อันซลกำลังรู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก เป็นเรื่องดีที่หล่อนสามารถเอาชนะพี่สาวอย่างอียูจองและได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ติดตามถึงแม้ว่าการเรียกรวมพลจะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเงอะๆ งะๆ เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง สิ่งเดียวที่หล่อนทำ คือการเข้ามาในห้องประชุมและทนกับสายตาของเหล่าผู้เล่นที่มองมา รวมทั้งมองแต่พื้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ถึงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างตึงเครียดได้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่รู้เรื่องราวที่เป็นปัญหา ในใจตอนนี้มีเพียงความรู้สึกเสียใจที่ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องอะไรกันแน่ เพราะแบบนั้น อันซลจึงรู้สึกหงุดหงิด หล่อนบุ้ยปากจนริมฝีปากล่างยื่นออกมา หล่อนตัดสินใจว่าจะแสดงความดื้อรั้น และหันมองไปมา จนกระทั่งเจอคิมซูฮยอนที่ยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ไม่สิ เธอตั้งใจมองหาเขาต่างหากล่ะ
พลั่ก!
“ไอ้ขอทานนี่!”
“แคลนลอร์ด! ใจเย็นหน่อยสิคะ!”
“จะให้ฉันใจเย็นงั้นเหรอ ไอ้ขอทานนั่นเป็นผู้บริหารระดับสูงเลยนะ!”
“อันดับแรก เราต้องตรวจสอบกันก่อนค่ะ แล้วก็ไม่ได้มีแค่พวกเราด้วยนะคะ ก่อนอื่น….”
เสียงกระแทกพื้นพร้อมด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าวอย่างหนักดังมาจากทุกหนทุกแห่ง อันซลตกใจจนห่อไหล่เข้าหากัน เด็กขี้ขลาดตกอยู่ในความหวาดหวั่น อันซลมองไปยังต้นเสียงโดยอัตโนมัติและหน้าเจื่อนลงทันที นั่นเพราะมีคนอยู่มากมายกลางห้องประชุม แต่พวกเขากลับแสดงสีหน้าที่ดูดุร้ายออกมาเหมือนๆ กัน
อึก!
ความไม่สบายใจเริ่มเพิ่มมากขึ้นทุกที อันซลเอามือปิดปากที่กำลังสะอึกของตนเอง ขณะที่รีบร้อนมองหาคิมซูฮยอนไปด้วย ความกังวลที่เคยเกาะกุมจิตใจละลายหายไปราวกับหิมะ การได้จับปกเสื้อของคิมซูฮยอนไว้แล้วเล่าเรื่องไม่สบายใจทั้งหมดให้เขาฟังแม้เพียงนาทีเดียวคือความรู้สึกของหล่อนในเวลานี้
หลังจากนั้นไม่นาน อันซลก็เจอตัวคิมซูฮยอนกำลังพูดคุยหญิงสาวที่หล่อนไม่ชอบ หลังจากนั้นหล่อนก็ได้เห็นพี่ชายใหญ่กำลังเดินไปหาเขาด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่า ‘เธอกล้าดีมาจากไหน’ หล่อนเอียงศีรษะเล็กน้อยแต่ก็คิดจะตามไปสมทบด้วยคน จึงตั้งใจขยับเข้าไปใกล้ ในตอนนั้นเอง
“เธอ”
แม้จะไม่เหมือนว่าถูกบังคับ แต่กลับได้ยินเสียงแผ่วเบาจากที่ไหนสักที่ดังแว่วเข้ามา อันซลชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปในทันที และเมื่อหล่อนหันกลับไปช้าๆ ก็ได้พบกับอีฮโยอึลส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
“ฉัน ฉันเหรอคะ อึ๊ก!”
“ใช่ เธอนั่นแหละ หรือว่าเธอคืออันซล สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ใช่ไหม”
แม้จะมีคำว่า ‘หรือว่า’ ก็เถอะ แต่อันซลก็สามารถสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณ ว่าหญิงสาวตรงหน้าต้องรู้จักตนและมาตามหาตนแน่ ดูจากที่หล่อนรู้จักเผ่าและชื่อของตนอย่างถูกต้อง
อันซลผงกหัวอย่างระมัดระวัง หล่อนได้ตัดสินใจแน่วแน่และเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้น อยู่ๆ อันซลนั้นก็รู้สึกว่าตนเองโตขึ้นอย่างมาก
“เธอน่ะ ทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้นล่ะ ฉันเอง ฉัน อีฮโยอึล เราเคยเจอกันแล้วเมื่อครั้งก่อนนี่?”
“คะ…ค่ะ”
แม้จะมีคำว่า ‘ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก~’ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ในดวงตาของอีฮโยอึลกลับมีความปรารถนาแรงกล้าบางอย่างลุกโชนอย่างแรงกล้า อันซลกลืนน้ำลายลงคอและก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้น อีฮโยอึลก็ก้าวเข้าไปใกล้หล่อนอีกสองก้าวด้วยความรวดเร็ว อันซลถึงกับสับสน
อีฮโยอึลที่เข้ามาจนประชิดจับไหล่บางของอันซลไว้ แล้วเผยรอยยิ้มหนักแน่นจริงจังออกมา
“ถ้าอย่างนั้น…อยู่คุยกับพี่สักหน่อยได้ไหม”
อะ…อึก
คำพูดของอีฮโยอึลนั้น แสดงความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยให้อะไรก็ตามหลุดมือไปอย่างแน่นอน
* * *
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แคลนลอร์ดแฮมิล คิมยูฮยอนครับ”
“เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกสินะคะ แคลนลอร์ดอิสตันเทลลอว์ ฮันโซยองค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
แปล๊บ!
ต่างคนต่างทักทายกันอย่างง่ายๆ พี่และฮันโซยองปัดมือผ่านกัน ไม่ใช่การสัมผัสมือ แต่เป็นเพียงการใช้ปลายนิ้วแตะผ่านกันเพียงแผ่วเบาแล้วชักมือกลับไปดังเดิม
ผมมองทั้งสองคนที่จ้องมองกันด้วยสายตาเย็นชา ผมรู้สึกแปลก แม้จะพูดกันอย่างสุภาพ แต่สายตาของทั้งสองกลับลุกโชนอย่างเย็นชา ผมคิดว่าบางทีผมคงไม่ต้องแนะนำทั้งสองให้อีกฝ่ายแล้วด้วยซ้ำ
ตอนรอบแรกก็ไม่เห็นเป็นถึงขั้นนี้นี่…
ในฐานะที่ผมคิดจะเชื่อมสัมพันธ์ของฮันโซยองกับพี่ผ่านโอกาสในครั้งนี้ และตั้งใจจะทำให้เมอร์เซนต์นารี่, แฮมิล, อิสตันเทลลอว์ ทั้งสามเผ่ารวมตัวกันนั้น สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับฟ้าแลบในสภาพอากาศปลอดโปร่งเลยสักนิด ความจริงแล้วผมคิดว่าหากเป็นฮันโซยองล่ะก็ พี่คงจะยอมอ่อนข้อให้บ้าง
เมื่อลองมาไตร่ตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่าทางของพี่ยังคงมีปัญหาอยู่ ไม่มีทางเลยที่หล่อนที่รับรู้อะไรได้เร็วจะดูไม่ออก แน่นอน หล่อนสบตากับพี่ด้วยสายตาเย็นชา เพราะแบบนี้บรรยากาศจึงกลายเป็นเช่นนี้
ผมจมอยู่กับความคิดไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินพี่กระแอมไออยู่ข้างๆ และรับรู้ได้ว่าพี่จับแขนข้างขวาของผมไว้แน่น
“อะแฮม ซูฮยอน ตอนนี้พอจะมีเวลาไหม”
“หืม? ยุ่งอยู่น่ะสิ…กำลังคุยกับอิสตันเทลลอว์ลอร์ดอยู่น่ะ…”
“เจ้าเด็กนี่ หมู่นี้ไม่มีติดต่อหาพี่ชายแท้ๆ เลยนะ ไหนจะไม่ให้ฉันไปที่แคลนเฮาส์อีก พี่ชายแท้ๆ คนนี้เศร้าใจจริงๆ”
“…”
พี่พูดเน้นเสียงที่คำว่า ‘พี่ชายแท้ๆ’ ราวกับมีใครกำลังฟังอยู่ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป ผมก็รู้สึกถึงแรงจับเบาๆ ที่แขน
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ ฉันต้องการพูดต่อจากเมื่อสักครู่ แค่เราสองคนเท่านั้นค่ะ”
“อะไรกัน รีบหน่อยสิ”
ทั้งสองคนกำลังคุยกับผมก็จริง แต่ความจริงแล้วคือกำลังส่งคำพูดของตนไปยังอีกฝ่ายผ่านผมต่างหาก เพราะฉะนั้น ถ้าให้พูดตามตรงก็คือ คำพูดของฮันโซยองคือ ‘หลีกไป’ แต่พี่กลับตอบว่า ‘ไม่’ นั่นแหละ
ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก เงียบไม่ถึงสิบวินาทีแต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วหนึ่งนาทีเลย ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากขึ้นเท่านั้น ถ้าพูดถึงคาริสม่า ฮันโซยองเองก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร แต่พี่เองก็ใช่ย่อยเช่นกัน
แม้ทั้งสองจะดูเมินเฉย แต่บรรยากาศในตอนนี้ไม่ได้ต่างกับสงครามเลยแม้แต่นิด รู้สึกราวกับก้อนน้ำแข็งสองก้อนปะทะกัน ผมได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่
สถานการณ์ที่น่าอึดอัดยังคงดำเนินต่อไปเช่นนั้น
“จะว่าไปแล้ว ซูฮยอน นายเพิ่งหนีจากมิวล์มาได้เมื่อไม่นานมานี้เองนะ”
ผู้ที่เปิดบทสนทนาเป็นคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่นั่นเอง มุมปากของพี่ปรากฏรอยยิ้มบางเบาราวกับได้เปรียบอะไรสักอย่าง พี่ปรายตามองฮันโซยองเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เพราะมีบางคนในหน่วยกู้ภัยเมื่อคราวนั้นมาอยู่ที่นี่ด้วย นายอยากจะไปด้วยกันสักหน่อยไหมล่ะ พวกเขาบอกว่าอยากพบนายน่ะ อยากฟังเรื่องราวการจับแพคซอยอนมาเป็นเชลย”
เฮ้อ เด็กจริงๆ
ทันทีที่ได้ฟังพี่ ความคิดแรกในหัว ผมคิดว่ามันช่างน่าอายเสียจริง แน่นอน คำพูดนั้นไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ไม่จำเป็นจะต้องพูดเช่นนั้นในสถานการณ์ตอนนี้เลย พี่เพียงแต่พูดเรื่องการเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยขึ้นมาบังหน้าเพื่อแยกฮันโซยองออกเท่านั้น
แม้อิสตันเทลลอว์จะเป็นเผ่าตัวแทน แต่หากมาตรองดูแล้ว เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเข้าร่วมกับหน่วยกู้ภัย เนื่องจากเป็นเผ่าทหารรับจ้างอิสระ ‘แน่นอน แล้วทำไมถึงไม่เข้าร่วมล่ะ’ ผมไม่ได้จะหมายความว่าแบบนี้ แต่ตามที่ผมได้รับฟังมานั้น มันสามารถกลายเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้ฮันโซยองหยุดชะงักได้ ถึงแม้มันจะไม่ยุติธรรมกับหล่อนก็ตาม
ในคราแรก ฮันโซยองทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ทำไมไอ้ลูกหมานี่ถึงอยู่ด้วยทุกทีไป?’ นี่ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย แต่ก็เป็นดังที่ผมคิด ผมรู้สึกว่ามือที่เคยจับแขนผมไว้ค่อยๆ ตกลงอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าสิ่งใดกันที่กำลังกวนใจผมอยู่ หล่อนปรับสีหน้าแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ และมองไปที่พี่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา
“นั่นสินะคะ ถ้าเช่นนั้น ไว้คุยกันที่หลังก็แล้วกันค่ะ ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีค่ะ”
ฮันโซยองหันหลังเดินจากไปช้าๆ หลังจากพูดจบ จนกระทั่งเกือบจะหายลับไปจากสายตา ผมได้ยินเสียงพี่กระซิบเบาๆ อยู่ด้านข้าง
“ซูฮยอน ระวังไว้ล่ะ เมื่อครู่พี่มองเห็นมาแต่ไกล พี่ว่ามันไม่สมควร”
พี่บอกให้ผมระวังอะไรกันแน่ ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่นัก และในทันทีที่ผมหันไปมอง ผมก็เห็นว่าพี่มีแสงที่สง่างามแผ่ออกมา
“ที่พี่ว่าไม่สมควรนี่คืออะไรล่ะ”
“นายไม่เห็นเหรอ ตอนที่คุยกับนายอยู่ อยู่ดีๆ ก็มาคล้องแขน ซ้ำยังจงใจเผยหน้าอกหน้าใจให้นายเห็น แล้วจู่ๆ ทำไมถึงต้องหลบตาด้วย แค่ดูก็รู้ว่าเธอนั้นทั้งยั่วยวนและลูกไม้แพรวพราว เพราะตอนนี้นายกำลังมีชื่อเสียง เธอจึงตั้งใจจะล่อลวงแล้วใช้งานนายยังไงล่ะ”
“พี่นี่พูดเพ้อเจ้ออะไรกัน”
แม้จะเรียกเขาว่าพี่ แต่จากสถานการณ์ที่ผมได้ประสบมาเมื่อสักครู่ ผมไม่มีทางพูดสุภาพกับเขาได้แน่
“ผู้หญิงคนนั้นคือแคลนลอร์ดของเผ่าตัวแทนแห่งโมนิก้าไม่ใช่เหรอ ไม่ได้การล่ะ ซูฮยอน เดิมทีพี่เคยคิดว่าจะปล่อยไป แต่ไม่ว่ายังไง เห็นทีมาที่พรินซิก้าคงจะดีเสียกว่า พี่รู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ”
อย่างไรก็ตาม พี่ชายผมก็ปากกล้ากล่าวโทษหล่อนอยู่ดีจริงๆ
“หน้าอกของเธอมันใหญ่จนไร้ประโยชน์…เห็นไปถึงไหนต่อไหน”
เมื่อผมมองไปยังพี่ที่ส่ายศีรษะไปมาพร้อมจิ๊ปาก ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ