บอกกล่าว

 

 

 

 

ตอนบ่าย พอได้ฟังคำพูดของอันลั่วเฉิงแล้ว หลินหว่านก็รู้ว่าทำไมเรื่องราวของซวี่กวงจึงปรากฏบนอินเทอร์เน็ตน้อยนัก 

 

 

แต่หลินหว่านก็เข้าใจได้ ถึงอย่างไรสมัยนี้เป็นยุคของสังคมออนไลน์ ข้อมูลส่วนตัวของทุกคนจะมากจะน้อยก็ต้องถูกเผยสู่สาธารณะ ยิ่งทุกความเคลื่อนไหวของดาราก็ย่อมจะมีสายตาคนมากมายคอยจับตาดูอยู่ทุกขณะ ดังนั้นการที่ซวี่กวงให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัวเธอจึงเข้าใจได้ดีทีเดียว 

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม หลินหว่านตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวเธอจะไปหาซวี่กวง บอกกับเขาเหมือนที่เธอพูดกับอันลั่วเฉิง อธิบายให้ซวี่กวงเข้าใจชัดเจนว่า ข่าวบนอินเทอร์เน็ตนั้นเธอไม่ได้เป็นคนเปิดเผยออกไป 

 

 

ตอนค่ำ หลินหว่านบันทึกเสียงของวันนี้เสร็จแล้วก็บอกลาอันลั่วเฉิงจากมา กลับถึงโรงแรม 

 

 

หลินหว่านรออยู่หน้าห้องพักของซวี่กวงเป็นนาน แต่ไม่เห็นซวี่กวงกลับเข้ามา ขณะที่เธอตั้งใจว่าจะกลับไปนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตรงมา 

 

 

หลินหว่านหันไปตามเสียงฝีเท้า แล้วก็เห็นซวี่กวงกำลังเดินเข้ามา 

 

 

“ผู้กำกับซวี่คะ คุณกลับมาแล้ว” พอซวี่กวงเดินมาถึงข้างหน้าเธอ หลินหว่านก็ทักทายเขาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ  

 

 

“คุณมาที่นี่ได้อย่างไร” ซวี่กวงเห็นว่าเป็นหลินหว่านก็ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย 

 

 

“ผู้กำกับซวี่ ฉันมีเรื่องอยากจะอธิบายกับคุณ…” หลินหว่านพูดอ้ำๆ อึ้งๆ ตั้งท่าว่าจะอธิบายเรื่องข่าวบนอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เธอที่พูดออกไป 

 

 

แต่ยังไม่ทันที่หลินหว่านจะพูดออกไป ซวี่กวงก็ใช้การ์ดเปิดประตูห้องพักของเขาแล้วผลักประตูเปิดออก ก่อนจะพูดกับหลินหว่านว่า “มีอะไรก็เข้ามาก่อนค่อยพูดกัน” 

 

 

พูดจบซวี่กวงก็เข้าห้องไปก่อน หลินหว่านจึงได้แต่ตามซวี่กวงเข้าไปในห้องของเขา 

 

 

เข้าห้องมาแล้ว ซวี่กวงชงกาแฟสองแก้ว ส่งให้หลินหว่านแก้วหนึ่ง จากนั้นลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเธอ จากนั้นหันมาถามว่า “พูดสิ คุณมีธุระอะไร” 

 

 

“ผู้กำกับซวี่คะ ฉันอยากจะบอกคุณว่า เรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับอันลั่วเฉิงบนอินเทอร์เน็ตในวันนี้ ฉันไม่ได้เป็นคนพูดออกไปค่ะ” หลินหว่านรับแก้วกาแฟมา มองซวี่กวงอย่างหวั่นใจก่อนจะพูดขึ้น 

 

 

อันที่จริงหลินหว่านก็คิดอยู่เหมือนกันว่าการอธิบายครั้งนี้จะกลายเป็นว่าเธอร้อนตัวไปเองหรือเปล่า แต่มานึกดูแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงถูกเปิดเผยออกมานั้น เกิดขึ้นหลังจากเธอรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองได้ไม่นานนัก อีกทั้งรอบข้างพวกเขานอกจากหลินหว่านแล้วก็ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาเลย 

 

 

และที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากความสัมพันธ์ของพวกเขาเปิดเผยออกมา คนที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุดก็คือเธอ ดังนั้น ถ้าหากซวี่กวงจะสงสัยเธอก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล 

 

 

หลินหว่านจึงต้องมาบอกกล่าวให้ชัดเจน และเธอก็เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ถ้าเธอไม่มาพูดกับซวี่กวง ไม่แน่ว่าซวี่กวงจะเข้าใจว่าเธอเป็นพวกวัวสันหลังหวะไปเสียอีก 

 

 

แต่ที่คาดไม่ถึงคือพอซวี่กวงได้ยินคำพูดของหลินหว่านแล้ว เขาขมวดคิ้วถามเธอว่า “เรื่องที่คุณจะพูดกับผมคือเรื่องนี้เหรอ” 

 

 

“ค…ค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านตอบ หรือว่าซวี่กวงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เหมือนอย่างที่เธอคิด 

 

 

ซวี่กวงพูดเสียงเนิบๆ สวนขึ้นมาทันทีว่า “หลินหว่าน ผมเชื่อว่าเรื่องนี้คุณไม่ได้เป็นคนพูด” 

 

 

“ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านได้ฟังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เธอยังถามอย่างสงสัย “ผู้กำกับซวี่คะ ทำไมคุณถึงยอมเชื่อฉันล่ะคะ” 

 

 

อันลั่วเฉิงบอกว่าซวี่กวงน่าจะรู้สึกโกรธจึงจะถูก แต่ทำไมซวี่กวงไม่เพียงไม่สงสัยเธอ แต่ยังเชื่อใจเธอขนาดนี้อีก 

 

 

ซวี่กวงวางถ้วยกาแฟในมือลง พูดว่า “โพสต์นั่น ตอนบ่ายผมเห็นแล้ว ภาพถ่ายหลายรูปนั่นดูแล้วเป็นภาพแอบถ่ายทั้งหมด มีหลายภาพในนั้นเป็นรูปถ่ายเมื่อหลายปีก่อน ผมว่ารูปถ่ายพวกนั้นคงไม่ใช่คุณเป็นคนถ่ายไว้ล่ะมั้ง” 

 

 

“อ้า…” ตอนแรกหลินหว่านยังไม่เข้าใจนัก จากนั้นก็เข้าใจว่าซวี่กวงพูดล้อเธอเล่น 

 

 

“ไม่ว่ารูปถ่ายพวกนั้นจะมาได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่า ความสัมพันธ์ของผมกับอันลั่วเฉิงไม่ใช่คุณเป็นคนพูดออกไปหรอก” จากนั้นซวี่กวงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลินหว่าน ผมเชื่อว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น” 

 

 

“ขอบคุณค่ะที่เชื่อฉัน ผู้กำกับซวี่…” หลินหว่านเอ่ยขึ้นอย่างตื้นตันใจ 

 

 

ซวี่กวงพูดต่อว่า “อันที่จริง ตอนแรกที่เห็นโพสต์บนเวยปั๋วนั่น ผมก็โมโหมากเหมือนกัน ผมไม่ชอบให้คนอื่นมาสอดส่องชีวิตส่วนตัวของผม ไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วบงการเรื่องการใช้ชีวิตของผม ซึ่งนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมผมไม่ต้องการให้คนภายนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับอันลั่วเฉิง” 

 

 

หลินหว่านฟังแล้วรู้สึกเข้าใจดีทีเดียว จำได้ว่าเมื่อตอนเธอเพิ่งเข้าสู่วงการบันเทิง ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็มักจะมีเสียงตินั่นตินี่คอยชี้นิ้วต่อว่าเธอมาจากบนอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่บางครั้งเธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย บนอินเทอร์เน็ตก็ยังมีเสียงด่าว่าเธออยู่ดี 

 

 

แต่ว่าก็ยังดีที่ข้างกายเธอมีอวิ๋นซีกับเซียวจิ่งสือ พวกเขาคอยอยู่เคียงข้างเธอตลอด ไม่ว่าเธอต้องเจอกับเสียงครหาอะไรก็ตาม พวกเขาจะคอยปลอบโยนและให้กำลังใจเธอเสมอ 

 

 

พอคิดถึงตอนนี้ หลินหว่านพูดปลอบซวี่กวงว่า “ผู้กำกับซวี่คะ อันที่จริง การที่ผู้คนรู้สึกสนใจชีวิตส่วนตัวของคุณ ก็เพราะพวกเขาชอบคุณนะคะ ลองคิดดูสิ คุณมีความสามารถขนาดนั้น แล้วยังมีแฟนคลับอีกตั้งมากมาย ทุกคนก็ย่อมจะอยากรู้ว่าปกติคุณใช้ชีวิตอย่างไรบ้างนี่นา…” 

 

 

ซวี่กวงฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นเบาๆ จากนั้นพูดกับหลินหว่าน “ขอบคุณนะที่ปลอบใจผม หลินหว่าน” 

 

 

หลินหว่านเห็นรอยยิ้มของซวี่กวง แทบจะมองตาค้างไปเลย คิดไม่ถึงว่าคนเย็นชาถือตัวอย่างซวี่กวง ตอนยิ้มออกมาจะดูอบอุ่นอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้ 

 

 

วันต่อมา อันลั่วเฉิงโพสต์ข้อความหนึ่งลงบนเวยปั๋ว ยอมรับว่าเขากับซวี่กวงเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี โดยบอกว่าการที่ความสัมพันธ์ของเขากับซวี่กวงไม่ได้เปิดเผยให้คนภายนอกรับรู้ ก็เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาสนใจกับชีวิตส่วนตัวของเขามากเกินไป 

 

 

ส่วนซวี่กวงก็แชร์โพสต์ข้อความนี้ลงเวยปั๋ว ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขา 

 

 

ชาวเน็ตทั้งหลายเมื่อเห็นว่าซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงยอมรับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปีจริงๆ ต่างก็พากันคอมเมนต์ว่าพวกเขาคาดไม่ถึง 

 

 

[โห โลกนี้มันช่างอะเมซซิ่งจัง! ผู้กำกับปีศาจกับไอดอลอันแผ่นเสียงทองคำเป็นเพื่อนซี้เก๋ากึ๊กกัน รู้สึกเหมือนมิติพิศวงเลย…] 

 

 

[ว๊ายยยยยยย ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ฉันคงยังไม่ตื่นดีแน่เลย!] 

 

 

[ในฐานะแฟนคลับของผู้กำกับซวี่ ผมอยากบอกว่า ผู้กำกับซวี่กับไอดอลอันนี่ช่างโลกส่วนตัวสูงกันซะจริง! ผมเป็นแฟนคลับยังไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลย ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจว่า พวกสื่อนั่งเทียนเขียนข่าวเรียกเรตติ้งเสียอีก ที่ไหนได้เป็นจริงซะด้วย…] 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ทีมงานของอันลั่วเฉิงได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่ง โดยกล่าวตำหนิบล็อกเกอร์เจ้าของบัญชีเวยปั๋วที่เปิดเผยความสัมพันธ์ของอันลั่วเฉิงกับซวี่กวง โดยเน้นเป็นพิเศษว่าไม่ต้องการให้มีการติดตามสอดแนมชีวิตความเป็นส่วนตัวของอันลั่วเฉิงและเพื่อนของเขา หากผู้ใดก็ตามล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของพวกเขาจะดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมาย 

 

 

หลินหว่านแชร์โพสต์ซวี่กวงลงบนเวยปั๋ว นอกจากเธอจะสนับสนุนอันลั่วเฉิงกับซวี่กวงแล้ว ยังเสริมด้วยว่าเธอหวังว่าชาวเน็ตจะให้ความเคารพต่อความเป็นส่วนตัว โดยให้มุ่งความสนใจที่ผลงานของพวกเขา อย่าได้สอดส่องล้วงลึกชีวิตส่วนตัวของเหล่าดารามากเกินไป 

 

 

หลังจากนั้น ตอนที่หลินหว่านไปบันทึกเพลงกับอันลั่วเฉิงอีกครั้ง เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอันลั่วเฉิงมีท่าทีกับเธอดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว