บทที่****160: ดาบเขย่าสวรรค์
ผู้ฝึกตนปีศาจไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ในขณะที่พวกเขาเห็นว่าศิษย์พบเจอกับปัญหาบางอย่าง พวกเขาเรียกใช้อาคมปีศาจทันทีเพื่อปิดกั้นการโจมตีของผู้ฝึกตนคนอื่น เหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันถอยหลังเข้าเมฆ เพียงแค่พวกเขากระพริบตาเมฆจะถูกเรียกคืนสถานะเดิมทันที และในขณะนั้นแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินก็ไม่อาจสังหารพวกเขาได้ในครั้งเดียว อย่างมากก็เพียงแค่ฉีกเมฆออกจากกัน
อย่างไรก็ตามในตอนนี้พวกเขาถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว เกิดเสียงกรีดร้องดังสนั่นมันคือเสียงร่ำไห้ของกระบี่เฟิ่งหมิง มันวิ่งผ่านทั้งสมรภูมิรบอย่างเร็วรี่ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับการระเบิดของอาคมสายฟ้า
แน่นอนว่ากระบี่เฟิ่งหมิงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างดี พวกเขามองเห็นแสงสีทองกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้า หลังจากนั้นศีรษะของผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนล่วงหล่นสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ปรากฏเลือดพุ่งราวกับน้ำพุพร้อมทั้งร่างกายกระแทกกับพื้นดิน หลังจากที่เขาทั้งสองตายตกไป พลังของสมบัติวิเศษที่พวกเขาใช้ก็ค่อยเลือนหายไปเช่นกัน
ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง พวกเขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน บางคนตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมรับ “เป็นไปไม่ได้!”
ความจริงแล้วถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไปเรื่องเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเสียงกรีดร้องและแสงสีทองคือกระบี่เฟิ่งหมิง แต่อุปกรณ์นี้อยู่ในมือของหงหยิงระดับเซียนเทียนและมันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันภายในดาบเดียว เรื่องราวเช่นนี้คล้ายกับไก่ป่าจิกเสือสองตัวตายในครั้งเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระเกินกว่าจะคาดคิด
แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ประการแรกคือผู้ฝึกตนระดับจินตันเปิดช่องโหว่ของตนเอง อีกทั้งหงหยิงสามารถรับรู้ช่องโหว่นั้นได้ แต่ปัญหาก็คือการมองเห็นช่องโหว่นี้ยากเกินไป แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อาจทำเรื่องเหล่านี้ได้โดยง่าย ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน ถ้าหากไม่สามารถทำนายอนาคตได้ จะไม่มีทางรู้ถึงช่องโหว่เหล่านี้ได้เลย
ซึ่งผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้มีเพียงฉุ่ยจิ้งเท่านั้น พวกเขาไม่อาจคาดคิดว่านางจะสามารถทำนายช่องโหว่ได้ในสนามรบที่วุ่นวายเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนชอบธรรมหรือปีศาจ พวกเขาต่างงุนงงในความสำเร็จของการซุ่มโจมตีครั้งนี้
ก่อนที่ความตื่นตระหนกของพวกเขาจะหายไป ได้เกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง
อันดับแรกคือนักบวชฮัวอวิ๋นใช้ดาบเฉือนสมบัติวิเศษของผู้เฒ่าเฟิง การปะทะทำให้เกิดคลื่นพลังขนาดยักษ์ส่งผลให้เหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขากระเด็นออกไปทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่คน พวกเขาตกใจจนเปิดช่องโหว่ขนาดเล็กโดยไม่ตั้งใจ
ภายใต้สถานการณ์ปกติมันคงไม่ถูกเรียกว่าช่องโหว่ เพียงกระพริบตาช่องโหว่เหล่านี้จะคืนสภาพโดยสมบูรณ์ แต่ในวันนี้ การเปิดช่องโหว่เช่นนี้ราวกับว่าเปิดโอกาสให้ชีวิตของตนเองตกอยู่ในอันตราย!
ก่อนที่ช่องโหว่จะถูกเปิด เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อเตรียมพร้อมที่จะใช้ดาบเทวะเหมันต์ภายใต้คำสั่งของฉุ่ยจิ้งแล้ว และในขณะนั้นทั้งสองคนตะโกนออกมาพร้อมกัน “ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาต!”
เกิดเป็นลำแสงเทวะคมกริบออกมาจากดาบเทวะเหมันต์ พลังของมันโอ่อ่าและน่าเกรงขาม มันสามารถทะลุผ่านสมบัติวิเศษสองชิ้นได้ และทุบตีผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนที่เปิดช่องโหว่เมื่อครู่
แม้ความจริงคือลำแสงที่ปกป้องพวกเขาอยู่จะแข็งแกร่งอย่างมาก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจทำลายมันได้ แต่ทว่าเกราะเหล่านี้ไม่อาจหยุดปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตได้เลย พวกมันถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ก่อนที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองจะได้ทำสิ่งใด ร่างกายของพวกเขาแข็งค้างพร้อมกับปลิวล่องลอยไปกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งในอากาศ!
การโจมตีเช่นนี้น่ากลัวเกินไป แต่กลับมีสิ่งที่น่าตกใจมากกว่าอีกครั้ง หลังจากที่ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตได้สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันไปแล้วสองคน พลังของคล้ายยังไม่หมดลงแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นหานปิงเอ๋อที่เป็นผู้ควบคุมทิศทางของดาบรีบสั่งการต่อทันที รวดเร็วเท่าความคิด ลำแสงของดาบพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทันที นั่นคือผู้เฒ่าเฟิงแห่งสำนักพันปีศาจ!
หานปิงเอ๋อเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนแต่กลับมีความกล้าหาญที่จะโจมตีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ผู้คนที่ได้เห็นเช่นนั้นต่างรู้สึกโง่งมทันที พวกเขาต่างไม่ทราบว่านางกำลังเล่นสนุกสิ่งใดอยู่หรือนางอาจจะเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตแล้วก็เป็นได้
สำหรับเจ้าอ้วน เขาตกใจสุดขีดจนใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตอนนี้เขาต้องทุ่มเทปราณจิตวิญญาณ และการกระแทกกลับใดล้วนเป็นเขาต้องแบกรับไว้ แม้ว่าพลังของดาบเทวะเหมันต์จะสามารถปกป้องเขาได้ แต่มันคงจะไม่ดีถ้าหากต้องต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน!
เพียงแค่เจ้าอ้วนคิดเรื่องนี้ ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตก็อยู่ตรงหน้าของผู้เฒ่าเฟิงแล้ว แท้จริงแล้วชายชราอยู่ในสภาวะตกใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เขากำลังต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นและสถานการณ์กำลังอยู่ในความรุนแรง เขาได้ละทิ้งการปกป้องเหล่าศิษย์ทั้งหมด แต่ในตอนนี้การป้องกันด้านหลังของเขาได้รับความเสียหายและศิษย์ของเขาถูกสังหาร อีกทั้งลำแสงของสมบัติวิญญาณกำลังจะโจมตีเขาในตอนนี้
แม้ว่าลำแสงนี้จะเป็นของผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน แต่อย่างไรมันก็เป็นดาบเทวะเหมันต์ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินก็ไม่อาจต่อกรกับสมบัติวิญญาณขั้นเก้า
สวรรค์ ผู้เฒ่าเฟิงทำได้เพียงรวบรวมปราณจิตวิญญาณเล็กน้อยและทุบไปที่ลำแสงของดาบซึ่งกำลังพุ่งมา เกิดแสงสีเขียวจากมือของเขา ลำแสงของปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตแตกออกทันที ดาบเทวะเหมันต์ถูกส่งกลับไปยังที่เดิมอย่างรวดเร็ว
เจ้าอ้วนที่ควบคุมปราณจิตวิญญาณทั้งหมด เขาตกใจพร้อมกับพ่นเลือดออกมาก้อนใหญ่ ก่อนที่จะถอยหลังออกมาไม่กี่ก้าวพร้อมกับค่อย ๆ นั่งลงบนพื้น เขาบาดเจ็บหนักทันทีเพียงแค่ได้รับการโจมตีครั้งเดียวจากฝ่ายศัตรู เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินและเซียนเทียนว่าช่องว่างนี้มีมากเกินไป
ผู้เฒ่าเฟิงนั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จ พลังของปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตนั้นมากกว่าที่เขาคาดคิด แม้ว่าเขาจะจัดการมันได้ แต่ทว่านิ้วของเขาบาดเจ็บหนักจากมันเพราะลำแสงของดาบตัดผ่านนิ้วไป อีกทั้งยังเข้ารบกวนปราณจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขาทันที
ผู้เฒ่าเฟิงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบโคจรปราณจิตวิญญาณทันทีเพื่อไม่ให้ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตนั้นรบกวนปราณจิตวิญญาณของเขา แต่แล้วเขาทำได้เพียงชะลอการรุกรานเท่านั้น ไม่อาจล้างมันออกจากร่างกายได้
ถ้าหากนี่เป็นช่วงเวลาปกติ เรื่องนี้เขาสามารถเมินเฉย เขาสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าในตอนนี้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้! นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงไม่หยุดการต่อสู้ ในขณะที่เขามองเห็นว่าปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตนั้นได้โจมตีผู้เฒ่าเฟิง เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที เขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ผ่านไปได้อย่างไร? นักบวชฮัวอวิ๋นปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่เขามีสร้างมังกรยาวกว่าหมื่นฟุตออกมาพร้อมกับทุบตีไปที่ผู้เฒ่าเฟิงนับร้อยตัว
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีของนักบวชฮัวอวิ๋น ผู้เฒ่าเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากทันที เขาเรียกใช้งานอสรพิษทั้งสองตนให้มันเข้าป้องกันโดยทันที แต่กลายเป็นว่าปราณจิตวิญญาณที่เขาเรียกใช้งานเพื่อป้องกันนั้นน้อยเกินไป มันจึงไม่สามารถป้องกันลำแสงของดาบไว้ได้
นอกเหนือจากนั้น ศิษย์ของผู้เฒ่าเฟิงยังถูกสังหารโดยศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋น ในตอนนี้เหล่าศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นรวมตัวกันทำให้การต่อสู้กลายเป็น หนึ่งต่อสาม อีกทั้งนิ้วของเขายังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บหนัก ในตอนแรกเขาต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสูสี แต่ด้วยความเสียหายทั้งหมดในตอนนี้ เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เขารีบตั้งสติอย่างรวดเร็วและเขาไม่อาจพ่ายแพ้ได้
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าว ผู้เฒ่าเฟิงยกมือซ้ายของเขาขึ้นพร้อมกับตัดนิ้วที่ได้ถูกรบกวนโดยปราณของดาบ จากนั้นเขาเริ่มกลับมาต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “เจ้ามันเล่นสกปรก! วันนี้พวกเราพ่ายแพ้! แต่วันหน้าพวกเราจะทำให้พวกมันย่อยยับ! ถอย!”
ผู้เฒ่าเฟิงมองเห็นสถานการณ์ชัดเจนว่าถ้าหากเขาดันทุรังที่จะต่อสู้ แน่นอนว่าจะต้องจบลงที่ความพ่ายแพ้ พวกเขาไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ในเรื่องของจำนวน แต่ทว่าเขายังรู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากเจ้าอ้วน อีกทั้งความน่ารำคาญของฉุ่ยจิ้งและสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นของนาง พวกเขาทั้งหมดไม่เพียงแต่สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันสี่คนเท่านั้น แต่ทว่ายังสามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อีกด้วย ความสูญเสียนี้มากเกินไปสำหรับพวกเขา ถ้าหากในพวกเขามีคนโดนสังหารเพิ่ม มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นเกินไปถ้าหากคิดจะหลบหนีในตอนนั้น ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการถอยก่อนที่ความสูญเสียจะเพิ่มมากขึ้น เบื้องหน้านี้เป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันซึ่งเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ สำนักไม่อาจสูญเสียพวกเขาเหล่านี้ได้!
“ขอรับ!” เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาคำรามออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่พวกเขายังคงเข้าใจสถานการและรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากผู้ฝึกตนปีศาจเริ่มถอยกลับ ผู้ฝึกตนชอบธรรมก็ไม่คิดจะติดตามพวกเขาเพราะไม่ต้องการสูญเสียเพิ่มอีกเช่นกัน หลังจากนั้นทุกคนรวมตัวกันเพื่อมองดูความสูญเสียทั้งหมด ในตอนท้ายพวกเขาตระหนักได้ว่ามีผู้ฝึกตนระดับจินตันเสียชีวิตหนึ่งคนและบาดเจ็บหนักสามคน แต่พวกผู้ฝึกตนปีศาจระดับจินตันถูกสังหารสี่คน และผู้เฒ่าเฟิงต้องตัดนิ้วของตนเองทิ้ง ซึ่งนับว่าเป็นชัยชนะของพวกเขา!
ภายใต้ความสับสน ฉุ่ยจิ้งคือผู้ที่มีส่วนร่วมในชัยชนะครั้งนี้มากที่สุด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรและคำสั่งของนาง สงครามครั้งนี้น่าจะจบลงที่ความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ฝึกตนชอบธรรม
หลังจากที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมเข้าใจแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาทั้งหมดพากันชมเชยฉุ่ยจิ้ง หงหยิง และหานปิงเอ๋ออย่างร่าเริง แต่เจ้าอ้วนไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาเพราะว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักจากการสะท้อนกลับการโจมตีที่ผู้เฒ่าเฟิงกระทำ
หลังจากจบการต่อสู้ที่รุนแรง ไม่มีผู้ใดสนทนาสิ่งใดต่อมากนัก ในความจริงทุกคนต้องการที่จะหวนคืนสำนักเต็มทีแล้ว
ผู้คนที่มาจากสำนักเสวียนเทียนเดินทางกลับโดยนาวายักษ์สีดำ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ตระการตาดังเช่นตอนที่พวกเขามา ไม่เพียงแต่มันเต็มไปด้วยบาดแผลใหญ่ ความสามารถในการบินของมันยังถูกจำกัดอีกด้วย ความเร็วของมันลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง การเดินทางที่ควรจะใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน กลับกลายเป็นใช้เวลาถึงสองวัน!
ทันทีที่นาวายักษ์กลับมาถึงสำนักเสวียนเทียน เกิดความวุ่นวายมวลใหญ่ขึ้นทันที จ้าวสำนักและภรรยาเดินทางมาตรวจสอบหงหยิง เจ้าอ้วน และฉุ่ยจิ้งทันทีพร้อมกับผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัย หลังจากที่สนทนากับนักบวชฮัวอวิ๋นเล็กน้อยทุกคนแยกย้ายกลับที่พักของตนเอง
จ้าวสำนักและภรรยาได้พาเจ้าอ้วน หงหยิง และฉุ่ยจิ้งกลับเพราะมีบางสิ่งบางอย่างต้องการสนทนาด้วย
หลังจากที่พักฟื้นอยู่สองวัน อาการบาดเจ็บของเจ้าอ้วนถูกรักษาอย่างรวดเร็วโดยยาอายุวัฒนะ หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดได้เดินตามจ้าวสำนักและภรรยาไปยังลาน พวกเขาได้รับคำชมเชยพร้อมกับเงินรางวัลมากมาย
จ้าวสำนักยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวขึ้นมาด้วยความยินดี “ไม่ต้องมีพิธีรีตองให้มากนัก ขอให้ข้าได้ถามพวกเจ้าเถิดว่าพวกเจ้าได้รับผลไม้วิญญาณหรือไม่?”
ทั้งสามคนมองหน้ากันอยู่ชั่วขณะพร้อมกล่าวออกมาพร้อมกัน “พวกข้าได้รับมัน!”
“ฮ่าฮ่า ดีมาก สมแล้วที่พวกเจ้าคือบุคคลของสำนักเสวียนเทียน!” จ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างชอบใจพร้อมกล่าวต่อ “แล้วพวกเจ้าได้รับมันมาเท่าไหร่?”
“ท่านพ่อ ข้าได้รับมาสองผล!” หงหยิงกล่าวพร้อมกับหยิบกล่องหยกออกมาเพื่อให้บิดาของนางเห็น
“ประเสริฐยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของข้า!” จ้าวสำนักหันไปพร้อมถามต่อ “ฉุ่ยจิ้ง แล้วเจ้าล่ะ?”
“ศิษย์ของท่านทำได้ไม่ดีนัก ข้าได้รับเพียงหนึ่งผลเท่านั้น!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสงบ
“เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาถามออกมาอย่างสับสนทันที “เจ้าสามารถทำนายได้! อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่อาจทำนายถึงพื้นที่ของมันได้?”
ฉุ่ยจิ้งยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ของท่านขี้เกียจมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าข้าจะทำนายได้หรือไม่ ข้าจะได้รับมันเพิ่มเป็นทั้งสิ้นสามผล!”
“ว่าอะไร?” จ้าวสำนักและภรรยาตกใจชั่วขณะ จากนั้นภรรยาจ้าวสำนักถามออกมาว่า “อย่าบอกข้านะว่าอาจารย์ของเจ้าจะมอบมันให้กับเจ้าเอง?”
“ไม่ใช่ ท่านอาจารย์ได้เข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนนานนับร้อยปี ข้าคงไม่ได้พบนาง!” ฉุ่ยจิ้งมองไปที่เจ้าอ้วนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังกล่าวถึงศิษย์พี่ซ่ง ข้าคิดว่าศิษย์พี่ซ่งได้พบเจอการเดินทางที่คุ้มค่าและจะชดเชยส่วนที่หายไปทั้งสองของข้า ใช่หรือไม่?”
แล้วเจ้าอ้วนจะกล่าวอะไรได้? เขาได้แต่หัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “แน่นอน ข้าจะมอบให้เจ้าสองผล!” ในขณะที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขาหยิบกล่องหยกสีทองออกมาสามกล่อง ส่งให้กับฉุ่ยจิ้งสอง และหนึ่งสำหรับหงหยิงพร้อมกล่าวว่า “นี่คือผลที่สามสำหรับศิษย์น้อง!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความใจกว้างของเจ้าอ้วน จ้าวสำนักและภรรยาตกใจอย่างไม่อาจช่วยได้พร้อมกล่าวออกไปอย่างสับสน “อ้วนน้อย เจ้าได้รับมันมาเท่าไหร่? เหตุใดเจ้าจึงยอมปล่อยมือได้ง่ายดายเพียงนี้?”
“ฮี่ฮี่ ข้าไม่ได้มีมากมายนัก แต่มันเพียงพอสำหรับให้ข้ากินได้จนอิ่ม!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างยียวน หลังจากนั้นเขาก็ไม่คิดจะกล่าวสิ่งใดต่อ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคงไม่ดีถ้าหากจ้าวสำนักและภรรยาจะกล่าวสิ่งใดต่อ เจ้าอ้วนได้มอบสมบัตินี้ให้กับบุตรีของเขาแล้ว และมันคงไม่ดีนักถ้าหากพวกเขาจะร้องขอสิ่งใดเพิ่มจากเขาอีก ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างขื่นขม
“โอ้ ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการจะกล่าว พวกข้าก็จะไม่เซ้าซี้อีกต่อไป!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องอื่นได้”
“เรื่องอะไรขอรับ?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างกังวล เขารู้สึกผิดอย่างหนักเพราะว่าภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความลับ!