดปี เมื่อคำนวนแล้วอายุน้อยกว่าเขาสองสามปี คนมักพูดว่าครอบครัวยากจนเด็กจะดูโตกว่าอายุ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อย ก็เริ่มกล่าวว่า “บ้านนายความรู้ลึกซึ้ง ก็ถือได้ว่าเป็นคนดูฮวงจุ้ยของฉีเหมิน น่าจะรู้ว่า ขโมยขุดสุสานคนตายจะทำให้ความสมดุลของสวรรค์เสียหาย ในอนาคตอย่าทำอีกเลยเถอะ!”
นักดูฮวงจุ้ยที่ทำงานในสายอาชีพนี้ เดิมทีก็ถูกสวรรค์ริษยา หากไปเกี่ยวข้องกับเหตุอื่นๆ นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายชะตาชีวิตตัวเอง เช่นเดียวกับที่ ‘ปอด’ โจวเซี่ยวเทียน บาดเจ็บ ก็มาจากมุทะลุจนเจอตอเข้าให้
หลังจากได้ฟังที่เยี่ยเทียนกล่าวแล้ว โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ทำงานนี้ฉันก็ไม่รู้จะทำงานอะไรนี่นา แรกเริ่มเดิมทีก็แค่คิดว่าขโมยขุดสุสานนี้แล้วพอให้ได้เงินค่าผ่าตัดให้แม่ก็จะวางมือ แต่…แต่ไม่คิดว่า…”
โจวเซี่ยวเทียนเดิมทีก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับใคร แม้ว่าจะมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยและการพยากรณ์อยู่บ้าง แต่ในเมืองหลวงกลับไม่มีโอกาสให้ได้เอาออกมาใช้งาน เขาเคยคิดว่าจะไปตามชนบทเพื่อเปิดตลาด แต่ใครจะเชื่อเด็กอายุแค่นี้กันล่ะ
สุดท้ายก็ไร้หนทางจนต้องเลือกมาทำอาชีพขุดสุสานนี่ โดยเฉพาะหลังจากได้เงินสามหมื่นมาจากเยี่ยเทียนแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็เห็นความหวังที่จะเอาเงินมารักษาดวงตาของแม่
โจวเซี่ยวเทียนรู้ดีว่าการขโมยขุดสุสานนั้นทำลายความสมดุลของสวรรค์ ดังนั้นจึงใช้เวลาถึงสามเดือนเก็บมานิดเดียว เตรียมจะวางมือหลังจากจบงานนี้
แต่โจวเซี่ยวเทียนไม่คิดมาก่อนว่า ภายในสุสานจะมีไอพลังร้ายซ่อนอยู่ ซึ่งมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เกินกว่าความสามารถที่เขาจะรับมือไหว
“นายนี่มันเป็นเด็กที่โชคร้ายจริงๆ!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจออกมา ในสมองพลันนึกเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งออก เริ่มกล่าวว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นยื้อแย่งอาวุธวิเศษกับฉันตั้งหลายชิ้นในตลาดมืดนั่น ไม่ใช่ว่าเรียกราคาได้สามหมื่นห้าเหรอทำไมแค่เจ็ดแปดหมื่นควักออกมาไม่ได้”
พวกคนที่ท่องไปทั่วหล้า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีคำไหนที่พูดจริงอยู่แล้ว มักจะพูดจริงสิบส่วนโกหกหนึ่งส่วนอยู่แล้ว ใช้คำพูดหลอกล่อในตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเพื่อให้คนแยกไม่ออก ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนคิดถึงเรื่องเมื่อครานั้น ดวงตาไม่วายออกอาการสงสัย
“อาวุธหยกพวกนั้นเป็นของวิเศษ” ใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนปรากฏรอยยิ้มเจื่อนๆ กล่าวต่อว่า “ตอนนั้นผมก็ไม่มีเงิน แต่ผมรู้ว่าอาวุธหยกนั้นเป็นของดี อยากซื้อมาไว้ขายต่อ”
“ไม่มีเงิน นายกล้าเกทับได้ยังไง” เยี่ยเทียนขัดขึ้น
“ผมซื้อขายกับเถ้าแก่จี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ตามหลักแล้วสามารถกู้เถ้าแก่ได้สองแสน ดังนั้นผมเลยเสนอราคาสามแสนห้า!”
“คำพูดนายมันไม่สมเหตุสมผล…” เยี่ยเทียนส่ายหัว “นายรีบร้อนจะหาเงินมารักษาตาให้แม่ ทำไมไม่ขอกู้เงินจากจี่หรานมาก่อนล่ะ”
“ยืมเงินจากเขาก็ต้องบอกเรื่องความเป็นมาของพวกเราให้เขารู้หมด หากคืนเงินให้เขาไม่ได้ตามกำหนดเวลา ของที่ขุดเจอจากสุสานภายในสามปีจะต้องขายให้เขาก่อน ราคาแล้วแต่เขาจะกำหนด ดังนั้นถ้าไม่จวนตัวจริงๆ ผมไม่อยากไปยืมเงินจากเขา!”
ยืมเงินจากจี่หราน ก็เหมือนกับเซ็นสัญญาทาสขายตัวเอง โจวเซี่ยวเทียนยังไม่ถึงกับอับจนหนทางขนาดนั้น ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่ได้ขอยืมเงินจากนี่หราน
แต่ในตอนระหว่างที่ประมูลครั้งนั้น โจวเซี่ยวเทียนเห็นอาวุธหยกจำพวกนั้นไม่ธรรมดา คิดว่าหากซื้อไว้กับตัวและหาโอกาสปล่อยออกไป ก็จะสามารถคืนเงินที่ยืมจี่หรานมาและล้างมือกลับตัวได้ ดังนั้นในตอนนั้นจึงเสนอราคาแข่งกับเยี่ยเทียนไป
แต่ตอนที่เยี่ยเทียนเสนอไปถึงห้าแสน เขาก็รู้สึกว่าต่อให้จะอยากได้ขนาดไหนแต่เงินไม่เอื้ออำนวย ได้แต่จ้องมองของเหล่านั้นเข้ากระเป๋าเยี่ยเทียนอย่างเงียบๆ
“เจ้าเด็กนี่นี่มันหลอกตุ๋นชัดๆ เลยนี่”
คิดว่าเป็นเพราะโจวเซี่ยวเทียนทำให้ตัวเองต้องจ่ายเงินแพงกว่าเดิมหลายแสน ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อในคำกล่าวของอีกฝ่ายซะหมด แต่กลับหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้น
“สหายจี่ ผมเยี่ยเทียน….” หลังจากโทรติดเบอร์จี่หรานแล้ว เยี่ยเทียนถามว่า “ถามอะไรนายหน่อย ได้ยินว่าทั้งสองฝ่ายเมื่อทำการซื้อขายในตลาดมืด สามารถยืมเงินจำนวนหนึ่งจากนายได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จกันแน่”
‘อืมๆ ฉันรู้แล้ว ขอบคุณสหายจี่ ฉันอยู่นอกเมือง รอกลับไปปักกิ่งค่อยว่ากันแล้วกัน!” หลังจากได้ฟังความในโทรศัพท์ซักพัก เยี่ยเทียนพยักหน้าติดต่อกัน ปฏิเสธความคิดของจี่หรานที่จะชวนเขากินข้าว ก็วางสายไป
“นี่มันโลกมืด เจ้าเด็กนี่ไม่แค่เล่นของโบราณ แม้แต่กู้เงินนอกระบบก็ทำมาแล้ว” เยี่ยเทียนส่ายหน้า เชื่อคำพูดของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว
สามารถยืมเงินจากจี่หรานได้ ซื้อขายทั้งสองฝ่ายล้วนได้หมด แต่ก็มีแบ่งเป็นระดับ เช่นลูกค้าแบบเยี่ยเทียน ยืมเงินสดจากเขาสามล้านห้าล้านล้วนไม่มีปัญหา แต่กับโจวเซี่ยวเทียน สูงสุดก็แค่สามแสน
และจี่หรานเก็บดอกเบี้ยสูงมาก ไม่ได้คิดเป็นเดือนแต่คิดเป็นวัน ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกวัน เรื่องนี้แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่คิดจะยืมเงินแล้วมาเสนอราคาสู้กับเยี่ยเทียนในครานั้นแน่
หลังจากไล่เรียงต้นสายปลายเหตุเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “ถือว่าฉันเชื่อคำพูดนายแล้ว คุยเรื่องที่นี่กันดีกว่า”
สุสานนี้อยู่ที่หยางผิงข้างหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ฉันเทียวลอยชายไปลอยชายมาอยู่สามเดือนแล้ว ด้านล่างจะต้องมีสุสานใหญ่อยู่แน่นอน”
“และบริเวณนั้นด้านหลังติดกับภูเขาเถี่ยซาน มู่ซานและหวังซาน เป็นไปในลักษณะโอบล้อม ทางทิศตะวันออกและตก และมีแม่น้ำซาเหอไหลผ่าน เป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีที่สุดที่หนึ่ง!”
ในตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนแสดงความมั่นใจออกมา คัมภีร์สืบทอดลัทธิตระกูลโจวจะเน้นไปทางการดูฮวงจุ้ยของชัยภูมิ ถึงแม้สิ่งที่เขาเรียนมาจะขาดๆ เกินๆ ไม่ครบสมบูรณ์ แต่ว่ามั่นใจในสายตาของตัวเองมาก
“ในตอนที่นายเปิดถ้ำสุสาน เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น”
เยี่ยเทียนกล่าวถามอย่างไม่แสดงอาการตอบรับหรือปฏิเสธ สุสานบนหุบเขาเดิมทีก็เป็นจุดหยาง ยิ่งเป็นจุดที่มีฮวงจุ้ยดีเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังหยางมากเท่านั้น และหลายพันหลายร้อยปีมานี้เปลือกโลกเคลื่อนตัว แค่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อาจจะทำให้ถ้ำที่เป็นมงคลกลายเป็นสถานที่ที่พลังหยางเลวร้ายที่สุดก็ได้
สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนปรากฏความกลัวขึ้นมา กล่าวถามว่า “สุสานบนเขานั่นก่อนหน้านั้นก็เคยถูกคนบุกเข้าไปมาแล้ว ตรงจุดเกิดที่นั่น มีช่องขุดขโมยของอยู่ ดูจากร่องรอยน่าจะเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ผมเจาะทะลุช่องที่มีอยู่แล้วนั้น ในตอนที่กำลังเข้าไปในปากถ้ำของสุสาน ปรากฏโครงกระดูกหนึ่ง…”
คนขุดสุสานคนตาย ไม่มีทางหวาดกลัวซากศพแน่นอน โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนที่ใจกล้ามากคนหนึ่ง ตอนนั้นก็ดึงโครงกระดูกไปไว้อีกทาง กำลังเตรียมชุดกำแพงห้องที่ปิดผนึกถ้ำไว้นั้น
กำแพงกั้นห้องแบ่งออกเป็นสี่ชั้น วุ่นวายอยู่ค่อนคืน โจวเซี่ยวเทียนก็เหงื่อออกเหม็นโฉ่ ในที่สุดก็ขุดชั้นที่สามเป็นรู
แต่โจวเซี่ยวเทียนคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เขาหยิบอิฐในกำแพงชั้นที่นั้น ก็มีกระแสไอหยางเย็นสายหนึ่งลอยล้นทะลักออกมาจากช่องนั้น ในอึดใจนั้นก็ทำให้โจวเซี่ยวเทียนที่เหงื่อออกโทรมกายรู้สึกเกหมือนตกอยู่ในหุบเขาหิมะ
ในตอนนั้นโจวเซี่ยวเทียนรู้สึกได้แต่รอบตัวมีลมหยางพัดเป็นระลอก ข้างหูได้ยินเสียงครวญครางหมาหอน เลือดทั่วสรรพางย์กายราวมถูกทำให้แข็งเป็นก้อน ในตอนนี้เอง เข็มทิศเวทมนตร์ที่ตัว ก็ปล่อยกระแสความอุ่นออกมาป้องกันร่างกายของโจวเซี่ยวเทียน
คนที่รู้จักฮวงจุ้ยของสุสานเป็นอย่างดีอย่างโจวเซี่ยวเทียนรู้ดี ตัวเองกำลังก่อเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว ที่นี่ไม่ใช่จุดเกิดที่จะเข้าสุสาน แต่เป็นจุดตายที่มีพลังหยางไหลเวียน เขาก็รู้ดีว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหน
หลังจากฝังผู้ตายแล้ว เป็นกลิ่นศพที่ลอยออกมาจริงจะค่อยๆจับกับอากาศในถ้ำก่อให้เกิดพลังเกิด ผ่านการแลกเปลี่ยนกันของหยินหยางก่อเกิดเป็นทาง กระทบกับโลกหลังความตายและด้านซ้ายขวาส่งผลกับญาติๆ ที่ยังอยู่บนโลก
และลมในถ้ำก็คือพลังหยาง ทั้งสองสิ่งจะต้องหมุนเวียนกันตามระดับของฮวงจุ้ยภายในสุสาน ถึงจะเกิดพลังโชคลาภ ทั้งสองสิ่งหากมีการแบ่งแยกกันชัดเจนและก็หลอมรวมกัน
แต่หลุมที่โจวเซี่ยวเทียนอยู่นั้น เป็นสถานที่ที่พลังหยินไหลเวียนพอดี เมือเปิดออก ก็ทำให้ไอชั่วร้ายที่กักเก็บมาเป็นพันพันปีเล็ดลอดออกมา ไม่แช่แข็งเขาไว้ที่ตรงนั้นก็เพราะยังดีที่มีอาวุธวิเศษเข็มทิศเวทมนตร์
หลังจากโจวเซี่ยวเทียนรู้ว่าตัวก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว ก็รีบยัดอิฐก้อนนั้นกลับเข้าไป แล้วก็ถมกำแพงสามชั้นที่เจาะไปก่อนหน้าอุดเข้าไปใหม่ แต่ระดับฮวงจุ้ยถูกทำลายแล้วไม่ใช่ว่าจะสามารถปิดผนึกกันได้ง่ายๆ
โจวเซี่ยวเทียนเข้าใจดี การกระทำของเขานั้นแค่ทำให้ไอร้ายที่จะเล็ดลอดออกมาช้าลงไปเท่านั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ในตอนนั้นกลั้นใจทิ้งเข็มทิศเวทมนตร์ของบรรพบุรุษที่สืบทอดมาไว้ที่นั่น
แต่ภายในเข็มทิศเวทมนตร์เก็บกักพลังดีเอาไว้ เมื่อมาเปรียบเทียบกับไอร้ายในสุสานที่เก็บมาเป็นพันพันปี ก็ถือว่าน้อยมาก อย่างมากสุดก็สามวัน อาวุธวิเศษก็จะถูกกัดกร่อนกลายเป็นภาชนะธรรมดา และไอความชั่วร้ายในสุสานก็ยังจะไหลรั่วออกมาอยู่ดี
“ในตอนที่นายเข้าไปที่พลังสุสาน ไม่ได้สังเกตุชัยภูมิเหรอ”
เยี่ยเทียนหมดคำพูดกับการกระทำยางอย่างของโจวเซี่ยวเทียน ภายในสุสานพลังหยินหยางแบ่งแยกชัดเจน ขอแค่คนที่รู้จักดูพลังชัยภูมิเป็น ก็จะแยกออกได้ทั้งนั้น เจ้าเด็กโง่นี่ทำไมถึงได้วิ่งไปทางที่เป็นถ้ำหยางประตูตายได้กัน
“ผมใช้เข็มทิศเวทมนตร์ดูแล้ว ไม่…ไม่คิดว่าจะผิด…”
โจวเซี่ยวเทียนกล่าวเสียงแผ่ว แต่ก็ทำให้เยี่ยเทียนเข้าใจความเป็นมา อาจารย์ดูฮวงจุ้ยในปัจจุบันได้สูญเสียความสามารถในการสื่อสารกับพลังหยินหยางทั้งสองไป อาศัยอาวุธและผนวกกับเปลือกโลกที่เปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะผิดพลาดก็หนีไม่พ้นว่าจะเยอะหน่อย
มองไปยังหมั่นโถวเย็นชืดบนโต๊ะ เยี่ยเทียนส่ายหัว หยิบยาตันออกมาพร้อมกล่าวว่า “พอแล้ว นายเอายานี่ไปบดให้ละเอียดเป็นน้ำแล้วกินเข้าไป ฉันจะออกไปซื้อของกินหน่อย”
โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ผนวกกับเข้าสู่สายอาชีพขุดสุสานนี่ก็เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือก ก็ถือว่าเยี่ยเทียนตกลงใจที่จะช่วยเขาครั้งนี้เป็นหลัก และหากดูจากอีกแง่สำคัญอีกอย่างคือโจวเซี่ยวเทียนเป็นเพื่อนร่วมสายอาชีพคนเดียวที่เขาเคยเจอ
โยนยาลูกกลอนโยนให้โจวเซี่ยวเทียนแล้วเยี่ยเทียนก็ออกจากโฮสเทลไป หาร้านบาร์บีคิวเนื้อลา ไม่ได้ซื้อแบบบาร์บีคิวแต่ซื้อเนื้อลาร้อนๆ มาห้ากิโลกรัม ของอันนี้เป็นยาบำรุงชั้นดี สามารถกำจัดไอเย็นได้
……………………