ถ้าอย่างนั้น ผมก็แค่บอกกับเหล่าสมาชิกเผ่าไปว่า ‘หน้าอกของฮันโซยองใหญ่เสียจนเราต้องออกจากโมนิก้า’ ก็คงได้อย่างนั้นสิ
ผมหายใจยาวออกมาจนสุด และปัดมือของพี่ที่จับแขนผมไว้ออกอย่างแรง
“ซู ซูฮยอน?”
“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ”
“นี่นาย ทำไมจู่ๆ ถึงได้…”
“ไม่ได้ล้อเล่น และไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นด้วย”
พี่ทำเพียงกะพริบตาอย่างไร้ความหมาย บางทีคงกำลังอ่านความจริงที่แฝงอยู่ในสายตาของผม
ผมจ้องมองพี่อย่างดุดัน แล้วจึงรีบร้อนเดินไปยังทิศทางเดียวกับที่ฮันโซยองจากไป
คำสั่งเรียกรวมพลจบลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยประการฉะนี้ พวกเราออกจากพรินซิก้าแล้วกลับมายังแคลนเฮ้าส์ที่โมนิก้าอีกครั้ง แม้จะเป็นการเรียกรวมพลที่มีเสียงซุบซิบและปัญหามากมาย แต่อย่างไรก็ตามผมก็สามารถถ่ายทอดทุกสิ่งที่ผมได้ตั้งใจไว้ ไม่มีอะไรที่กลายเป็นปัญหา ตอนนี้เหลือเพียงแค่ให้พวกเขาจัดการเรื่องภายในให้เข้าที่เข้าทางด้วยตนเอง และรอนำแผนที่ได้วางเอาไว้ในทีแรกมาปฏิบัติจริงเท่านั้น
ใช่แล้ว มีแค่สิ่งนั้นเท่านั้น แต่…
อึก อึก!
“หืม”
ผมมองดูอีฮโยอึลที่กระดกเครื่องดื่มลงคออยู่ตรงหน้า แล้วถึงกับต้องก่ายหน้าผาก เดิมทีผมคิดจะทิ้งหล่อนไว้กับพี่ในวันเรียกรวมพล แต่หล่อนดันขอร้องผมว่ามีเรื่องที่จะต้องพูดโดยไม่ให้ใครรู้ เพียงแค่ผมยอมรับฟัง หล่อนก็จะไม่เซ้าซี้ขอเป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ หรือแม้กระทั่งขอเงื่อนไขพิเศษ(?) สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็ตามผมมาจนได้
และคำที่หล่อนพูดทันทีที่มาถึงก็ช่างน่าขันเสียจริง
“เพราะแบบนั้น เลยบอกว่าอันซลมีความสามารถในฐานะผู้พิทักษ์ของทวีปฝั่งเหนืออย่างนั้นเหรอ”
“อืม อืม ใช่แล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วยังไงต่อ?”
ความจริงแล้วผมยังหงุดหงิดกับเรื่องของพี่อยู่ แล้วนี่ยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้โมโหคงไม่ได้ แต่อีฮโยอึลกลับส่ายหัวแล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่าทุกอย่างจะโอเคเพียงแค่หล่อนโยนภาระเรื่องผู้พิทักษ์ไปเท่านั้น
“ไม่รู้สิ เอาล่ะ เรื่องโดยละเอียดฉันก็ได้พูดไปหมดแล้ว นายจะบอกให้เธอฟังก็ได้นะ ไม่สิ แจ้งแก่ท่านว่าที่ผู้พิทักษ์น่ะ…โฮะๆ”
แม้ผมจะคาดเดามาบ้างแล้ว แต่พอได้มาฟังโดยตรง ในใจผมก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา ในตอนแรกผมตั้งใจว่าจะค่อยๆ คิดหลังจากคุยกับเซราฟ แต่อีฮโยอึลกลับมาตัดหน้าไปเสียก่อน
ผมกดขมับอย่างแรงกับความคิดว่าผมนั้นหนีเสือปะจระเข้ แล้วหันไปหาอันซลที่นั่งอย่างสุภาพเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ใบหน้าของหล่อนไม่ได้มีความนอบน้อมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเป็นใบหน้าที่เศร้าสลดด้วยจมอยู่ในสำนึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม นั่นต้องเป็นเพราะการป้อยอด้วยคำพูดหวานหูของอีฮโยอึลไม่ผิดแน่
อันซลสบตากับผม หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนไม่เหมือนหล่อนคนเดิม
“ท่านพี่ ฉันรู้ว่าท่านพี่สับสนเพราะได้ฟังเรื่องแบบนี้อย่างกะทันหัน แต่ช่วยฟังเรื่องของฉันทีนะคะ ขอร้องล่ะ นะคะ?”
เมื่อได้ฟังที่หล่อนพูด ผมก็ตัดสินใจได้ทันที ถ้าสมมติผมหลอกลวงอันซลด้วยคำพูดที่ด้อยกว่าคำพูดของอีฮโยอึล แม้แต่จะต้องเปิดศึกกับเหล่าทูตสวรรค์ ผมก็จะไม่ยอมเสียหล่อนไป
แต่ก่อนอื่น ผมจำเป็นจะต้องฟังอันซลและเคารพความคิดเห็นส่วนตัวของหล่อนเสียก่อน นั่นเป็นเส้นที่ผมได้ขีดเอาไว้นั่นเอง
“ท่านพี่ ก่อนอื่น เราคุยกันแค่สองคนนะคะ แบบนั้นน่าจะดีกว่าน่ะค่ะ”
ผมขยับตัวไปตามปลายนิ้วของอันซลที่จับชายเสื้อผมไว้แน่นแล้วลากผมออกไป ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินตามที่หล่อนนำไปอย่างอ่อนโยน
เราไม่ได้เดินไปไกลมากนัก อันซลเพียงแค่ออกมาจากห้องทำงานที่มีอีฮโยอึลและมาหยุดอยู่ตรงระเบียงทางเดิน หล่อนหันไปปิดประตูที่เปิดทิ้งไว้อย่างแน่นหนาแล้วจึงพูดด้วยใบหน้าที่แสดงความตั้งใจเด็ดเดี่ยว
“ท่านพี่ ฉันขอบอกท่านพี่เอาไว้ก่อนนะคะ ว่าฉันอยากเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือค่ะ เธอบอกว่าฉันมีพรสวรรค์ค่ะ”
“อันซล ผู้พิทักษ์ไม่ใช่หน้าที่ที่ง่ายดายแบบนั้นหรอกนะ ความจริง มันก็ถูกที่พี่ค่อนข้างจะสับสนเพราะได้ฟังอย่างกะทันหัน เพราะงั้นลองบอกพี่มาหน่อยสิว่าเธอได้ยินเกี่ยวกับมันมามากแค่ไหน และรู้เรื่องผู้พิทักษ์ดีสักแค่ไหน หืม?”
“ท่านพี่! ชู่ว! ทุกคนจะได้ยินหมดนะคะ!”
อันซลเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากและมองไปทางห้องทำงานเพราะผมพูดเสียงดังเกินไป เพราะแม้จะปิดประตู แต่ก็ยังสามารถแอบฟังจากการใช้เวทยกระดับโสตประสาทได้ เพราะอย่างนั้นนั่นจึงเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์
แต่ว่าในฐานะที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ยอมสูญเสียหล่อนไป ปฏิกิริยาเช่นนั้นของอันซลก็ค่อนข้างน่าแปลกใจอยู่เล็กน้อย
อันซลถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างน่ารัก แล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ
“รู้ค่ะ ฉันรู้ดี แต่ท่านพี่ ท่านพี่ช่วยปรับมุมมองให้ตรงกันกับฉันก่อนได้ไหมคะ ฉันเองก็มีความคิดดีๆ เหมือนกันนะคะ”
“เธอจะพูดอะไรกันแน่ พี่คงทำตามโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้หรอกนะ และอีกอย่าง พี่เป็นแคลนลอร์ดของเธอ พี่ไม่สามารถอนุมัติโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรได้หรอกนะ”
“ทะ…ท่านพี่…”
อันซลเผยสีหน้าราวกับว่าหล่อนประทับใจคำพูดของผม แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น หล่อนโบกมือปฏิเสธแล้วจึงพูดต่ออย่างแผ่วเบา
“ฟู่ ช่วยไม่ได้สินะคะ เอาล่ะค่ะท่านพี่ ใจเย็นก่อนนะคะ แล้วลองฟังดูก่อน เพราะฉันจะบอกท่านพี่ทั้งหมดทุกสิ่ง ฉันได้ยินมาอย่างละเอียดเชียวค่ะ ได้ยินมาว่าผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือนั้นมีความสามารถพิเศษมากมายนะคะ”
“…”
“หากจะถามว่าเป็นความสามารถแบบไหนล่ะก็…..”
หลังจากนั้นอันซลก็เริ่มเล่าเรื่องสิทธิพิเศษที่ได้ฟังมาจากอีฮโยอึลอย่างละเอียด
หล่อนเล่าเกี่ยวกับทักษะเฉพาะ, ทักษะพิเศษและทักษะแฝง เมื่อดูทักษะการสืบค้นที่แบ่งได้หลากหลายสาขา เช่น ความสามารถในการวินิจฉัย หรือการสำรวจค้นคว้า เป็นต้น มองเผินๆ ก็ดูคุ้มค่าทีเดียว
แต่หล่อนกำลังมองข้ามจุดที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ หากเป็นผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือแล้ว ก็จะไม่สามารถถูกผูกมัดอยู่ที่เดียวได้ นอกจากนั้นยังต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตนให้มิดชิดที่สุดในขณะที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย ผมคิดว่าอันซลไม่น่าจะทำหน้าที่นั้นได้แน่ ถ้าหล่อนไม่งอนก็ถือว่าโชคดีไป
ผ่านไปประมาณห้านาที การอธิบายทุกอย่างจึงจบลง
“เป็นอย่างไรบ้างคะ สุดยอดไปเลยใช่ไหม”
หล่อนถามพลางเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยใบหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ แต่ผมส่ายหัวแล้วตอบกลับไป
“พี่เข้าใจที่เธอพูด แต่มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นเธอจะต้องจากเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไปน่ะสิ แล้วอันฮยอนจะอนุญาตไหม”
ผมถึงกับต้องยกอันฮยอนขึ้นมาอ้างเพื่อเปลี่ยนใจหล่อน แต่ใจหล่อนคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมถามอย่างหล่อนตอบอย่างด้วยใบหน้าเบิกบาน
“ความจริง ฉันคิดว่าที่ผ่านมาฉันสร้างความเดือนร้อนให้ทุกคนมากเลยค่ะ และอีกอย่าง ทั้งพี่ชายและพี่สาว ยกเว้นฉันต่างก็เป็นคลาสพิเศษ…”
“เพราะเธอเป็นแค่คลาสทั่วไป เลยอยากจะเป็นผู้พิทักษ์งั้นเหรอ”
“นั่นก็ใช่ค่ะ แต่ว่าไม่ใช่เหตุผลหลัก ลองคิดดูสิคะ! ถ้าหากฉันเป็นผู้พิทักษ์ล่ะก็ ฉันก็จะสามารถช่วยพี่ได้อย่างเต็มที่เลยยังไงล่ะคะ ถ้าหากฉันใช้ทักษะการสำรวจ, ค้นคว้าแล้วรวบรวบซากโบราณวัตถุมาให้ท่านพี่ได้ในภายหน้าล่ะคะ ในวันข้างหน้าต่อไปจะเป็นยังไง”
“เพราะแบบนั้น พี่ถึงได้บอกยังไงล่ะว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด เธอไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ คิดว่าเหล่าฑูตสวรรค์จะอนุญาตงั้นเหรอ”
“หึๆ ทำไมล่ะคะ ก็นี่มันใจฉันนี่คะ”
ในตอนนั้น ผมมองดูอันซลที่ยิ้มมุมปากและมองผมด้วยความมั่นใจ เมื่อเห็นแบบนั้นผมเองก็หมดคำจะพูด อันซลดูจะคิดว่าบทบาทหน้าที่ของผู้พิทักษ์ง่ายเหมือนเล่นเขี่ยไพ่ หล่อนยังพูดต่อโดยไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของผม
“ตอนนี้การได้ตำแหน่งผู้พิทักษ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ ฉันคิดว่าฉันควรจะอยู่ข้างท่านพี่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอคะ”
“ไม่สิ เพราะแบบนั้นมันไม่ง่ายเหมือนที่เธอพูด…”
“หึๆ อย่ากังวลเลยค่ะ เพราะถ้าหากท่านพี่ปฏิเสธ ฉันก็จะล้มเลิกค่ะ ยังไงก็ตามทั้งท่านพี่แล้วก็ฉัน ไม่สิ ทั้งเมอร์เซนต์นารี่น่ะพิเศษสำหรับฉันมากเลยนะคะ”
อันซลแทบจะไม่ฟังคำผมเลย หล่อนตกลงไปในอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบที่หล่อนวาดฝันขึ้นมาและกำลังแหวกว่ายอย่างตื่นเต้น มืดบอดทั้งตาทั้งหู จะเรียกว่าว่ายเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่ในความเพ้อฝันจะได้ไหมนะ
…
หลังจากที่เงียบไปสักพัก อันซลก็กำมือข้างขวาแน่นแล้วตะโกนใส่ผมเต็มเสียง
“ท่านพี่คือพลัง!”
แล้วจากนั้น หล่อนก็ทุบอกตัวเองด้วยมือซ้ายแล้วพูดต่อ
“ฉันคือทักษะ!”
ว่าแล้วก็กำมือข้างซ้ายแล้วส่ายไปมาราวกับว่ามันจะส่งพลังได้ เป็นการเสร็จสิ้นความเพ้อฝันฉากสุดท้าย
“โชคแห่งฮอลล์เพลนโอบล้อมพวกเราอยู่แล้วค่ะ!”
“ฟู่ววว!”
ตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงใครสักคนพ่นของเหลวออกมาอย่างแรงดังมาจากในห้องทำงาน
“นี่ เธอนี่เหลือเชื่อจริงๆ ผู้พิทักษ์แบบนั้นน่ะมีที่ไหนกัน”
“ก็คุณบอกว่าจะเป็นแบบนั้นก็เป็นได้นี่คะ”
“ฉันพูดแบบนั้นเมื่อไหร่กัน ฉันบอกว่าถึงจะช่วยเมอร์เซนต์นารี่ก็ได้ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายก็ต้องผ่านการหารือกับเหล่าฑูตสวรรค์นี่?”
“อะไรกันคะ ฉันไม่เห็นรู้เลย แต่ว่าถ้าหากฉันไม่สามารถอยู่เคียงข้างท่านพี่ต่อไปได้ ฉันคงทำไม่ได้หรอกค่ะ ไม่สิ ฉันไม่ทำค่ะ!”
เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เลยว่าอีฮโยอึลกำลังแอบฟังอยู่ และทันทีที่ได้ยินแผนของอันซลก็พรวดพราดออกมาด้วยความโมโห
และในตอนนี้ อันซลและอีฮโยอึลก็กำลังเปิดสงครามน้ำลายกันอย่างถึงพริกถึงขิง
เหล่าฑูตสวรรค์ไม่ได้โง่ ผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือจะต้องทำงานด้วยสายตาที่เป็นกลางให้มากเท่ากับที่เป็นผู้ชี้นำทาง เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางอนุญาตให้อันซลใช้อำนาจและความสามารถของผู้พิทักษ์ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนตามอำเภอใจแน่ ความจริงแล้ว ที่หล่อนบอกว่า หากผมปฏิเสธก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป นั่นก็เป็นเพียงคำพูดที่คิดอย่างตื้นๆ เท่านั้นเอง
“ตายจริง เธอนี่…ทำเอาฉันขนหัวลุกไปหมด เป็นเด็กไม่ดีจริง ๆ สินะเนี่ย”
“ฮึ แล้วใครกันคะที่เปลี่ยนคำพูด คุณไม่ใช่เหรอ คนไม่ดีตัวจริงน่ะ”