ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (2)

 

คนรับใช้ได้แต่รับฟังแล้วทำตามโดยไม่คิดถามอะไร สุดท้ายเหมือนเย่เซียวจะนึกเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าจึงพูดเพิ่มเติมนิ่งๆ “ไม่ต้องบอกว่าเป็นคำสั่งจากฉัน”

 

คนรับใช้ยิ่งฉงนใจ นายท่านทั้งสั่งให้ปิดหน้าต่างปิดผ้าม่านแล้วต้องเฝ้าอยู่ข้างนอก กำลังเป็นห่วงคุณไป๋คนนั้นอยู่หรือ? กับคุณน่าหลันยังไม่เคยแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยได้ขนาดนี้เลย!

 

แต่ก่อนหน้าดูจากท่าทีดูถูกเหยียดหยามที่เขามีต่อคุณไป๋ เลวร้ายสุดๆ!

 

……………………

 

กลางดึก

 

นอกหน้าต่างภายใต้ลมพัดโกรก ไป๋ซู่เย่นอนหายใจอย่างทรมานบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย

 

ระหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นมีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมออกมาไม่หยุด

 

เธอกำผ้าปูใต้ร่างแน่นจนยับยู่ยี่ ปลายนิ้วขาวไร้สีเลือด ผ้าปูเปียกชื้นเพราะเหงื่อจากฝ่ามือของเธอ

 

“คุณไป๋ ช่วยรีบไปจากที่นี่ด้วย!” ข้างหูมีเสียงแน่วแน่ของผู้ชายดังขึ้น

 

“ไม่! จะไปก็ไปด้วยกัน! จะตายก็ตายด้วยกัน!” เธอได้ยินเสียงตัวเองที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ความจริงเธอในอายุสิบแปดปีเคยชินกับภาพความตายแต่พอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เธอก็กลัวอยู่ดี เสียงของเธอสั่นเครือ

 

“นายสั่งไว้ว่าให้ตายยังไงพวกเราก็ต้องปกป้องคุณให้ได้ คุณไป๋ อย่าทำให้เราต้องลำบากใจ!”

 

ตามด้วยเสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ก่อนที่กระสุนราวกับฝนห่าใหญ่จะหล่นมาจากฟ้า นักแม่นปืนถูกยิงเจาะหัว เธอในตอนนั้นทำได้แค่ตัวแข็งมองลูกน้องของเย่เซียวล้มลงข้างเธอทีละคนๆ อย่างหมดแรงและชาไปทั้งตัว

 

“หมายเลข A3280 ทำภารกิจสำเร็จ ยินดีต้อนรับกลับสู่ทีม!” หัวหน้าทีม Aจากกระทรวงความมั่นคงก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์มาตรงหน้าเธอแล้วทำความเคารพ

 

เธอเห็นกลุ่มคนที่นอนหายใจรวยรินเพราะต้องการปกป้องเธอใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายถลึงตามองเธออย่างโกรธแค้นแต่ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สายตานั่นทั้งเย็นยะเยือก น่ากลัวเหมือนผีที่จ้องจะเอาชีวิต

 

“ขอโทษ…ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” เธอหลุดเสียงตะโกนออกมาก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง แผ่นหลังเปียกชื้นเป็นวงใหญ่ เธอเหมือนหายใจไม่ออกราวกับมีใครกำลังบีบคออยู่

 

ฝัน…

 

ที่แท้ก็แค่ฝัน ฝันร้าย! ฝันร้ายที่พัวพันเธอมาสิบปีเต็ม!

 

นอกหน้าต่างลมกำลังซัดโครมเหมือนสัตว์ดุร้ายที่ส่งเสียงคำราม ไป๋ซู่เย่รู้สึกตัวเองใกล้ตายเพราะขาดอากาศหายใจเต็มที เธอย้ายร่างอ่อนแรงลงจากเตียง เปิดหน้าต่างแรงๆ แล้วสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พิงกรอบหน้าต่างมองความมืดที่ปกคลุมทั้งโลกอย่างเหม่อลอย

 

ขณะนั้นเองจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก

 

ได้ยินเสียงคนรับใช้แว่วเข้ามาแผ่วเบา “เสียงเมื่อกี้ดังออกมาจากในนี้จริงๆ ค่ะ น่าจะเป็นคุณไป๋ฝันร้าย”

 

“รู้แล้ว ถอยออกไปได้” เสียงเย่เซียว

 

จากนั้นเขาถึงเดินเข้ามา

 

ประตูถูกปิดตัวลงอีกครั้ง ภายในห้องดำมืดไม่ได้เปิดไฟ

 

ไป๋ซู่เย่หันกลับไปมองอย่างอัตโนมัติ แวบเดียวก็เห็นร่างสูงใหญ่นั่น

 

คล้ายกับว่าเขาไม่ทันสังเกตว่าบนเตียงไม่มีใครอยู่ถึงได้ยืนมองไปทางเตียงจากตรงประตูนิ่งๆ ตรงนั้นผ้าห่มวางเป็นกอง ท่ามกลางความมืดเหมือนมีใครนอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ

 

เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างด้วยหัวใจที่หล่นวูบ เผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ วางมือไว้ตรงขอบหน้าต่างอย่างไม่เข้าใจความหมายของเขา

 

สุดท้ายเย่เซียวนั่งลงตรงโซฟา จุดบุหรี่มามวนหนึ่งโดยที่เขาไม่ได้สูบ แค่ให้บุหรี่มวนนั้นเผาไหม้อยู่ระหว่างนิ้วไปเรื่อยๆ

 

ไฟกะพริบๆ นั่นกระแทกสายตาไป๋ซู่เย่ที่อยู่ด้านหลังเหลือเกิน

 

พักใหญ่คล้ายว่าเขากำลังคุยกับเธอแต่ก็เหมือนกำลังพึมพำคนเดียว น้ำเสียงปนเย้ยหยัน “ไป๋ซู่เย่ในตอนนี้กลับยังกลัวสภาพอากาศแบบนี้อีกเหรอ?”

 

ไป๋ซู่เย่ตัวสะท้านรุนแรง

 

น้ำตาแทบร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวในพริบตา

 

หมายความว่า…ที่เขาปรากฏตัวที่นี่เพราะเขาคิดว่าเธอยังกลัวสภาพอากาศฝนฟ้าคะนองอยู่เหรอ?

 

เธอเมื่อสิบปีก่อนเพราะต้องการเข้าใกล้คนเย็นชาราวกับน้ำแข็งอย่างเขา เมื่อนั้นถึงได้แสร้งทำเป็นกลัวฝนฟ้าคะนองแล้ววิ่งไปห้องทำงานของเขาด้วยความตกใจ ตามตื๊อเขาไม่ยอมกลับ

 

เธอพบว่าวิธีนี้ได้ผลไม่หยอก หลังใช้ได้ผลหลายทีก็เริ่มเสพติดมัน เป็นผลให้ภายหลังทุกครั้งที่มีสภาพอากาศเช่นนี้เย่เซียวจะมานอนกอดเธอที่ห้องด้วยตัวเอง

 

หลังจากนั้น…

 

ทุกค่ำคืนที่เป็นแบบนี้ หากไม่มีเย่เซียวอยู่เคียงข้าง เธอจะเริ่มสะดุ้งแล้วนอนไม่หลับไปทั้งคืน

 

ถึงทำให้หลายครั้งที่เย่เซียวติดภารกิจไม่อยู่ข้างเธอก็จะหาเวลาว่างโทรมาปลอบเธอ ตอนนั้นไป๋ซู่เย่แทบลืมตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหลอกเขาอยู่ แม้แต่ตัวเองยังคิดว่าเธอเป็นคนขี้กลัว ขี้กลัวจนต้องการการปกป้องจากเขา ขี้กลัวถึงขั้นอยากพึ่งพาผู้ชายคนนั้นไม่เลิก…

 

ต่อจากนั้นเรื่อยมาหลังขาดการติดต่อจากเขาอย่างสิ้นเชิงก่อนกลับสู่ทีม เธอก็ยังเหมือนเดิม พอถึงคืนที่ฝนตกจะสะดุ้งตื่นแล้วนอนไม่หลับตลอดคืน

 

หนักถึงขั้นกลางดึกจะได้ยินเสียงหลอนราวกับมีสายเรียกเข้าจากคนคนนั้น…

 

จากนั้นเพราะอาการหลอนหนักเกินไปจนเกือบสังเวยชีวิตเพราะนอนน้อย หัวหน้าคิดว่าเธอได้รับแผลในใจจากภารกิจคราวนี้ถึงได้จัดหาจิตแพทย์คอยรักษาเธออยู่สองปีเต็ม อาการของเธอถึงดีขึ้นตามลำดับ

 

ภายหลังเธอคอยบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางรักและปกป้องเธอเหมือนของรักของหวงอีก และไม่มีทางปรากฏตัวในห้องของเธอ กล่อมเธอเข้านอนอีก

 

……

 

เมื่อเธอนึกถึงตรงนี้ เย่เซียวที่ไหวพริบดีเสมอราวกับสังเกตถึงความผิดปกติ เขาหันหลังมาทันที

 

หน้าต่าง เสียงลมพัดหวิว

 

เธอในชุดนอนยืนอยู่ตรงนั้นมองเขาด้วยสายตาเศร้าโศก ท่ามกลางความมืดดวงตาของเธอถูกชะโลมด้วยน้ำตา ใสวาว แต่เขากลับไม่เห็นคราบน้ำตาบนหน้าเธอ

 

เย่เซียวกระตุกคิ้ว ดวงตาวาวโรจน์ ดวงตาคู่นั้นเหมือนต้องการฉีกทึ้งเธอเป็นร้อยเป็นพันครั้ง!

 

เสียงพึมพำของเขาเมื่อครู่เธอได้ยินแล้วเหรอ? จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้เหมือนตัวตลก! ตัวตลกที่โง่เขลาอย่างในอดีต!

 

ทั้งที่เธอไม่ใช่ไป๋ซู่เย่คนเดิม แต่เขากลับยังลุ่มหลงอยู่ในนั้นคิดว่าเธอจะหวาดกลัวอย่างเคย

 

ซึ่งความจริงไป๋ซู่เย่ที่ฆ่าลูกน้องเขาไปมากขนาดนั้น ไป๋ซู่เย่ที่ใจร้ายอำมหิตและหน้าไม่อายถึงขั้นหลอกให้รัก จะกลัววันฝนตกฟ้าร้องที่ทำอะไรเธอไม่ได้ได้อย่างไร?! เขามันโง่ โง่เต็มพิกัดถึงได้อดหลับเพื่อเฝ้ารอ รอได้ยินเสียงจากห้องเธอก็รีบวิ่งแจ้นมา! สมน้ำหน้าที่ให้เธอเห็นเป็นตัวตลก! บางทีตอนนี้เธออาจจะได้ใจ ดูสิ เจ้าโง่นั่น กระทั่งตอนนี้ยังหลงเธอหัวปักหัวปำและถอนตัวไม่ได้!

 

เย่เซียวหายใจหอบหนัก ดับไฟบุหรี่แรงๆ เพราะท่วงท่าที่ใช้กำลังมากทำให้ปลายนิ้วถูกไฟจี้เข้าแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บ

 

แค่ได้ยินเสียงไป๋ซู่เย่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังโกรธ โกรธมากเสียด้วย

 

………………………………………………