ตอนที่ 948 - พัฒนาอย่างก้าวกระโดด

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  หลังจากที่ซ่อนเร้นความตกใจซือหยูนั่งสมาธิเพื่อปรับพลังให้มั่นคงในทันที นั่นก็เพราะเกิดความรู้สึกบวมจนจะฉีกขาดจากจุดกำเนิดพลัง
  มันคือสัญญาณของการทะลวงขั้นถัดไป!
  ทีแรกคือจุดกำเนิดพลังภายนอกมันถูกเติมพลังจนเต็มแล้ว แต่พลังยังคงเติมต่อไปจนถึงจุดกำเนิดภายใน มันเต็มแล้วเช่นกัน!
  จุดกำเนิดพลังทั้งนอกในถึงขีดจำกัดมันกำลังจะฉีกสะบั้น
  จุดกำเนิดพลังรีบขยายขนาดราวกับจะฉีกโลกออกจากกันพร้อมกับความเจ็บปวดรุนแรงมันขยายขนาดมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า
  แต่พลังในสายโลหิตภายในที่ยังเหลือก็ได้ไหลเข้าสู่จุดกำเนิดพลังอย่างไม่หมดสิ้นมันถูกท่วมท้นอีกครั้ง
  แน่นอนว่าจุดกำเนิดพลังของเขาฉีกขาดและขยายอีกหนึ่งรอบ
  มันเกิดขึ้นสามครั้งจุดกำเนิดพลังของซือหยูต้องเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องถึงสามครั้งก่อนจะหยุดลง
  ซือหยูหน้าซีดราวกับกระดาษเขาเหงื่อออกเต็มร่าง เสื้อผ้านั้นเปียกโซกไปด้วยเหงื่อไคล
  เส้นเอ็นและเส้นเลือดทั้งร่างเจ็บปวดเล็กน้อยความเจ็บแปลบถูกส่งออกมาจากจุดกำเนิดพลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  ทุกขั้นตอนเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วยามแต่ซือหยูรู้สึกราวกับว่าได้เดินทางข้ามทั้งภูเขาคมมีดทั้งทะเลเพลิงมาหลายแห่ง
  หลังจากผ่านไปสักระยะซือหยูถอนหายใจเอาความร้อนผ่าวออกจากปอด ความเจ็บปวดที่แสดงบนใบหน้าจางหายไปส่วนมาก เขากลับมาอยู่ในภาวะปกติแล้ว
  เพียงคิดในใจคลื่นพลังชีวิตได้เอ่อล้นออกมาจากผิวกายซือหยู มันรวบรวมจนหนากันถึงสิบศอก!
  ต่อให้จ้าวเทวะระดับสามได้เห็นเขาผู้นั้นก็ย่อมตกใจ
  เพราะมันไม่ใช่พลังที่จ้าวเทวะระดับสามจะรวบรวมเป็นม่านเกราะที่หนาเช่นนี้ได้!
  ใครก็ตามที่เห็นสิ่งนี้คงคิดว่าซือหยูได้ก่อร่างแก้วกำเนิดซึ่งจะทำให้ร่างกายของเขากักเก็บพลังชีวิตได้เป็นจำนวนมาก
  แต่แท้จริงแล้วในท้องของซือหยูยังคงเป็นจุดกำเนิดพลังที่มิใช่แก้วกำเนิดที่จะมีแค่จากจ้าวเทวะเท่านั้น!
  แค่พลังเสี้ยวเดียวของเซียนได้ทำให้จุดกำเนิดพลังของซือหยูเปลี่ยนแปลงไปถึงสามครั้งพลังของเขาก้าวกระโดดจากภูติระดับหกเป็นภูติระดับเก้า!
  ขณะที่พลังชีวิตที่ซือหยูเก็บได้นั้นเกินกว่าจ้าวเทวะระดับสามไปแล้วมันเทียบได้กับจ้าวเทวะระดับสี่เลยทีเดียว!
  ขนาดของจุดกำเนิดพลังนี้มิได้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แต่มันคือสิ่งที่หาได้ยากในจิวโจวอย่างแน่แท้
  จากประสบการณ์ของภูติระดับเก้าหลายคนที่ได้กลายเป็นจ้าวเทวะยิ่งมีจุดกำเนิดพลังใหญ่เท่าใด แก้วกำเนิดของพวกเข่าจะยิ่งหนาแน่นมากเท่านั้น
  ซือหยูมีจุดกำเนิดพลังใหญ่กว่าคนอื่นหลายเท่าถ้าหากเขาจะได้ก่อร่างแก้วกำเนิดขึ้นจริง ๆ เขาจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
  ด้วยการทะลวงพลังสามระดับอย่างต่อเนื่องทั้งร่างกายและดวงวิญญาณของซือหยูนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย
  ขณะนี้ดวงวิญญาณของเขาก้าวข้ามภูติระดับเก้าส่วนใหญ่่ไปแล้ว แต่มันก็ยังห่างไกลกว่าวิญญาณของจ้าวเทวะ
  ส่วนกำลังกายหากร่วมกับกายามังกร เขาจะมีกำลังถึงจ้าวเทวะระดับหนึ่ง
  มันคือการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
  ซือหยูยิ้มเจ้าราชาเขตกลาง…ข้าไม่คิดเลยว่าพลังของเจ้าจะช่วยให้ข้าเติบโตมากขนาดนี้!
  เขาเพียงแค่ดูดซับพลังไม่ถึงหนึ่งในร้อยจากผงทองเท่านั้นถ้าหากเขาดูดซับเต็มที่ เขาจะต้องกลายเป็นอสูรเนรมิตรอย่างไม่ต้องสงสัยโดยไม่ต้องพูดถึงการเป็นจ้าวเทวะเป็นระยะเวลานานเลย
  บอกได้เลยว่าในระยะเวลาต่อจากนี้เขาไม่ต้องกังวลถึงเรื่องโอสถเพิ่มพลังอีกแล้ว
  ยิ่งขึ้นก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจขึ้น
  สิ่งที่เขาได้กลับมาจากเรื่องที่ได้เจอนั้นเหนือกว่าจินตนาการมากนัก
  โดยเฉพาะด้านดวงวิญญาณอีกแค่ระดับเดียว เขาจะได้กลายเป็นจ้าวเทวะ
  ซึ่งในขั้นสุดท้ายนั้นซือหยูเตรียมการมานานแล้ว!
  วิญญาณของเขาเข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยกเขาพุ่งตรงไปยังสวนสมุนไพร
  วัตถุดิบวารีผงกลั่นดวงใจแปดชนิดที่ปลูกมาเกินกว่าสองเดือนนั้นเทียบเท่าการปลูกในโลกภายนอกมาร้อยปี
  เขามักจะสงสัยอยู่เสมอว่าวารีผลกลั่นดวงใจที่ปรุงจากวัตถุดิบระดับสูงสุดจะมีฤทธิ์ที่แตกต่างกันเพียงใด
  ตอนนี้วัตถุดิบเหล่ามีอายุร้อยปีแล้วมันมีอายุที่ห่างไกลเกินกว่าวัตถุดิบทั่วไปอย่างมาก ถึงเวลาที่จะปรุงพวกมันเป็นวารีผงกลั่นดวงใจแบบพิเศษแล้ว
  หลังจากเก็บวัตถุดิบซือหยูออกมาด้านนอก เขาหยิบหม้อปรุงใบเล็กออกมาทันทีและกำลังจะปรุงยา
  ที่นี่คือคุกใต้ดินไม่มีเพลิงธรณีให้เขาได้ใช้
  แต่สำหรับซือหยูการปรุงยาไม่จำเป็นต้องใช้เพลิงธรณีอีกแล้ว
  แก่นหยกเพลิงในหัวใจสั่นสะเทือนเพลิงปะทุออกสู่ฝ่ามือ เพลิงนี้ร้อนกว่าเพลิงที่เขาเพลิงม่วงจากเมืองเทียนหยาอยู่มากโข มันเกินพอที่จะปรุงยา
  จากนั้นซือหยูได้ถือหม้อปรุงยาด้วยมือซ้ายใช้เพลิงที่มือขวาเผาก้นหม้อ จากนั้นจึงจัดการกับวัตถุดิบอย่างชำนาญ
  เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมเรียบร้อยเขาเริ่มปรุงยาอย่างคล่องแคล่วโดยใช้ประสบการณ์การปรุงวารีผงกลั่นดวงใจครั้งก่อน
  เทียบกับคราวที่แล้วเขาควบคุมไฟได้อย่างไหลลื่นและง่ายดาย ราวกับว่าไฟเป็นหนึ่งกับตัวเขา เขาควบคุมได้ดั่งใจนึก
  ขั้นตอนปรุงยาดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติไร้จุดบกพร่องเพราะสภาวะเพลิงประสานใจในวิถีแห่งเพลิงของซือหยู
  สภาวะนี้เป็นที่รู้จักเพราะพันธมิตรปรุงยามักจะกล่าวว่ามันจะมีได้โดยนักปรุงยาชั้นยอดเท่านั้น
  ซือหยูกำลังปรุงยาอย่างขมักเขม้นขณะที่ตำหนักในของตำหนักโลหิตกำลังต้อนรับเหล่าทูตจากดินแดนมีดสวรรค์
  โถงหลักตำหนักใน
  ม่อเทียนฉวนนั่งตรงกลางตามด้วยเจ้าสำนักซ้ายขวาที่นั่งด้านข้างตัวนาง
  ส่วนคนที่นั่งถัดมาก็คือเหล่าผู้เฒ่าจากตำหนักในซึ่งมีอาจารย์พรายและผู้เฒ่าจิงอยู่ด้วย
  ที่กลางโถงหญ่มีสามคนยืนอยู่อย่างสง่างาม
  หนึ่งในนั้นเป็นคนที่มีสองศีรษะพวกเขาคือฉินกับหลินอย่างไม่ต้องสงสัย
  ส่วนอีกคนคือรองเจ้าดินแดนมีดสวรรค์เสี่ยวหยูหลาง
  คนสุดท้ายดูแปลกประหลาดมากเขาห่มกายด้วยชุดยาวที่ประดับประดาไปด้วยชิ้นหยกแม้กระทั่งที่ศีรษะ เขาตัวสูงมาก และยังดูน่าสงสัยอีกด้วย
  ม่อเทียนฉวนมองดูเขาและขนลุกเล็กน้อยชุดหยกแปลก ๆ ทำให้นางมองเห็นรูปลักษณ์จริงของอีกฝ่ายไม่ได้
  “รองเจ้าดินแดนเสี่ยวไม่มีใครมาเคาะประตูเรือนผู้อื่นเฉย ๆ โปรดบอกความต้องการจากตำหนักโลหิตให้ชัด”
  ม่อเทียนฉวนพูดอย่างเย็นชาแข็งกร้าวนางไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องพิธีรีตรอง
  เสี่ยวหยูหลางนั้นท่าทางไม่ต่างกับชื่อเขาหน้าตาหล่อเหลว อ่อนโยน และสุภาพแม้จะอยู่ในวัยกลางคน
  “เป็นอย่างไรบ้างท่านเจ้าตำหนักม่อ? ก่อนหน้านี้ที่พิธีเซ่นป่าปีศาจร้าง ดินแดนมีดสวรรค์ของข้าพ่ายแพ้”
  เขาพูดต่อ
  “เจ้าดินแดนได้รับบทเรียนเขาจึงแต่งตั้งข้าให้มาเยี่ยมตำหนักโลหิตเพื่อมาขอรับคำชี้แนะจากปราชญ์ที่นี่”
  “หวังว่าท่านเจ้าตำหนักม่อจะเติมเต็มความปรารถนาของท่านเจ้าดินแดนพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปีแล้ว”
  คำพูดของเขาฟังดูลื่นหูแต่เขาพูดก็เพื่อที่จะทวงเกียรติยศและอำนาจที่เคยมีในเมืองเทียนหยาหรอกรึ?
  “ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามาทำไมข้ารับคำท้า แต่ข้าจะขอเลื่อนไปก่อนซักสองสามวัน…”
  ม่อเทียนฉวนกล่าว
  เสี่ยวหยูหลางยิ้มถาม
  “ทำไมเล่า?”
  ม่อเทียนฉวนหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
  “อาจารย์ซือกำลังทำภารกิจนอกตำหนักและยังไม่กลับมาไม่สะดวกที่เขาจะมาแข่งกันในตอนนี้”
  เสี่ยวหยูหลางหัวเราะ
  “ไม่มีคนมีพรสวรรค์อื่นในตำหนักโลหิตนอกจากอาจารย์ซืออีกแล้วหรือ?”
  “หรือจะพูดแบบนี้ดีกว่า…นอกจากหวังพึ่งอาจารย์ซือตำหนักโลหิตนั้นไร้ความสามารถ?”
  คำพูดของเขาดูรุนแรงกับตำหนักโลหิตขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
  คนประหลาดในชุดหยกพูดตาม ไอลีนโนเวล
  “จะรออยู่ใยซือหยูเซี่ยนจะมาหรือไม่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยน สำหรับข้า เขาไม่สำคัญนักหรอก”
  น้ำเสียงของเขาหยาบคายจนทำให้คนสงสัย
  ความสามารถที่ซือหยูแสดงในพิธีเซ่นป่าปีศาจร้างนั้นน่าตกตะลึงทั้งในอดีตและปัจจุบันในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีใครอีกแล้วที่เชี่ยวชาญภาษาไม้ได้เท่าเขา
  คนประหลาดผู้นี้เก่งเกินกว่าซือหยูจนทำให้เขามั่นใจเช่นนี้เชียวหรือ?
  ม่อเทียนฉวนจะไม่รู้ตัวได้อย่างไร?อีกฝ่ายพยายามจะยั่วให้นางตัดสินใจ นางเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหลอกง่าย
  นางตอบอย่างเรียบเฉย
  “ข้าจะตัดสินวันแข่ง!อีกสามวันนับจากนี้ เราจะได้เห็นผู้แพ้ชนะ ถ้าไม่มีอะไรก็แยกย้ายได้ แล้วพวกเจ้าก็ไปพักซะ”
  การสั่งการทุกเรื่องของนางทำให้แผนของเสี่ยวหยูหลางจบลงแต่เพียงเท่านี้เขาพยักหน้า
  “ย่อมได้อีกสามวันข้าจะมา”
  เมื่อไปส่งพวกเขาม่อเทียนฉวนหน้าหม่นหมอง
  “เป็นอย่างไรบ้างยังไม่ได้ข่าวซือหยูเซี่ยนอีกรึ?”
  เจ้าสำนักซ้ายขวาที่ได้รับหน้าที่ค้นหาซือหยูยิ้มอย่างขมขื่น
  “จากที่ตระกูลซือถูบอกเขาออกจากตระกูลซือถูไปในยามวิกาล ไม่รู้ว่าเขามุ่งหน้าไปที่ใด”
  “ฮื่ม!ส่งคนไปหาเขาเดี๋ยวนี้!”
  ม่อเทียนฉวนพูดอย่างเยือกเย็น
  ซือหยูเซี่ยนหายตัวไปทียามที่ตำหนักต้องการตัวที่สุด!
  “ขอรับ!”
  ทุกคนตอบพร้อมกัน
  อาจารย์พรายครุ่นคิด
  “ท่านเจ้าตำหนักหรือว่าจะเกิดเรื่องกับซือหยูเซี่ยน? หรือเขาอาจจะโดนใครจับตัวไป?”
  “จากข่าวที่ตระกูลซือถูบอกซือหยูเซี่ยนปิดบังเรื่องร่างมิติโบราณเอาไว้ เขายังมีพรสวรรค์วิญญาณแล้วยังมีฎีกาสวรรค์ เขาอาจจะถูกกลุ่มอำนาจอื่นเอาตัวไป หรือไม่ก็ถูกขู่พาตัวไปแล้ว!”
  ม่อเทียนฉวนเลิกคิ้วด้วยความตกใจ
  “ร่างวิญญาณโบราณ…แล้วยังเป็นร่างมิติฎีกาสวรรค์อีก แล้วก็ยังมีพรสวรรค์วิญญาณด้วยรึ?”
  โดยเฉพาะเรื่องกายาวิญญาณโบราณที่เป็นร่างวิญญาณที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่ร่างวิญญาณด้วยกันมีร่างเช่นนี้ซ่อนอยู่ในสำนักของนางเอง!
  นางรู้สึกเศร้าใจที่ปล่อยให้สมบัติล้ำค่านี้หลุดมือ
  “ส่งสำคัญไปบอกทุกตระกูลในอาณาเขตตำหนักโลหิต ใครที่รู้ตำแหน่งซือหยูเซี่ยนแล้วมารายงานจะได้แก้วสิบล้านดวง!”
  “ใครที่กล้าจับตัวซือหยูเซี่ยนเอาไว้จะถูกฆ่าล้างโคตรและขับออกจากตำหนักโลหิต!”
  น้ำเสียงของม่อเทียนฉวนแข็งกร้าวความตื่นเต้นแสดงอยู่ในแววตานั้น
  นางมีความสนใจในเรื่องกายาวิญญาณอย่างมาก
  “ขอรับ!”
  ทุกคนหัวใจหยุดเต้น
  ม่อเทียนฉวนแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
  “ไม่เพียงแต่จะเป็นปราชญ์ภาษาไม้เขายังเป็นร่างวิญญาณอีกด้วย! แล้วเขาก็สำเร็จฎีกาสวรรค์ที่เข้าใจได้ยากที่สุด แล้วก็มีพรสวรรค์วิญญาณอีก!”
  “ใครก็ตามที่มีสิ่งเหล่านี้ย่อมเลี้ยงตัวเองในฐานะยอดฝีมือไปได้ตลอดชีวิตแต่ทุกอย่างกลับอยู่ที่เขาคนเดียว! ข้าอยากจะเจออาจารย์ซือผู้นี้กับตา!”
  ในเรื่องนี้อาจารย์พรายรู้ดี
  “ใช่แล้วอาจารย์ซือเจียมตัวอย่างผิดปกติ เขาปิดบังพรสวรรค์ไว้มากมาย มันน่าตกตะลึงยิ่งนัก แม้แต่ข้าก็เทียบไม่ติด”
  “เอาล่ะบอกข้าทันทีที่เจอซือหยูเซี่ยน ครั้งนี้ ต่อให้ข้าปิดประตูฝึกตน ข้าก็จะออกมาเจอเขาด้วยตัวเอง”
  น้ำเสียงของม่อเทียนฉวนมีทั้งความนับถือและการยอมรับ
  แต่ในตอนนั้นเองพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลก็ได้กระจายออกมาจากส่วนลึกของตำหนักใน
  ลึกในท้องนภาแสงตะวันห้าสีได้ปรากฏเปล่งประกาย
  ถ้าหากมีแค่พลังวิญญาณมันจะไม่น่าตกใจเลย นั่นก็เพราะมียอดฝีมือที่เก่งกาจมากมายที่ตำหนักใน ไม่แปลกหากจะทำให้เกิดความปั่นป่วนของพลังวิญญาณออกมาบ้าง
  แต่สิ่งที่พบได้ยากคือปรากฏการณ์แสงห้าสี!
  ม่อเทียนฉวนขมวดคิ้ว
  “ทำไมมันดูเหมือนการเกิดของโอสถระดับห้าเล่า?”
  นางมองอาจารย์พรายด้วยความสงสัย
  อาจารย์พรายคือปรมาจารย์นักปรุงยาคนเดียวในตำหนักโลหิตที่สามารถปรุงโอสถระดับห้าขึ้นมาได้
  หรือว่าอาจารย์พรายจะฝึกศิษย์คนอื่นมาแล้ว?นางได้ยินว่าเขาได้รับศิษย์มีความสามารถมาในเร็ว ๆ นี้
  “ไม่ใช่หยิงหยิงแน่!นางยังห่างไกลนักที่จะปรุงโอสถระดับห้า!”
  อาจารย์พรายส่ายหัวเขาตกตะลึง
  “แปลกมากใครปรุงยาอยู่ในตำหนักกัน?”
  แสงนั้นมาจากส่วนลึกของตำหนักในมันจะต้องไม่ใช่คนนอกอย่างแน่นอน
  ม่อเทียนฉวนสีหน้าประหลาด
  “ไปดูกันเถอะเป็นเรื่องดียิ่งที่จะมีปรมาจารย์ปรุงยาอีกคนในตำหนัก พวกเราควรจะไปแสดงความยินดี”
  กลุ่มคนตามม่อเทียนฉวนออกจากโถงหลักไปพวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่เมฆกระจัดกระจาย