ตอนที่ 260 โยนหินถามทาง

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 260 โยนหินถามทาง โดย Ink Stone_Fantasy

“กินเถอะ แล้วค่อยดื่มเหล้า ใช้ขับไล่ไอเย็น!”

หลังจากกลับมาโฮสเทล เยี่ยเทียนก็เอาเนื้อลาและเหล้าขวดหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ในตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนก็กินยาที่เขาให้ไปแล้ว ใบหน้ามีเลือดฝาดมากกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก

“พี่เยี่ย ขอบคุณพี่มาก!” โจวเซี่ยวเทียนมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างนึกขอบคุณ หยิบเนื้อลาได้ก็คว้าขึ้นมากินทันที เด็กอายุสิบแปดสิบเก้าปีเป็นตอนที่กำลังเติบโต กินหมั่นโถวและผักดองเค็มทุกวัน ทำให้เขาชะงักการเจริญเติบโตไปไม่น้อย

“เรื่องร้ายครั้งนี้ฉันจะช่วยนายขจัดมัน แต่หลังจากนั้นนายจะทำยังไง” ในปีนั้นลัทธิตระกูลโจวในฉีเหมินถือว่ามีชื่อเสียงมาก แต่พอเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน รุ่นหลังกลับยึดอาชีพขุดสุสานเลี้ยงตัวเอง ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

“พี่เยี่ย ผม….ผมไม่ทำอาชีพนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ”

โจวเซี่ยวเทียนหัวเราะแหย่ๆ ออกมา ออกแรงกลืนเนื้อลาในปากลงไปในท้อง กล่าวว่า “พี่เยี่ย ผมรู้ว่าพี่ดีกับผม ผมไม่อยากปิดบังพี่ ดวงตาของแม่ผมอย่างมากก็ยืดเวลาออกไปได้อีกปีเดียวเท่านั้น หากเก็บเงินค่าผ่าตัดได้ไม่พอ แม่ของผมก็ตาบอดจริงๆแล้ว!”

ในตอนที่กล่าวถึงความยากลำบากของตนนั้น สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนยังมีความเข้มแข็ง แต่ในเวลานี้เมื่อกล่าวถึงแม่ที่รักที่อยู่ด้วยกันมา ในดวงตาพลันมีน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมา หยิบบาร์บีคิวเนื้อลาขึ้นมาแต่ไม่ว่ายังไงก็กลืนไม่ลงแล้ว

“อืม กินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วเราไปดูสถานที่นั้นกัน…” เยี่ยเทียนดันเนื้อลาไปทางโจวเซี่ยวเทียนและไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ

จากการพูดคุยอย่างยาวนานครั้งนี้ เยี่ยเทียนรู้สึกดีต่อโจวเซี่ยวเทียนไม่น้อย ในใจก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่เรื่องยุ่งยากตรงหน้ายังไม่ได้แก้ไข เยี่ยเทียนไม่อยากรีบพูดกับเขาก่อน

หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ตะลึงงันไป “พี่เยี่ย ทำ…ทำอันนี้…แต่…แต่ต้องไปตอนกลางคืนนะพี่ หมู่บ้านนั้นคนไปๆ มาๆ ไม่น้อยนะ…”

“เหลวไหล เรื่องนี้ฉันจะไม่รู้หรือไง แต่ฉันไม่ได้ไปขโมยขุดสุสานเสียหน่อย แค่ไปดูชัยภูมิสถานที่ดูพลังในพื้นที่เท่านั้น กลัวอะไรตอนเช้าตอนกลางคืน”

เยี่ยเทียนถูกโจวเซี่ยวเทียนว่าเสียไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ในปีก่อนที่เขาติดตามนักพรตเฒ่าท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอพวกขุดสุสานนี่ เขาไม่ได้โง่ขนาดจะขุดลงไปในสุสานตั้งแต่หัววัน จากนั้นก็เจอคนพบเข้าแล้วก็ติดอยู่ตรงรูเข้าสุสาน

“แหะๆ ผมรู้ว่าพี่เยี่ยมีความชำนาญ พี่เยี่ย พี่กินด้วยกันสิ คนเดียวตั้งเยอะผมกินไม่หมด!”

คุยเรื่องส่วนตัวหมดเปลือกเป็นครั้งแรกกับคนแปลกหน้า นิสัยของโจวเซี่ยวเทียนก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นอย่างมาก เขาในตอนนี้ถึงจะดูเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุสิบกว่าปี ความอึดอัดบนร่างกายก็ลดน้อยลงไปบางส่วนอย่างรู้สึกได้

“อืม กินเยอะๆ หน่อย ตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว ถือว่าเป็นอาหารเที่ยงแล้วกัน…”

เยี่ยเทียนพยักหน้า หยิบเนื้อลามาแล้วเริ่มกิน กะเพาะของเขาใหญ่กว่าโจวเซี่ยวเทียนมาก แค่กินแป๊บเดียว เหล้าหนึ่งขวดเนื้อห้ากิโลกลับถูกสองคนกินซะจนไม่เหลือ หนึ่งในนั้นประมาณห้าถึงหกร้อยกรัมอยู่ในกระเพาะของเยี่ยเทียน

“ไปกันเถอะ ออกไปเดินย่อยกัน!”

หยิบกระดาษมาเช็ดมือแผ่นหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นยืน บิดไล่ความขบเมื่อย ข้อต่อทั้งหมดในร่างกายส่งเสียงลั่นกร๊อบ โจวเซี่ยวเทียนมองจนตาค้าง

“พี่เยี่ย ไอ้แบบนี้พี่ฝึกยังไงกัน”

โจวเซี่ยวเทียนพอได้ห้าขวบก็ฝึกวิชาที่ตกทอดมากับพ่อ ไม่ได้หยุดพัก ถึงแม้วรยุทธ์จะเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่สายตาก็ไม่แย่ เยี่ยเทียนท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ต้องเป็นคนที่ฝึกปรือวิชายุทธ์ขั้นสูงสุดแล้วถึงจะแสดงออกมาแบบนี้

เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ฉันฝึกวิชาหมัดของตระกูล ใช้แรงเข้าไปในกระดูก มองเผินๆ เหมือนวิชาหมัดนอกตระกูลเท่านั้น ตระกูลโจวของพวกนายน่าจะมีวิชาคล้ายๆกันนี่อยู่ ไม่ต้องอิจฉาฉันหรอก…”

“มีน่ะมี แต่ต้องอาศัยวิชาอิทธิฤทธิ์ร่วมด้วยจึงจะฝึกออกมาเป็นวิชายุทธ์ ตั้งแต่รุ่นปู่ทวดของปู่ทวดก็สาบสูญไปแล้ว ที่ตกทอดมาถึงพ่อของผม ก็มีแต่เคล็ดวิชาป้องกันตัวของตระกูลเท่านั้น”

สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนหมองคล้ำ ตอนเขายังเด็กๆ เวลาที่พ่อพูดถึงยุทธภพฉีเหมินเขาก็รู้สึกอิจฉา แต่หนังสือเคล็ดวิชาของตระกูลไม่ถูกเผาก็สูญหาย ลัทธิตระกูลโจวก็ไม่รุ่งเรืองเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว

“สูญหาย” เยี่ยเทียนตะลึงไปชั่วขณะ และหัวเราะกล่าวต่อว่า “ไม่ถูกเผาเป็นจุลก็ถือว่าดี อีกหน่อยโชคชะตานำพา ไม่แน่ว่านายอาจจะหาเจอก็ได้”

กล่าวตามจริง เยี่ยเทียนก็อยากดูสิ่งของตกทอดมาของตระกูลโจว ว่าจริงๆแล้วเป็นหนังสือเคล็ดวิชาหรือว่าเป็นสิ่งของอะไรอื่น

เยี่ยเทียนได้รับสิ่งของตกทอดมาอย่างแปลกไม่เหมือนใคร อันดับแรกไม่มีตัวอักษร อันดับต่อมาไม่มีรูปภาพ แต่เป็นข้อความที่จับต้องไม่ได้มองไม่เห็นเท่านั้น แม้แต่นักพรตเฒ่าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะตัวเขาเองก็อยากจะตามหาหลักฐานสืบทอดของทางฮวงจุ้ยให้เจอดูบ้าง

แต่หลังจากหมดยุคปฏิวัติ โดยเฉพาะในสิบปีนั้นที่อลหม่านวุ่นวาย ไม่เพียงแต่ตระกูลโจวที่เผชิญกับเรื่องร้ายๆ เกือบทั้งหมดของเคล็ดวิชาในแขนงอื่นๆที่ตกทอดล้วนแล้วแต่ถูกเผาเป็นจุลไม่มีเหลือ ล้วนแต่ขาดการการสืบทอด

หลี่ซ่านหยวนเคยพาเยี่ยเทียนไปเยี่ยมเยียนสำนักวิชาฮวงจุ้ยอื่นๆ แต่คนฉีเหมินพวกนั้นไม่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นก็เอาอาวุธที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มาต้มตุ๋นหลอกลวง แต่กลับไม่เหลือคนที่สามารถพูดคุยกับธาตุในธรรมชาติได้อีกแล้ว ยุคเรืองรองของฉีเมินก็ไม่มีอีกแล้ว

“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ…” โจวเซี่ยวเทียนส่ายหัว หยิบเอากล่องใหญ่ที่ล้มลงที่พื้นหยิบตั้งขึ้น

“ข้างในมีอะไร” เยี่ยเทียนถามขึ้น กล่องนั้นไม่ใช่เล็กๆ ใส่คนเข้าไปข้างในยังเหลือที่อยู่อีกมาก

“เพื่อนขโมยขุดสุสาน พี่เยี่ย ลงไปไม่มีของแบบนี้ไม่ได้เลยจริงๆ”

โจวเซี่ยวเทียนยิ้มขึ้นพลางกล่าว เปิดกล่องออกและหยิบของที่รูปทรงคล้ายหมวกขึ้นมา กล่าวว่า “พี่เยี่ย อันนี้คือไฟหัวกบ สวมไว้บนหัว นี่เป็นหน้ากากออกซิเจน แบบใช้ครั้งเดียว อยู่ได้นาน 20 นาที ตอนที่เพิ่งลงไปจะต้องสวมใส่ไว้…”

ของในกล่องนั้นของโจวเซี่ยวเทียนมีไม่น้อยทีเดียว นอกจากไฟหัวกบและหน้ากากออกซิเจนแล้ว ยังมีพลัวสั้นและพลั่วยาวและชะแลงอีกทั้งของอื่นๆ เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่าเจ้าเด็กนี่จะยกกล่องนี้ไปที่สุสานได้ยังไง

เยี่ยเทียนคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวว่า “โฮสเทลนี้ไม่ปลอดภัย พวกเราออกไปแล้วเอากล่องนี่ไปด้วย”

เยี่ยเทียนรับประกันได้ว่า หากกล่องนี่อยู่ที่นี่รอจนกระทั่งพวกเขาออกไปแล้ว ไม่เกินห้านาที จะต้องมีคนรีบเข้ามาค้นในทันที ถ้าเป็นแบบนั้นฐานะที่เป็นโจรขุดสุสานของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป

“พี่เยี่ย อันนี้…อันนี้ต้องรอตอนกลางคืนที่ไม่มีคน เช่ารถสามล้อลากไป ตอนไม่ได้” โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกยุ่งยากบ้าง กล่องใหญ่ขนาดนี้ ขืนเอาออกไปตอนกลางวันก็เป้าสายตากันพอดี

“หยิบมาแล้วไปกัน ฉันขับรถมา จะว่าไป ของพวกนี้ของนายมีเกือบครึ่งที่ต้องโยนทิ้งไป ไม่งั้นถูกตรวจค้นขึ้นมาก็เสร็จเหมือนกัน”

ตอนปีเก้าแปดขณะนั้น ถนนหลายสายจะมีบัตรผ่านถนน ยิ่งเป็นบริเวณที่ยากจนบัตรผ่านถนนก็จะเยอะตาม หากถูกตรวจพบ ก็กลายเป็นเยี่ยเทียนหาเหาใส่หัวตัวเองแล้ว

เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนขับรถมา โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่สงสัยอีกต่อไป ยกกระเป๋าเดินตามเยี่ยเทียนนำหน้าเขารั้งท้ายออกไปจากโฮสเทล

สุสานโบราณที่โจวเซี่ยวเทียนกล่าวถึงทั้งหมดนั้น ห่างจากเมืองฉู่หยางก็หลายสิบกี่โลได้ อยู่ที่เมืองหยางผิงที่หมู่บ้านชื่อเถียนจ้วงทำนองนี้ หลังจากหลายชั่วโมงผ่านไป รถของเยี่ยเทียนก็มาหยุดลงตรงถนนแคบๆ ที่มีโคลนเต็มไปหมดสายหนึ่ง

ตอนที่อยู่บนถนน เยี่ยเทียนเอาเพื่อนของโจวเซี่ยวเทียนโยนทิ้งไปเกือบครึ่ง  เหลือไว้แต่ไฟหัวกบกับพลั่ว โจวเซี่ยวเทียนถึงแม้จะเสียใจไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรเยอะ

“อย่าเพิ่งลงรถ ชี้ให้ฉันดูหน่อยสิ!” หลังจากมาถึงสถานที่ โจวเซี่ยวเทียนก็อยากเปิดประตูลงรถแต่กลับถูกเยี่ยเทียนเรียกไว้

ถึงแม้ไม่เข้าใจความหมายที่เยี่ยทำแบบนี้ แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ชี้ไปยังสถานที่นั้นกล่าวว่า “พี่เยี่ย ตรงนั้นแหละ นั่น ตรงนั้นมีก้อนหินใหญ่อยู่ ไปทางทิศตะวันตกประมาณยี่สิบเมตรได้!”

หลังจากมองไปรอบทิศจากหน้าต่างบนรถ เยี่ยเทียนก็อุทานออกมาว่า “หลังติดภูเขา เป็นแบบโอบล้อม ด้านตะวันตกตะวันออกมีแม่น้ำไหลผ่าน ที่แท้ก็เป็นสถานที่แอบซ่อนฮวงจุ้ยดีไว้นี่เอง เกรงว่าที่นายขุดไปเจอนั้น ไม่ใช่แม่ทัพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นบุคคลที่มีอำนาจเป็นอย่างมาก!”

อิทธิฤทธิ์ของลัทธิเสื้อป่านค่อนข้างจะหนักไปทางศาตร์วิชาการพยากรณ์ประเภทนั้น ก็ตามที่เยี่ยเทียนเข้าใจในฮวงจุ้ยของหยางจ๋ายก็ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งมาก

แต่หลังจากเยี่ยเทียนฝึกวิชาลับแล้ว สายตาก็สามารถมองเห็นด้านบนของสุสานมมีไอพลังงานหยินหยางสองอย่างรวมตัวกันอยู่ด้านบน ที่ทำให้เขาตกใจมากไปกว่านั้น ระยะพื้นที่ของสุสานนี้ กลับมีพื้นที่กว้างพอๆกับสนามฟุตบอล

หรือก็คือ สิ่งก่อสร้างในสุสานบริเวณพื้นที่ตรงนี้ อย่างน้อยนั้นก็ประมาณพันกว่าตารางเมตรขึ้นไป บุคคลที่ตายไปแล้วจะสามารถได้รับอภิสิทธิ์พื้นที่ขนาดนี้ได้ ฐานะจะต้องไม่ใช่กระจอกแน่นอน

โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจกล่าวว่า “พี่เยี่ย ด้านล่างนี้ใช้อิฐสีดำ สงสัยว่าจะเป็นสุสานใหญ่ยุคถังหรือซ่ง ไม่ใช่ปลายราชวงศ์ถังก็ต้นราชวงศ์ซ่ง”

สุสานสมัยราชวงศ์ถังส่วนมากจะสร้างใกล้กับภูเขา ชอบขุดภูเขาให้เป็นโพรงแล้วทำเป็นสุสานของกษัตริย์ แต่ปลายถังต้นซ่งนั้นใช้อิฐก่อเป็นสุสานค่อนข้างจะเยอะ มนฐานะคนขุดสุสานที่มีความทัศนวิสัยนั้น ความรู้เฉพาะทางของโจวเซี่ยวเทียนนั้นถือว่ามีอยู่ไม่น้อย

หลังจากมองไปบริเวณนั้นอยู่ชั่วครู่ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว กล่าวว่า “ไอร้ายของสุสานนี้กันไว้ไม่ไหวแล้ว ดูท่าแล้วอาจจะต้องหาวิธีอื่น!”

“อย่างนั้น…อย่างนั้นทำยังไงดี” โจวเซี่ยวเทียนเมื่อได้ฟังก็เริ่มร้อนรน เรื่องนี้เขาเป็นก่อซะด้วย

“ไม่เกี่ยวกับนาย สุสานนี้ดูแล้วมีช่องไม่น้อยกว่าสิบ ดูท่าจะมีรุ่นพี่นายเข้าไปแล้ว อ่างเก็บน้ำที่เป็นไอดี หากไม่เพิ่มการไหลเวียน ดูท่าจะเคราะห์หนักกว่านี้”

เยี่ยเทียนดูจากสถานที่พบว่า คนที่เคยมาขุดสุสานใหญ่นี่มาก่อนมีไม่น้อยเลยทีเดียว ดูจากตำแหน่งที่ขุดเปิดหลุมก็ดูออก ข้างในมีไม่น้อยที่มีคนรู้ลึกถึงฮวงจุ้ยด้านใน เดินไปทางไอดี

แต่ว่าตั้งแต่นานมา สุสานนี้ก็เปลี่ยนเป็นพลังหยางแข็งขึ้นแต่พลังหยินกลับอ่อนลง ต่อให้เยี่ยเทียนปิดจุดหยางลงได้ แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไป หลังจากที่พลังหยินและหยางหายไป กลับจะยิ่งทำให้เกิดภัยพิบัติมากกว่าเก่า

“ไปกัน… ” เยี่ยเทียนมองเห็นรถเทียมลามาทางนี้พอดี บิดกุญแจสตาร์ทรถ ขับตรงไปในทิศทางที่รถเทียมลานั่นอยู่

ในตอนที่เกวียนเทียมลาขยับเปิดทางให้นั้น เยี่ยเทียนหมุนกระจกลง ปากเอ่ยถามทาง ไปยังคนชราที่อยู่บนเกวียนเทียมลานั้นถามว่า “ลุง เจ้าจวงอยู่ข้างหน้าหรือเปล่าถนนเส้นนี้เดินทางไม่สะดวกเอามากๆ!”

หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียน คนแก่ก็ขยับแส้ในมือกล่าวว่า “พวกเธอสองคนจะไปเจ้าจวงเหรออยู่ข้างหน้านี่แหละ เลยเถียนจวงไปอีกสองกิโลเมตร แต่ถนนแถวนั้นยิ่งเดินทางยากกว่านี้อีกนา!”

…………