น้ำเสียงซย่าโหวจวินอวี่เจือเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ
ข้าพลาดโอกาสมากมายเหลือเกิน!
ไม่ว่าจะเป็นวัยทารกฟันน้ำนมของเขา หรือวัยหัดเดิน จนกระทั่งบุตรชายออกวิ่งได้ รอยยิ้มของเขา ประโยคแรกที่เอื้อนเอ่ยออกมาได้ อักษรตัวแรกที่บุตรชายได้เรียนรู้ เขาล้วนแต่พลาดไปหมด
เรื่องบางเรื่องหากพลาดไปแล้วอาจต้องเสียใจชั่วชีวิต!
ต่อให้ซย่าโหวจวินอวี่ต้องการชดเชยให้ภายหลัง แต่บุตรชายก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว เขาพลาดการสื่อสารระหว่างพ่อและลูก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างความผูกพัน
ท่าทางโศกเศร้าเสียใจซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนอดมิได้ที่จะต้องหวนนึกถึงในคืนหนึ่งที่แสนหนาวเหน็บของเมื่อหลายปีก่อน
เด็กชายตัวน้อยจับมือของเขาเอาไว้แน่นก่อนจะลาจากโลกนี้ไป ดวงหน้าน้อยๆ ของเขาซีดขาว
“เจ้ากับข้าต่างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเหมือนกัน”
‘ทอดทิ้ง’
เด็กน้อยผู้นั้นคงจะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขานั้นโชคดีเพียงไหน
ถึงแม้ว่าเขาต้องมาเป็นตัวประกันที่ฉินจื้อ ก็ยังมีบิดาที่รักและคอยห่วงหาอาทรเขาเฉกเช่นซย่าโหวจวิน อวี่ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงความคิดถึงความรักจากผู้เป็นมารดาอย่างมู่หรงเยียนเลย นางคิดคร่ำครวญถึงแต่บุตรชายในทุกคืนวัน เศร้าซึมจนกลายเป็นล้มป่วย และด่วนจากไปตั้งแต่ยังสาว
ในวันนี้ ซย่าโหวจวินอวี่คิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง ความเสียใจที่ได้กระทำสิ่งผิดพลาดลงไปซึ่งสั่งสมมาหลายปีจึงต้องการที่จะชดเชยจึงพรั่งพรูออกมา
ความรู้สึกนี้เดิมทีต้องเป็นของเด็กชายตัวน้อยที่แสนเศร้าสร้อยแสนอ้างว้างผู้จากไปคนนั้น
เพียงแต่ว่าเขาคงไม่มีวันได้เห็นฉากนี้อีกตลอดกาล
“ท่านไม่ได้ติดค้างข้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยออกมาในขณะที่มือก็เอื้อมไปลูบแผ่นหลังของซย่าโหวจวินอวี่แผ่วเบา
“ต่อไปข้าจะกตัญญูต่อท่านให้มาก อย่าเสียใจไปเลย!”
ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาเช่นนั้น ยิ่งทำให้น้ำตาซย่าโหวจวินอวี่ไหลออกมามากขึ้น
แต่ครั้งนี้ซย่าโหวจวินอวี่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ยอมให้น้ำตาของตนไหลออกมา ต่อหน้าบุตรชาย แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ!
เขายังต้องค้ำจุนต้าโจวเอาไว้เพื่อบุตรชาย แล้วจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน!
“ข้าจะกระตุ้นแมวน้อยให้นางสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโสภายในครึ่งปี! ท่านไม่ต้องกังวล!”
วิธีการปลอบโยนคนของซย่าโหวฉิงเทียนแลดูงุ่มง่าม แต่ทว่ากลับได้ผลชะงัดนัก
“จริงหรือ”
ได้ยินเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเขาเป็นประกายแวววาวจ้องมาที่ซย่าโหวฉิงเทียน
“เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
“ไม่หลอกท่านหรอก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเอื้อมมือออกมาลูบที่หางตาของซย่าโหวจวินอวี่ มีหยาดน้ำตาอยู่จริงๆ
หลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่ดีกับเขามาก เขาเองก็รู้ดี!
ถึงแม้ที่ฮ่องเต้ทรงดีกับเขาก็เพราะเข้าใจว่าเขาคือบุตรชายของพระองค์ แล้วพระองค์จึงทรงคิดไปว่ากำลังให้ความรักกับบุตรชายของตนเอง เขาใช้ชื่อซย่าโหวฉิงเทียน จึงได้ครอบครองในสิ่งดีๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงควรที่จะตอบแทนบุญคุณ นั่นก็เป็นเรื่องที่สมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นของเล่นเด็กที่อยู่ที่จวนเหล่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้ว่า ซย่าโหวจวินอวี่ปฏิบัติกับเขาราวกับพ่อปฏิบัติต่อลูกอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งยังรอยคอยลูกของซย่าโหวฉิงเทียนด้วยใจจริง!
แม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของซย่าโหวจวินอวี่เองยังไม่เคยได้รับความรักจากบิดาที่ใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนที่เลยด้วยซ้ำ
ความรักนี้สำหรับซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง!
หากเป็นไปได้ละก็ เขาอยากให้ซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อของเขาตลอดไป ให้ความลับนี้เป็นความลับตลอดไปไม่ให้เขาต้องเจ็บปวด!
“ตกลงตามนี้!”
ด้วยเกรงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะแกล้งหลอกเขาให้ดีใจ ซย่าโหวจวินอวี่จึงยื่นมือออกมาจับมือของซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมาแปะมือเป็นสัญญาณสามครั้ง
เพี้ยะๆๆ
ฝ่ามือกระทบกันเสียงดังฟังชัด
ในเวลานั้นเองในดวงตาของซย่าโหวจวินอวี่กำลังยิ้ม
ช่วงเวลาครึ่งปีเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้ร่วมหอ เด็กทั้งสองคนสุขภาพร่างกายแข็งแรง เขาเชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็คงต้องมีข่าวดีอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าวันนี้อารมณ์ของซย่าโหวจวินอวี่ค่อนข้างอ่อนไหว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงตั้งใจอยู่ทานมื้อกลางวันเป็นเพื่อนเขา
ใครจะคาดคิด ว่าฮ่องเต้เพียงแค่ได้ยินว่ามื้อกลางวันในวันนี้อวี้เฟยเยียนเข้าครัวด้วยตัวเอง ก็รีบไล่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับไปทันที
“รีบไปช่วยเข้าสิ อย่าให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย เป็นบุรุษจะต้องรู้จักสงสารเอาอกเอาใจสตรีของตนด้วย!”
เมื่อแน่ใจว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไปแล้วจริงๆ ฮ่องเต้ก็รีบปรับสีหน้าจากที่โศกเศร้าเมื่อครู่ ปาดน้ำตาออกไป กลายเป็นใบหน้าที่ผ่องแผ้วสดใสทันที
“ฮ่าๆ! สู้กับข้า! เจ้ายังอ่อนหัดนัก!”
เมื่อมองดูอีกครั้ง ซย่าโหวจวินอวี่เสียใจทุกข์ระทมตรงไหนกัน
ท่าทางสุขขีเปรมปรีดิ์ กระปรี้กระเปร่า ราวกับขุนศึกที่เพิ่งกำชัยชนะมาก็ไม่ปาน กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างที่สุด
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
เซี่ยงจิ้นรีบเสนอหน้าเข้ามาประจบสอพลอทันที
“พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” ซย่าโหวจวินอวี่ลูบเครา ยักคิ้วหลิ่วตา
“ฉิงเทียนเด็กคนนี้ จิตใจดีงามใสซื่อบริสุทธิ์เกินไป ดังนั้นถึงได้ถูกข้ากล่อมเอาได้! ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็เตรียมตัวเป็นเสด็จปู่ได้แล้ว! ฮ่าๆ! “
“ฝ่าบาท แล้วหากหลังจากครึ่งปีผ่านไป ใต้เท้าอวี้ยังมิสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโสละพ่ะย่ะค่ะ จะทำเช่นไร”
เซี่ยงจิ้นกล่าวถามขึ้น
“ข้าไม่สน! ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าครึ่งปี หากทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่จะต้องร่วมหอ! ข้าได้แปะมือเป็นสัญญากับฉิงเทียนแล้ว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเชื่อในการรักษาสัจจะของซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่เคยโอ้อวดเกินจริง พูดได้ทำได้เสมอมา
เมื่อได้มีคำมั่นสัญญาของซย่าโหวฉิงเทียน ฮ่องเต้จึงทรงวางพระทัยได้
“จริงด้วย! เหตุใดบ่าวจึงคิดไม่ถึงนะ! ดังนั้น อย่างที่เขาว่าบ่าวก็คือบ่าว ติดตามฝ่าบาทมาเนิ่นนาน ยังเรียนรู้ได้ไม่ถึงครึ่งของพระปรีชาของฝ่าบาทเลย สติปัญญาบ่าวคงไม่มีทางพัฒนาได้แล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ!”
การพูดว่ากล่าวตนเองของเซี่ยงจิ้น เรียกเสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆ ’ จากซย่าโหวจวินอวี่ได้มากทีเดียว
ผลจากการที่ซย่าโหวจวินอวี่ดีอกดีใจนั่นก็คือ ตกรางวัลให้กับเหอหม่านเฉิงกองใหญ่
ในเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนชื่นชอบภาพวาดชุนกงถูของเหอหม่านเฉิง เท่ากับเหอหม่านเฉิงมีความชอบ ดังนั้นเขาจึงต้องตกรางวัลให้ชัดเจน
จนกระทั่งเซี่ยงจิ้นนำของรางวัลพระราชทานมาถึงที่จวนตระกูลเหอ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาจนเหอหม่านเฉิงทำหน้าไม่ถูก ความปลื้มปีติประเดประดังกันเข้ามา ทำให้เขาพูดไม่เป็นภาษา
ในตอนนี้เขามีหลานชายตัวน้อยแล้ว ด้วยเกรงว่าจะเป็นการชี้นำหลานชายในทางที่ผิด ดังนั้นภาพวาดชุนกงถูเหล่านั้นเขาจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ แอบวาดในห้องหนังสือ ยังดีที่หลังจากส่งมอบภาพออกไปแล้วฝ่าบาททรงพอพระทัย!
เมื่อเห็นว่าสมาชิกในครอบครัวต่างก็ดีอกดีใจ เหอหม่านเฉิงก็รู้สึกหน้าบานอย่างเป็นเกียรติ
แต่ครั้นเมื่อนึกถึงที่มาของรางวัลเหล่านี้ ศิลปินเฒ่าก็ยังคงใบหน้าแดงซ่านจนกระทั่งถึงใบหู
ฝ่าบาท หากมีคราวหน้าเรื่องดีๆ เช่นนี้ ขอทรงมอบหมายให้คนอื่นจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ
กระหม่อมคงรับพระกรุณาเช่นนี้ไม่ไหวจริงๆ!
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกลับถึงจวนจงอี้กงก็ถึงเวลากินข้าวพอดิบพอดี อวี้เฟยเยียนทำกับข้าวจนเต็มโต๊ะ
คราวนี้มีแม่ครัวคอยช่วย อวี้เฟยเยียนจึงเพียงแต่นึ่งๆ ผัดๆ ดังนั้นงานจึงเบาลงมาก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็นึกสงสารนางไม่น้อย ดังนั้นขณะที่รับประทานอาหารนั้นเขาจึงบอกกล่าวย้ำเตือนกับทุกคน ว่าการขอมาฝากท้องกินข้าวด้วยเช่นนี้ ให้ได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้อวี้เฟยเยียนเหน็ดเหนื่อย
พี่ใหญ่ ในตอนนี้ทำเอาข้าแทบจะไม่รู้จักท่านอยู่แล้ว!
หวังว่าท่านจะมีความสุขตลอดไป
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนรักทะนุถนอมอวี้เฟยเยียนเช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงก็ลอบถอนใจไม่ได้
พี่ชายต้องลำบากยากเข็ญตั้งแต่ยังเยาว์ จึงควรที่จะมีใครสักคนคอยใส่ใจดูแลเขาอยู่ข้างกาย
ซึ่งหนานกงจื่อหลิงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ในยามที่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ต่อหน้าอวี้เฟยเยียนอารมณ์ของเขาจะสงบและคงที่ มิใช่ดั่งเช่นในเวลาปกติที่เย็นชาโหดร้าย มองดูแล้วไม่เงียบสงบอย่างไรอย่างนั้น!
สามารถพูดได้เต็มปากว่า อวี้เฟยเยียนมีผลต่อซย่าโหวฉิงเทียนเป็นยิ่งนัก!
นางหวังว่าพี่ใหญ่จะรีบแต่งงานกับพี่อวี้ให้เร็วที่สุด!
สวรรค์จะต้องคุ้มครองพวกเขาด้วยนะ!
หนานกงจื่อหลิงภาวนาอยู่ในใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียจื่ออี๋ให้ลองลิ้มกับข้าวฝีมืออวี้เฟยเยียน ซึ่งตลอดทางที่เดินทางมา หมอเทวดาฮั่วเอาแต่ร่ำร้องบ่นคิดถึงมาตลอดทาง จึงทำให้นางฉงนสงสัยยิ่งนัก
เพียงคำแรกที่คีบเข้าปาก ก็ทำให้เซวียจื่ออี๋เข้าใจขึ้นมาในทันที บนโลกใบนี้ยังมีคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้อยู่อีกหรือ
น่าเสียดายที่เซวียเฉียงไม่มีลาภปาก ต้องเก็บตัวเพื่อสำเร็จขั้นน่ะสิ!
เมื่อเห็นหมอเทวดาฮั่วยัดกับข้าวคำยักษ์เข้าปากแต่ละคำ ทุกคนก็เริ่มก้มหน้าก้มตากินโดยไม่สนใจใครอีก เซวียจื่ออี๋ถึงกับไม่สนใจภาพลักษณ์หญิงผู้เรียบร้อยอีกต่อไป นางใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว
หากช้าไปแม้เพียงนิดเดียว ของอร่อยพวกนี้ก็ไม่เหลือน่ะสิ!
ฮันจื่อเองก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะอวี้เฟยเยียนได้เตรียมเนื้อตุ๋น เนื้อพะโล้ เนื้อย่างชามใหญ่เอาไว้ให้ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นของโปรดของฮันจื่อทั้งสิ้น
ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนแต่กินด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนฮันจื่อที่อยู่ในเรือนก็กินอย่างสบายอกสบายใจ
มันกำลังกินไปพลางคาดการณ์ไปพลาง
หากติดตามเจ้านายคนอื่น ในบางทีบางครั้งก็อาจถูกเจ้านายรังเกียจหลงลืมทิ้งเอาไว้ที่ไหนสักที่โดยไม่สนใจ ไม่สู้หันไปสวามิภักดิ์แม่นางน้อยอวี้!
ดูสิ ติดตามแม่นางน้อยอวี้มีความสุขเพียงใดกัน!
มีเนื้อกิน! ได้ต่อสู้! แม่นางน้อยต่างหากคือดาวนำโชคของมันจริงๆ!
ต่อไปข้าขอติดตามแม่นางเพียงผู้เดียว