องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 692 ข้าขยับไม่ได้
“พ่อตา……”
“ข้าไม่ใช่พ่อตาของเจ้า พวกเจ้ามันโฉดชั่วเหมือนหมาป่า ทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น ตอนนี้เจ้าต้องได้รับโทษ วันนี้เป็นวันของตายพวกเจ้า ตอนนั้นเป็นพวกเจ้าที่ทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น ขัดขวางข้าอยู่นอกวัง อวิ๋นอวิ๋นร้องเรียกหาข้า แต่ข้าก็มาไม่ทัน จึงกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่” แววตาของท่านแม่ทัพฉีเหี้ยมโหดมาก ไม่รอให้หนานกงเย่กล่าวจบก็ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวออกไป
ท่านอ๋องตวนกอดฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม : “ท่านแม่ทัพฉี ตอนนั้นมันคือความเข้าใจผิด ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ที่มันเป็นเช่นนี้เพราะจวินฉูฉู่ ท่านไม่สามารถ…”
บึม!
ท่านอ๋องตื่นตระหนกตกใจครู่หนึ่ง กำแพงด้านหนึ่งถูกแจกันที่ยกขึ้นด้วยกำลังภายในของท่านแม่ทัพฉีเขวี้ยงใส่จนเกิดเป็นรู
ท่านแม่ทัพฉียิ้มเยาะ : “หากเจ้าไม่กอดอวิ๋นอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน นี่คือจุดจบของเจ้า”
ท่านอ๋องตวนเหลือบมองไปยังรูด้านข้างแวบหนึ่ง โกรธเกรี้ยวจนไม่กล้าหายเลยทีเดียว
มือทั้งสองข้างของราชครูจวินสอดไว้ใต้แขนเสื้อ และยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของท่านอ๋องตวน ตรงนี้ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อครั้งฉีจือซานวัยเยาว์มักมีนิสัยไม่ดี ไม่เช่นนั้นเหตุใดพระพันปีถึงได้ตามใจเขาอย่างนั้นละ
ทว่า…..
ราชครูจวินชำเลืองตามองไปยังหนานกงเย่ ถึงกระนั้นก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน เพื่อปกป้องท่านอ๋องตวน ท่านอ๋องเย่ยอมลำบากทั้งสิ้น
เขาไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง แต่กลับปกป้องท่านอ๋องตวน
มือทั้งสองข้างของท่านอ๋องตวนกระชับแน่น เข้าใจอย่างชัดเจน
“ฉีจือซาน หากเจ้าทำร้ายท่านอ๋องเย่ วันนี้ข้าจะฆ่าฉีเฟยอวิ๋น”
หนานกงเย่มีสีหน้าเคร่งขรึมลง : “พี่รอง!”
ราชครูจวินเป็นกังวลเกี่ยวกับสติปัญญาของท่านอ๋องตวน ขืนเขาโง่เขลาต่อไปเช่นนี้ก็คงไม่ดีนัก
“ท่านแม่ทัพฉี ท่านจัดการท่านอ๋องเย่ก่อนเถอะ” ไม่ทันให้ท่านท่านแม่ทัพฉีโกรธ ราชครูจวินก็กล่าวแทรกขึ้น
ท่านแม่ทัพฉีมองไปยังราชครูจวิน ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดเย็นชาออกมา : “ราชครูจวิน ท่านคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ?”
“ท่านแม่ทัพฉี บัดนี้พระชายาเย่ก็มีสภาพนี้แล้ว ท่านอยากให้นางตายอย่างนั้นหรือ?” ราชครูจวินกล่าว ดวงตาของท่านแม่ทัพฉีได้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“หนานกงเย่ เจ้าก่อนละกัน ไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันตายของสองพี่น้องอย่างพวกเจ้าแล้ว อวิ๋นอวิ๋นเจ็บปวดเพราะเจ้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน แล้วค่อยฆ่าท่านอ๋องตวน เช่นนี้จะได้มีหน้าไปพบอวิ๋นอวิ๋นได้อย่างไรละ”
ราชครูจวินตกใจ : “พระชายาเย่?”
ท่านอ๋องตวนก็ตกใจเช่นกัน เขาก้มหน้ามองฉีเฟยอวิ๋น: “พระชายาเย่สิ้นใจแล้วหรือ?”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ท่านแม่ทัพฉีถูกยั่วยุ แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ พวกเจ้าสองคนหยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว” หนานกงเย่มองไปยังท่านแม่ทัพฉีและกล่าวว่า : “ท่านแม่ทัพฉี ท่านโกรธ ท่านลองเข้ามาสิ วันนี้หากท่านชนะ เราสามคนจะยอมให้ท่านลงโทษ หากแพ้ วันข้างหน้าห้ามเอ่ยเรื่องนี้อีก ”
“ท่านอ๋องเย่ ข้าแค่ผ่านทางมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าอยากได้ใส่ใจข้าเลย”
ท่านแม่ทัพฉีมองไปยังราชครูจวิน : “ไม่มีปัญหา จะมีหรือไม่มีเจ้าก็ไม่สำคัญ”
“…” ราชครูจวินมีใบหน้าเคร่งขรึมลง : “ท่านแม่ทัพฉีไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้”
หนานกงเย่กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ เชิญ”
ท่านแม่ทัพฉีมองออกไป ก่อนจะเดินไปทางหนานกงเย่ ทั้งสองคนต่อสู้กันทันที การต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองเกือบจะพังลานกว้างทั้งหลังจนยับเยิน
หนานกงเย่และท่านแม่ทัพฉีต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้แต่ลูกน้องก็ไม่กล้าดูแคลน ทั้งสองต่อสู้อย่างไม่มีใครยอมใคร
ท่านอ๋องตวนเคร่งเครียด “ราชครูจวิน ท่านไปทูลรายงานฝ่าบาท มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถจัดการเขาได้”
“…” ราชครูจวินนิ่งไม่ไหวติ่ง แต่ท่านแม่ทัพฉีหูตาว่องไว “ตึง” หินก้อนหนึ่งถูกยกขึ้น และร่วงลงมาขวางหน้าประตู
ราชครูจวินเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก หลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน หากจวนแม่ทัพรอดออกไป เขาก็คงจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก
ท่านอ๋องตวนเงียบลง หนานกงเย่จึงเร่งมือ
ท่านแม่ทัพฉียิ่งเพิ่มความดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันทีที่ท่านอ๋องตวนเห็นหนานกงเย่เสียเปรียบ ก็รีบวางร่างฉีเฟยอวิ๋นและตรงไปหาหนานกงเย่ทันใด หนานกงเย่กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า : “อย่าเข้ามา”
ท่านอ๋องตวนกอดร่างของฉีเฟยอวิ๋นแน่นไม่ไหวติ่ง ราชครูจวินที่อยู่ด้านหลังก็ดึงรั้งท่านอ๋องตวนไว้ ให้ท่านอ๋องตวนหยุดนิ่ง
ท่านแม่ทัพฉียิ้มเยาะเย็นชา : “หนานกงเย่ เอาชีวิตของเจ้ามา!”
ท่านแม่ทัพฉีฟาดฟันออกไป หนานกงเย่ตั้งรับการโจมตีของทานแม่ทัพฉีอย่างแข็งขัน ทั้งสองปะทะกัน ท่านแม่ทัพฉีได้รับแรงกระแทกจนถอยร่นไปด้านหลังหลายสิบก้าว ท่านแม่ทัพฉีหยุดลง และกระอักเลือดสดออกมา
ยืนอึ้งงันครู่หนึ่ง ท่านแม่ทัพฉีมองได้มองไปยังเลือดสดในมือ อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
ท่านแม่ทัพฉีเงยหน้ามองหนานกงเย่ ซึ่งหนานกงเย่แค่เหงื่อออกเล็กน้อย ยืนเป็นกังวลอยู่ตรงข้าม
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
หนานกงเย่ก็พลันนึกถึงผลลัพธ์เมื่อฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมา ในใจจึงกลัดกลุ้มไม่น้อย
ท่านแม่ทัพฉีหน้าถอดสีลง : “คาดไม่ถึงว่าข้าจะตาไม่ถึงเช่นนี้ ดูท่าสองปีที่ผ่านมา เจ้าคงจะระแวดระวังตัวข้ามาตลอด ฝีมือก็น่าเหลือเชื่อ ดูท่า วันนี้หากจะต้องรับมือกับเจ้า คงจะยากไม่น้อย”
ท่านแม่ทัพฉีเดินไปหาหนานกงเย่ หนานกงเย่กล่าวว่า “ข้าฝึกฝนวิทยายุทธ์ทุกวัน ไม่ใช่เพราะต้องการสู้กับท่านแม่ทัพ เพียงแต่เสด็จแม่ของอวิ๋นอวิ๋นเป็นห่วง ประกอบกับที่อวิ๋นอวิ๋นดูแลข้า ให้กินยาสมุนไพร ถึงได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เป็นดั่งที่ท่านแม่ทัพฉีคิดไว้”
“อย่างนั้นหรือ?” ท่านแม่ทัพฉีดูไม่เชื่อในคำพูดของเขา
หนานกงเย่กลับยังคงหวาดผวา สาเหตุที่เขามีพละกำลังที่ผู้อื่นไม่อาจเทียบเทียมได้ในตอนที่อายุเท่านนี้ นั้นเป็นเพราะดื่มเลือดของฉีเฟยอวิ๋น หากไม่อย่างนั้น เขาต้องไล่ตามท่านแม่ทัพฉี อย่างน้อยก็ยี่สิบปีเลยทีเดียว
เป็นธรรมดา ที่เขาจะหวาดผวา
ท่านแม่ทัพฉีหัวเราะ: “เช่นนั้นก็ตายซะเถอะ!”
ท่านแม่ทัพฉีพรวดพราดออกไป ด้วยพลังที่ดุดันมาก หนานกงเย่พยายามต้านทาน จนเสียงระเบิดดังขึ้น เขากระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง แต่ท่านแม่ทัพฉีกลับไม่ขยับแต่อย่างใด
ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยระเกะระกะ ทุกอย่างพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ท่านอ๋องตวนตกใจจนหน้าซีดเผือดลง แต่กลับเป็นราชครูจวินที่ปีติยินดี ทั่วทั้งลานกว้างมีแค่เขาที่ยังสบายดี ฉีจือซานถือว่าเก่งกาจมาก ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว
ราชครูจวินมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นที่ยังไม่ฟื้นขึ้นด้วยความกังวล ฉีเฟยอวิ๋นสิ้นใจ เมืองต้าเหลียงของเราก็คงจะพังทลายไปเกือบหมดสิ้น
ข้างซ้ายก็ท่านแม่ทัพฉี ข้างขวาก็ท่านอ๋องเย่ ทั้งสองคนประสานดาบกัน เหมือนทั้งสองจะสาดคมดาบที่ฝงไปด้วยความดูถูกใส่กัน หากนางตาย เมืองต้าเหลียงคงเกิดหายนะครั้งใหญ่
หนานกงเย่ใช้มือกดหน้าอก พร้อมกับกระอักเลือดสดออกมา ก่อนจะเอนกายพิงกำแพงอย่างเหนื่อยหอบ
เขามองไปยังฉีเฟยอวิ๋น แววตาเคร่งขรึม : “อวิ๋นอวิ๋น …”
คิ้วของฉีเฟยอวิ๋นขยับเล็กน้อย รวบรวมแรงสุดกำลังลืมตาขึ้น จากนั้นก็มองไปยังท่านอ๋องตวน และกล่าวเสียงแหบแห้ง: “ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง …”
“ฟื้นแล้ว พระชายาเย่ฟื้นแล้ว”
ท่านอ๋องตวนร้อนใจจนเกือบโยนร่างของฉีเฟยอวิ๋นออกไป แต่ก็ตื่นตัวได้ก่อน
หนานกงเย่ยืนโอนเอนไปมา เหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้า
สายตาที่ท่านแม่ทัพฉีมองไปที่บุตรสาว กลับดูเย็นชา
ฉีเฟยอวิ๋นผละออกจากอ้อมกอดของอ๋องตวน แม้แต่ยืนก็ยังไม่มั่นคง พลางมองไปยังท่านแม่ทัพฉี : “ท่านพ่อ!”
ท่านแม่ทัพฉีรู้สึกหน่วง ๆ จากนั้นก็หมุนตัวกลับห้องไป ห้องในลานกว้างได้พังทลายลงไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ที่เขาอยู่กลับยังปกติ
เมื่อท่านแม่ทัพฉีเข้าประตูก็ไม่ได้ออกมาอีก ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ด้วยท่าทางโซเซ : “ท่านอ๋องไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
หนานกงเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ใบหน้าซีดนั้นช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก เขาอยากไปหาฉีเฟยอวิ๋น แต่เขากลับก้าวไม่ออก
ข้าขยับตัวไม่ได้ ถ้าขยับ…”
ไม่รอให้กล่าวจบ หนานกงเย่ก็หลับตาลง แต่เขายังคงพิงกำแพงไม่ได้ล้มลงมา
ฉีเฟยอวิ๋นฝืนสังขารเดินมาตรงหน้าของหนานกงเย่ เมื่อนางเดินมาถึงหนานกงเย่ก็เอนกายพิงร่างของนางทันที ร่างกายที่แข็งดุจหินได้กระแทกตัวนาง ฉีเฟยอวิ๋นโซเซเล็กน้อย มือทั้งสองโอบกอดร่างกายของหนานกงเย่ไว้ กอดเขาจนล้มลงไป
อีกาฝูงหนึ่ง บินโฉบลงมา ปกป้องพวกเขาทั้งสอง จึงไม่ล้มกระแทก