ทว่าเรื่องซย่าโหวฉิงเทียนอยากแต่งงานกับอวี้เฟยเยียนนี้ ซย่าโหวจวินอวี่นั้นไม่ต่อต้านทั้งยังเห็นด้วย
ซย่าโหวจวินอวี่เองอยากจะดื่มชาจากลูกสะใภ้มาตั้งนานแล้ว!
ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะเปิดใจก็รีบร้อนจะแต่งงาน มาดว่าความคิดที่ว่าต้องการปลดปล่อยและมีลูกคงจะไม่ไกลอีกแล้ว คิดได้ดังนั้นซย่าโหวจวินอวี่ก็แอบดีใจ
“ความหมายของข้าเมื่อครู่ก็คือ ภาพวาดเหอหม่านเฉิงเจ้าดูแล้วหรือยัง เรื่องอย่างว่านั้น ไม่จำเป็นต้องรอหลังแต่งงานจึงค่อยกระทำ!”
ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวออกมาอย่างหน้าไม่อาย
ไม่กระโจนเข้าใส่นาง ข้าจะได้อุ้มหลานได้อย่างไรกันเล่า!
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี!
เห็นว่าฝ่าบาททรงตั้งหน้าตั้งตารอให้หลินเจียงอ๋อง ‘กระทำผิด’ ก่อนแต่งงานอย่างใจจดใจจ่อแล้ว เซี่ยงจิ้นก็แทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
ยังดีที่ประมุขตระกูลอวี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากว่าท่านได้ยินคำพูดเหล่านี้ละก็ การแต่งงานในครั้งคงไม่มีวันได้แต่งอย่างแน่นอน
ดูจากความหัวโบราณของอวี้จิงเหลยแล้ว จะต้องไม่ยอมรับความคิดวิธีการที่ล้ำสมัยเช่นนี้เป็นแน่
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ฝึกร่วมกับการแต่งงานไม่เกี่ยวข้องกัน! ข้าเพียงแต่อยากจะแต่งงานกับแมวน้อยในเร็ววัน เช่นนี้แล้วในทุกวันข้าก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาจวนจงอี้กงอีกต่อไป!”
ประโยคหลังของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ฟังไม่ถนัดนัก
เขาจดจำได้เพียงแค่คำว่า ‘ฝึกร่วม’ เท่านั้น
นั่นไม่ใช่การฝึกร่วม!
ซย่าโหวจวินอวี่ที่เดิมทีอารมณ์กำลังเบิกบานพลันก็ร้องเสียงหลง
สวรรค์เอ๋ย!
ฟ้าดินเอ๋ย!
เขายังคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนเข้าใจถ่องแท้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ใครจะคาดคิดว่าในใจของบุตรชายจะคิดถึงเพียงแต่วรยุทธ์เท่านั้น สามารถมองภาพชุนกงถูเป็นเคล็ดวิชาฝึกวรยุทธ์ไปได้ เห็นทีจะมีเพียงแค่ซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นที่ทำได้!
ฝึกร่วม นั่นคือการฝึกวรยุทธ์เป็นคู่ เข้าใจหรือไม่!
และมันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างชายหญิงแม้สักเพียงนิดเดียว!
“หากมิใช่ฝึกร่วม เช่นนั้นมันคืออะไร”
เห็นสีหน้าท่าทางของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถึงกับร้องไห้โดยไร้น้ำตา
เอาเถอะ ในเมื่อเขาเข้าใจว่าเป็นการฝึกร่วม เช่นนั้นก็ให้เข้าใจว่าเป็นการฝึกร่วมต่อไปนั่นแหละ
ขอเพียงแค่บุตรชายยินยอมเข้าหอก็พอ!
ซย่าโหวจวินอวี่เชื่อแน่ว่า หากซย่าโหวฉิงเทียนได้ลิ้มรสความสุขสมที่แสนมหัศจรรย์ของมันล่ะก็ จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
“นั่นคือการฝึกร่วมนั่นแหละ! ข้าพูดผิดไป!”
ซย่าโหวจวินอวี่โบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างไม่มีทางเลือก หมดสิ้นซึ่งคำพูดทุกอย่างกับซย่าโหวฉิงเทียน
“แล้วเจ้าคิดว่าจะฝึกร่วมเมื่อไหร่กัน”
“หลังจากที่แมวน้อยสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโส…”
คราวนี้ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่แทบจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ เสียแล้ว
วีรชนอาวุโส!
ความหมายของซย่าโหวฉิงเทียนก็คือหากไม่สำเร็จขั้นก็ไม่จะฝึกร่วม
ซย่าโหวจวินอวี่ได้ยินดังนั้นก็แทบอยากงัดหัวสมองบุตรชายออกมาดูยิ่งนักว่าข้างในบรรจุอะไรเอาไว้
อวี้เฟยเยียนนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งก็จริง แต่จากปรมาจารย์จนถึงวีรชนอาวุโส นับเป็นการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ บางทีอาจใช้เวลาสองปี บางทีอาจจะสามปีห้าปี บางที…สิบปีก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้!
ซย่าโหวจวินอวี่รู้ซึ้งแล้วว่าต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน สติปัญญาของเขากลับใช้การไม่ได้แม้แต่น้อย
ตอนนี้พวกเรากำลังพูดคุยในเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่
เหตุใดฮ่องเต้จึงทรงมีความรู้สึกว่า ความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์กันนะ
ซย่าโหวจวินอวี่ยังสามารถคาดหวังที่จะได้อุ้มหลานชายอยู่หรือไม่!
ในตอนนี้ ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียน ราวกับไอ้โง่ ไอ้โง่คนหนึ่งจริงๆ !
ทว่า เมื่อนึกถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนเติบโตอยู่ในจวนตัวประกัน ไม่มีใครคอยสั่งสอนเขาในเรื่องเหล่านี้ ในใจของซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มเจ็บปวด คำพูดที่มาจุกอยู่ที่ปากแล้วก็ถูกกลืนลงไปอีกครั้ง
หากซย่าโหวฉิงเทียนมิได้เติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไหนเลยเขาจะกลายเป็นคนเลวร้าย ความคิดเหลวไหลไปได้ถึงเพียงนี้!
ให้กำเนิดแต่มิได้สั่งสอน เป็นความผิดของพ่อ!
เป็นเพราะเขาที่เป็นพ่อที่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อให้ดี!
ฮ่องเต้เริ่มต้นอภิปรายปัญหาที่มีความหมายลึกล้ำกับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความใจเย็น
“ฉิงเทียน การฝึกร่วมกับลำดับขั้นของวรยุทธ์ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด! การฝึกร่วมเป็นเรื่องที่สามีภรรยาเท่านั้นที่จะกระทำ! มีเพียงผู้ที่ผูกพันกันที่สุด รักกันที่สุดจึงจะสามารถฝึกร่วมได้ !”
“ข้ารู้”
“เช่นนั้นไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ ว่าเพราะเหตุใดถึงจะต้องรอให้นางสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโส! มันเกี่ยวข้องอะไรกับลำดับขั้นของวรยุทธ์!”
“ผู้ที่ลำดับขั้นของวรยุทธ์ต่ำเกินไปหากทำการฝึกร่วม จะไม่เป็นผลดีต่อการสำเร็จขั้น”
คำพูดซย่าโหวฉิงเทียนยากต่อการเข้าใจ ทำให้ฮ่องเต้ประมวลผลอยู่นานจนในที่สุดก็ทรงเข้าพระทัย
นี่เขากำลังเกรงว่าหญิงงามจะทำให้เสียการใหญ่!
เขาเกรงว่าหากได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความสุขสมแล้ว ก็จะล้มเลิกการพากเพียรในการฝึกวรยุทธ์ไป
อย่าเอาแต่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนอะไรเช่นนี้ได้หรือไม่เล่า
เจ้าไม่ควรคิดแต่จะสำเร็จขั้นตลอดเวลานี่นา!
ตอนนี้พวกเจ้าคือสามีภรรยาที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้แล้วนะ แล้วยังจะมุ่งมานะพยายามให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกทำไมกัน แล้วคนอื่นเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร!
“จริงๆ แล้วพวกเจ้าคนหนึ่งปรมาจารย์ คนหนึ่งจอมเทวา ข้าก็พอใจมากแล้ว จริงๆ นะ ฝึกร่วมเถิด ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก การฝึกร่วมต่างหากจึงจะทำให้จิตวิญญาณและร่างกายของสามีและภรรยาของทั้งสองคนหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่าจุดสูงสุด! เจ้าจะต้องชื่นชอบการฝึกร่วมอย่างแน่นอน!”
ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวชี้นำตักเตือนซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความยากลำบากอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่สามารถชักนำความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนให้กลับมาได้
ในตอนสุดท้าย ฮ่องเต้เกือบจะคุกเข่าศิโรราบให้กับความคิดที่ลึกล้ำแปลกประหลาดของเขาเสียแล้ว
หรือนี่จะเป็นบทลงโทษจากสวรรค์!
“เสด็จพี่ ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้วหรอก! ท่านวางใจได้เลย แมวน้อยมีพรสวรรค์สูงส่ง การที่จะสำเร็จเป็นวีรชนอาวุโสได้นั้นก็มีเพียงแค่ปัญหาเรื่องระยะเวลาเท่านั้น!”
เวลาๆ ข้าแก่ปูนนี้แล้ว รอต่อไปไม่ไหว!
เขาเกลี้ยกล่อมซย่าโหวฉิงเทียนไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงรอคอยอย่างนั้นหรือ
รอให้อวี้เฟยเยียนสำเร็จถึงขั้นวีรชนอาวุโส พวกเขาจึงจะฝึกร่วมกันและหลังจากนั้นไม่รู้ว่ายังต้องรอผลอีกนานเท่าไหร่ ซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้อุ้มหลาน
เขาเพียงแค่อยากจะอุ้มหลานเท่านั้น เหตุใดมันถึงได้ยากเย็นเพียงนี้!
“เสด็จพี่ ท่านยังไม่แก่! จริงๆ นะ!”
เมื่อมองเห็นเส้นผมขาวโพลนที่ริมใบหูของซย่าโหวจวินอวี่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ข้าจะบอกกับแมวน้อยให้ปรุงยาอายุวัฒนะยืดอายุของท่านให้นานขึ้น รับรองว่าท่านจะต้องมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี!”
“ข้าไม่ต้องการอายุยืนยาวเป็นร้อยปี ข้าต้องการอุ้มหลาน!” ซย่าโหวจวินอวี่น้ำตาคลอเบ้า เขาก้มหน้าลงต่ำจิตใจเศร้าหมองอย่างที่สุด
“เมื่อครั้งที่เจ้ายังเยาว์วัย ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ข้าคลาดกับช่วงเวลาในวัยเด็กของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด”
“จวบจนกระทั่งข้ามีกำลังเพียงพอ เจ้าก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว ไม่ต้องการข้าอีกต่อไป…”
“ดังนั้น ข้าจึงทำได้เพียงแต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ลูกของเจ้า ข้าต้องการเห็นเขากำเนิดขึ้น เติบโตขึ้น ชดใช้ในสิ่งที่ข้าติดค้างเจ้าเอาไว้ให้กับเขา! นี่คือความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของข้า!”