ตอนที่ 272 โหมไฟให้ลุกโชน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ถุงที่ถูกส่งออกมา มีกลิ่นหอมของยาสมุนไพรกระจายออกมา

 

 

“ในถุงใบนี้ก็คือยาถอนพิษ สามารถสะกดพิษของต้นไม้หนามเอาไว้ได้ หลังจากนั้นท่านอาจารย์ของข้าและอาจารย์ลุงทั้งหลายจะช่วยขับพิษของไม้หนามที่ฝังอยู่ในร่างของทุกคนออกมา”

 

 

ผู้คนทั้งหลายได้ยินแล้ว ก็กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ กลุ่มคนที่ได้รับบาดเจ็บ ที่กำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกและหมดหวังก็มีประกายแห่งความหวังเล็กๆ ขึ้นมาในดวงตาทันที

 

 

พวกเขามีทางรอดแล้ว?

 

 

“นางจะใจดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หยวนเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่กำลังปีนเขาขึ้นมานั้น นางเองก็ไม่ทันระวังถูกต้นไม้หนามเกี่ยวเข้าด้วยเหมือนกัน หลังมือของนางมีรอยแผลเล็กๆ ที่คันนิดๆ แต่ว่ายังคงไม่มียอดอ่อนของไม้หนามงอกออกมาเหมือนคนพวกนั้น

 

 

คงจะเป็นเพราะว่าโดนไปเพียงแค่นิดเดียวละมั้ง….

 

 

งูเขียวน้อยที่พันอยู่บนข้อมือของนาง มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหนักใจ

 

 

“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ แค่ดูก็รู้อยู่แล้วว่านางไม่มีเจตนาดี ไหนเลยจะยังต้องคิดอีก?” ตู๋กูเจวี๋ย กระชับเสื้อคลุมของหลงเซียวเอาไว้อย่างแนบแน่น ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นหนาวจนแดงก่ำขึ้นมา

 

 

หนาวจนถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่อาจจะปิดปากที่กล่าววาจาพร่ำเพื่อของเขาลงได้

 

 

“ท่านยังไม่รู้อะไร ตอนแรกที่องค์หญิงผู้นี้มายังแคว้นต้าโจว ก็ทิ้งข้าวของลงมาจากบนตึกอย่างชุ่ยๆ นางเป็นคนที่คิดแผนร้ายอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจเชื่อถือได้อย่างเด็ดขาด”

 

 

หยวนเฟยพยักหน้าติดๆ กัน พลางมองดูหลังมือของตนเอง “เจ้าพูดถูก สตรีผู้นี้เชื่อถือไม่ได้”

 

 

มิสู้นางไปหาไทเฮาจะดีกว่า ไม่แน่ว่าแค่ไทเฮาทรงถุยน้ำลายออกมาก็สามารถถอนพิษชนิดนี้ได้แล้ว

 

 

คำพูดที่ทั้งสองสนทนากันอย่างไม่มีปิดบังย่อมต้องดังไปเข้าหูของผู้อื่น ผู้คนทั้งหลายมองดูสายตาของเหยียนเฉียวหลัวก็พากันเกิดอาการลังเลขึ้นมา มีคนที่ปฏิเสธอยู่ไม่น้อย

 

 

พูดกันตามจริงแล้ว สตรีที่สามารถฆ่าพี่ชายของตนเองได้ ย่อมไม่น่าเชื่อถือ

 

 

เหยียนเฉียวหลัวได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ท่านทั้งหลายช่างน่าตลกเสียจริงๆ เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิต ยังจะมีใจมาสนอกสนใจว่าองค์หญิงอย่างข้าเป็นคนดีหรือว่าคนร้ายอยู่อีก? หากว่าเราผู้เป็นองค์หญิงเป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆ ละก็ ตอนนี้ก็แค่ฆ่าพวกเจ้าทิ้งไปให้หมดก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”

 

 

นางแย้มยิ้มอย่างเย็นชา “ในหมู่พวกท่านก็มีนักพรตที่มีความสามารถอยู่ คิดว่าคงจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่า หากนักพรตของภูเขาฮว่าชิ่งซานลงมือ พวกท่านก็จะไม่มีโอกาสรอดแม้แต่น้อย องค์หญิงอย่างข้าไยต้องมาเสียเวลาวางแผนจัดการกับพวกท่านอีก?”

 

 

ถึงแม้ว่าคำพูดของเหยียนเฉียวหลัวจะไม่น่าฟังอยู่บ้าง แต่ก็ต้องนับว่ามีเหตุผล

 

 

ผู้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางนักพรตชุดขาวราวแสงจันทร์ที่อยู่ด้านหลังของนาง ก็เห็นพวกเขาแต่ละคนคล้ายดั่งจะมีแสงสว่างจางๆ อาบอยู่ทั่วร่าง ท่าทางพลิ้วไหวดุจเทพเซียน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง

 

 

ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ที่เคยได้ยินมาว่า องค์หญิงน้อยของแคว้นเหยียนเคยไปฝึกฝนวิชาที่ภูเขาฮว่าชิ่งซาน ตอนนี้นางถึงขนาดสามารถนำเหล่านักพรตมามากมาย พวกเขาย่อมรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

 

 

ตอนแรกยังรู้สึกว่านางคิดจะมารังแกพวกเขา

 

 

เนื่องเพราะภูเขาฮว่าชิ่งซาน….สำหรับคนทั่วแผ่นดินแล้ว เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะลึกลับสุดหยั่งแห่งหนึ่ง

 

 

ยอดนักพรตที่ออกมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซาน แต่ละคนคล้ายดั่งเป็นเทพเซียนตัวเป็นๆ มิใช่ว่าจะได้เจอะเจอกันง่ายๆ

 

 

ยามปกติหากได้พบเห็นสักคนหนึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ออกมามากมายขนาดนี้?

 

 

หากมิใช่ว่ามีฐานะของเหยียนเฉียวหลัวค้ำประกันอยู่ พวกเขาก็คงจะนึกว่านางเป็นพวกหลอกลวงแล้ว

 

 

ในขณะที่พวกเขากำลังเกิดคำถามกันอยู่นั้น ก็ได้ยินบุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายเหยียนเฉียวหลัวกล่าวออกมาว่า “องค์หญิง หากพวกเขาไม่รับน้ำใจก็ฆ่าทิ้งให้หมดเถอะ เรื่องจะได้น้อยลงไป”

 

 

น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นค่อนข้างจะนุ่มนวล พอกล่าวคำพูดนี้ออกมา ก็เห็นเหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังพากันเคลื่อนไหว โดยไม่ต้องรอให้เหยียนเฉียวหลัวออกคำสั่งด้วยซ้ำ

 

 

พวกเขาแต่ละคนสีหน้าเย็นชา บนร่างมีประกายแสงอ่อนๆ ครอบคลุมอยู่ ดูคล้ายดั่งเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งหมดคล้ายดั่งมิได้เห็นเหล่าคนธรรมดาอยู่ในสายตา

 

 

“เจ้าบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าได้หรือ? ถามความเห็นของพวกเราก่อนหรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยที่พูดมากรีบออกมาเป็นไม้เขี่ยอึก่อนใคร

 

 

หากว่าเขาไม่ได้ยืนพูดอยู่ด้านหลังของหลงเซียวแล้วล่ะก็คงจะดูดีมีมาดบุรุษยิ่งกว่านี้

 

 

องค์ชายน้อยกวาดพระเนตรมองออกไปมุมพระโอษฐ์ใต้หน้ากากก็ขยับน้อยๆ สองเนตรมีแต่ความเย็นยะเยือก

 

 

เพียงแค่ยกหัตถ์ขึ้นมาก็ปรากฏใบมีดน้ำแข็งขึ้นมาในมือหลายเล่ม มีดสั้นพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่ได้ยินเสียงเฟี้ยวก็พุ่งเข้าหาตัวตู๋กูเจวี๋ยแล้ว

 

 

ในเมื่อมีหลงเซียวคอยพิทักษ์อยู่ มีดสั้นของเขาย่อมไม่มีทางสัมผัสถูกตัวตู๋กูเจวี๋ย แต่คนที่อยู่รอบข้างกลับโดยกรีดท้องชำแหละเนื้อออกมา

 

 

ทันทีที่มีดน้ำแข็งสัมผัสถูกผิวหนังของพวกเขา ก็กรีดเปิดเป็นปากแผลขนาดใหญ่ อวัยวะภายในไหลออกมาจนหมด กลายเป็นภาพโชกเลือดและน่าสะอิดสะเอียน

 

 

ผู้คนทั้งหลายถึงได้รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจขึ้นมา พวกเขาคิดจะถอยหนี แต่ว่าด้านหลังกลับมีแต่ไม้หนามขึ้นอยู่แน่นขนัด

 

 

เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะอย่างเบิกบาน “ดูเอาสิ หากพวกเจ้าเชื่อฟังตั้งแต่แรกก็ไม่มีเรื่องแล้วมิใช่หรือ? ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้านะ ไม่ได้มาเพื่อฆ่าพวกเจ้า”

 

 

ว่าแล้วนางก็ล้วงเอาขวดยาใบหนึ่งออกมาจากในถุง ยื่นส่งให้คนบาดเจ็บที่อยู่ใกล้กับตนเองมากที่สุด

 

 

บนหลังของคนเจ็บผู้นั้นมีไม้หนามที่สูงกว่าครึ่งเมตรงอกเงยขึ้นมาแล้ว เขาเจ็บปวดเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยว ย่อมไม่ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความอีก พอเปิดขวดเทยาสีดำออกมาเม็ดหนึ่งก็กลืนมันลงไปในทันที

 

 

พึ่งจะกลืนยาลงไปได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม้หนามที่งอกอยู่กลางหลังก็เ**่ยวแห้งลง ต้นไม้หนามสีแดงดำช้ำเลือดก็เปื่อยผุพังลงอย่างรวดเร็ว ผิวบริเวณแผ่นหลังของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูเหมือนดังเดิม เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ กิ่งไม้หนามพวกนั้นก็สลายไป บนแผ่นหลังเหลือเพียงปากแผลแห่งหนึ่ง บนปากแผลสามารถมองเห็นรากของต้นไม้หนามได้

 

 

รากไม้นั่นติดแน่น ไม่ยอมหลุดออก

 

 

ไม่รอให้ผู้คนได้ทันมีปฏิกริยาใดๆ ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็โผเข้าไปที่เบื้องหน้าของเขา ในมือของนางสวมถุงมือสีเงินยวงคู่หนึ่ง ฝ่ามือมีแสงสีขาวครอบคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เห็นสองนิ้วแทงเข้าไปในปากแผลก็ถอนเอารากของไม้หนามออกมาต่อหน้าต่อตาฝูงชนได้สำเร็จ

 

 

ทันทีที่รากหนามถูกถอนออก นางก็ล้วงเอายันต์แผ่นหนึ่ง ผนึกลงไปบนนั้น ได้ยินเสียงไฟลุกดังพรึบ รากไม้นั้นก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

 

 

และบาดแผลของผู้บาดเจ็บก็ฟื้นฟูจนกลายเป็นปกติดังเดิม

 

 

“ข้า หายแล้ว?” เขาไม่อยากจะเชื่อจริงๆ

 

 

จากนั้นเขาก็กระโผลกกระเผลกลงไปคุกเข่าต่อหน้าเหยียนเฉียวหลัวและผู้อาวุโสหยู่ซั่ง “ขอบพระทัยองค์หญิงและผู้อาวุโสหยู่ซั่งที่ช่วยชีวิต ต่อให้ข้าต้องเป็นวัวเป็นม้าก็จะขอตอบแทนบุญคุณครั้งนี้”

 

 

คราวนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว

 

 

เหยียนเฉียวหลัวพยุงเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “ท่านผู้กล้ากล่าวหนักไปแล้ว”

 

 

จากนั้นนางก็หันไปมองดูผู้คนทั้งหลายกล่าวว่า “ตอนเมื่ออยู่ในแคว้นต้าโจว ที่มีข่าวลือว่าข้าผู้เป็นองค์หญิงลอบฆ่าพระเชษฐาเพื่อใส่ความฮ่องเต้ต้าโจวนั้น เดิมทีเป็นแผนการของพวกมัน ข้าและองค์รัชทายาทต่างก็ตกหลุมพราง ทำให้แคว้นต้าเหยียนต้องเสียทั้งดินแดนและทรัพย์สินเพื่อชดเชย ทำให้แคว้นต้าโจวกวาดทรัพย์สินไปมากมาย ข้าได้แต่เป็นดั่งคนใบ้อมหวงเหลียน [2] พูดไม่ออกบอกไม่ได้”

 

 

“ข้าเพียงหวังว่าท่านทั้งหลายอย่าได้เชื่อถือข่าวลือ พวกท่านไม่เคยพบเจอข้ามาก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงๆ แล้วข้าเป็นคนเช่นไร?”

 

 

เหยียนเฉียวหลัวพูดไป ก็มีน้ำตาคลอหน่วยไปด้วย “ครั้งนี้ เดิมทีข้าและองค์รัชทายาทเดินทางมาตามหาขุมทรัพย์ด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้พบกับฮ่องเต้ต้าโจวกลางทะเลทราย เดิมทีเพราะคิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงได้ร่วมทางกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่ากลับต้องถูกเขาทำร้ายอีกครั้ง ทำให้พระเชษฐาของข้าต้องสิ้นชีพในมือของปีศาจ”

 

 

“พระเชษฐาที่น่าสงสารของข้า ทรงเป็นผู้นำของแคว้นเหยียน เดิมที่ควรมีอนาคตที่สดใสไม่สิ้นสุด ตอนนี้พอบอกว่าไม่มีก็ไม่มีอีกแล้ว…..ฮ่องเต้แห่งต้าโจวมีพระทัยทะเยอทะยานอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ต้องการรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดมาไว้ในครอบครอง ทั้งยังคิดจะล้มล้างราชวงศ์ทั้งหลายให้หมดสิ้น”

 

 

ความเจ็บปวดทั้งหมดของเหยียนเฉียวหลัวกลายเป็นความโกรธแค้น “วันนี้ที่ข้าเหยียนเฉียวหลัวช่วยชีวิตพวกท่านเอาไว้ หากว่าพวกท่านสามารถรอดกลับไปได้ ขออย่าได้ลืมรวมพลังกัน ต่อต้านผู้นำแคว้นโจวที่มีใจทะยานอยากผู้นี้”

 

 

 

 

——

 

 

[1] 煽风点火 (โหมไฟให้ลุกโชน) ทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม

 

 

[2] 哑巴吃黄连: ทุกข์ใจแต่พูดไม่ออก บอกใครไม่ได้

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง:

 

 

เหยียนเฉียวหลัว: ฉากนี้มอบรางวัลนางร้ายเบอร์หนึ่งให้นางไปเถอะ ยอม!

 

 

หวงเหลียน (黄连, อึ่งโน้ย) : สมุนไพรจีนที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด ใช้ดับพิษไฟในตับและหัวใจ

 

 

ตอนต่อไป “ศัตรูของนางคือเรา ไม่ใช่เจ้า”