เล่มที่ 17 ตอนที่ 8

Memorize

อีฮโยอึลได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับคำพูดของอันซลที่เถียงหล่อนคำไม่ตกฟาก แต่ทันทีที่หล่อนไม่มีอะไรจะพูด หล่อนก็กลอกตาแล้วปล่อยไหล่ให้ลู่ตกลงมา เป็นการบอกว่าความจริงทุกอย่างกระจ่างแล้ว หล่อนดูหมดสนุกไปเสียแล้ว 

 

 

อันซลเองก็เหมือนกัน ความผิดหวังฉายชัดออกมาโดยที่หล่อนพองแก้มออกข้างหนึ่งเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรม 

 

 

“แล้วที่จริง…” 

 

 

“พอได้แล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ” 

 

 

ผมพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเพราะลางสังหรณ์บอกว่ากำลังจะเกิดสงครามครั้งที่สองขึ้น เป็นเสียงที่แม้แต่ผมเองยังรู้สึกว่าหนักแน่น ผมอารมณ์เสียตั้งแต่วันเรียกรวมพลแล้ว แม้ว่าจะได้กลับมายังแคลนเฮาส์ที่ผมเรียกได้ว่าเป็นบ้านก็ตาม แต่ผมเองก็ไม่อาจต้านทานสิ่งที่สวนทางกับอารมณ์ของผมได้ 

 

 

เสียงลมหายใจติดขัดที่ได้ยินมาตลอดค่อยๆ หายไป อาจเพราะพวกหล่อนอ่านสีหน้าของผมออก 

 

 

มีสำนวนอยู่ว่าแม่ที่มีลูกเยอะไม่มีวันได้พักผ่อน ตอนนี้ผมเป็นดังสำนวนนี้เป๊ะเลย แน่นอนเราไม่สามารถนิยามได้ว่านี่เป็นปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง ทั้งอีฮโยอึลที่เอาอะไรไร้สาระไปใส่หัวเด็ก ทั้งอันซลที่ไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว และแม้แต่ผมที่เลื่อนไปเลื่อนมาอ้างว่ายุ่งทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอก 

 

 

ถ้ามาคิดดีๆ จะเห็นได้ว่าทั้งสามคนต่างก็มีความผิดทั้งหมด 

 

 

แน่นอนผมเข้าใจว่าอันซลทำลงไปเพราะความรู้สึกแบบไหน หล่อนยังคงยอมรับว่าหล่อนเป็นตัวภาระสำหรับเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มาจนป่านนี้ และหล่อนคงจะทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นอกจากนั้นทั้งอันฮยอนและอียูจองที่เริ่มต้นมาจากจุดเดียวกัน ต่างก็ได้คลาสหายากและพัฒนาบ่มเพาะความสามารถของตน ดังนั้นหล่อนคงไม่สามารถลบความรู้สึกว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่ยังจมปลักอยู่ 

 

 

แม้ผมจะเข้าใจจิตใจของอันซล แต่ผมมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมไม่สามารถข้ามไปได้ หากมีอะไรที่ผิดพลาดไป เมื่อลืมตาขึ้นมาผมจะไม่เสียหล่อนไปหรือ? 

 

 

หลังจากจัดการความรู้สึกภายในของตนมาสักพัก ผมเอ่ยออกมาเบาๆ 

 

 

“อันซล” 

 

 

“คะ…ค่ะ” 

 

 

อันซลตอบกลับมาด้วยเสียงเล็กๆ ทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ว่าอันฮยอนหรืออียูจองจะโดนดุด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ที่มิวล์ แต่ผมกลับเลี้ยงหล่อนมาอย่างตามใจ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ จนมีคำที่อียูจองมักจะพูดเสมอก็คือ ‘พี่รักแต่อันซล’ 

 

 

อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากเสียพลังใจไปกับเรื่องไร้สาระอีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจมอยู่กับความวุ่นวายแล้ว 

 

 

“ก่อนอื่นเข้าไปในห้องก่อนเถอะ แล้วไต่ตรองดูจนกว่าพี่จะเรียกเธออีกที” 

 

 

“ทะ…ท่านพี่” 

 

 

“เร็วสิ” 

 

 

“…” 

 

 

หล่อนเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร แต่ผมมองหล่อนกลับไปด้วยดวงตาแข็งกร้าว อันซลก้มหน้าลงด้วยความตกใจและพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง 

 

 

“ขอโทษค่า” 

 

 

ผมมองดูอันซลที่เดินเตาะแตะไปตามระเบียงหลังจากบ่นงึมงำเสียงเหมือนยุงบิน ผมก็หันขวับกลับมา จึงได้เห็นว่าอีฮโยอึลหลบตาผมด้วยสีหน้าเจื่อนๆ คงเพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตน 

 

 

“ทีนี้ถึงตาของเธอแล้ว ตามมาสิ” 

 

 

ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องทำงาน ผมได้ยินเสียงอีฮโยอึลปิดประตูอยู่เบื้องหลัง 

 

 

ผมไม่ได้บอกให้หล่อนนั่งลงแต่กลับมุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน นั่งลงบนเก้าอี้แทน ผมหยิบบันทึกและปากกาขนนกออกมา ก่อนจะเริ่มเขียนสารส่งให้พี่ 

 

 

“คือว่า…ดูท่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะโกรธมาก…” 

 

 

“อีฮโยอึล” 

 

 

อีฮโยอึลพูดออกมาอย่างระมัดระวังแต่ผมก็พูดขัดหล่อนขึ้น แล้วกลับไปจรดปากกาขนนกต่อ เนื้อความของสารที่ผมจะส่งให้พี่ก็คือ ผมขอปฏิเสธการร่วมมือกันระหว่างสมาชิกเผ่าของหล่อนนั่นเอง 

 

 

บอกตามตรงว่าผมเคยคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะใช้จนกระทั่งถึงวันเรียกรวมพล แต่ไม่ว่าจะมีผู้พิทักษ์หรือไม่มีมันก็แค่นั้น สำรวจงั้นเหรอ? เท่าที่ผมรู้ตอนนี้ในทวีปทางเหนือก็มีเกินยี่สิบที่แล้ว เพราะคำเชิญเข้าร่วมนี่ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ดังนั้นการยอมแพ้แต่โดยดีจะทำให้เราได้ประโยชน์เป็นร้อยเท่า 

 

 

“อันซลเป็นสมาชิกของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่และฉันคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ แต่เธอไม่ขออนุญาตฉันสักคำแล้วเข้ามาตามอำเภอใจ จะให้ฉันพูดยังไงกับกรณีนี้ดีล่ะ” 

 

 

“ฉันเสียใจ ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องนั้น ถ้าหากให้ฉันแก้ตัวล่ะก็…” 

 

 

“นั่นไม่ใช่คำที่ฉันอยากได้ยินนะ” 

 

 

ผมไม่ได้ใช้เวลามากนักในการเขียน เพราะผมเขียนเพียงธุระง่ายๆ ไม่ใช่การเขียนเรื่องราวตราตรึงใจแต่อย่างใด เมื่อพับสารได้สองสามทบ ผมก็เลื่อนมันไปอยู่ริมสุดของโต๊ะ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการให้มากที่สุด 

 

 

“ฉันพูดไปหมดแล้ว เรื่องจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีคนทำแน่นอน แต่ว่า…ยกตัวอย่างนะ ฉันไม่ชอบคำพูดแบบนี้ที่เธอพูดเลยจริงๆ อย่าแก้ตัว มันดูขี้ขลาด” 

 

 

“….” 

 

 

“อันซลจะฟังเธอด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน ไม่สิ เธอรู้หรือเปล่าว่าอันซลเป็นเด็กแบบไหนก่อนหน้านี้” 

 

 

“…ไม่รู้” 

 

 

“เธอคือผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือ ส่วนฉันคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันต้องทำตามคำพูดของเธอ แบบนี้ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นมันคงตลกน่าดูสินะ” 

 

 

ในตอนนั้น อีฮโยอึลที่เคยฟังผมเงียบๆ ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองผม แม้ใบหน้าจะนิ่งเฉย แต่ดวงตากลับแข็งกร้าว สิ่งที่ผมพูดคงจะแทงใจหล่อนอย่างจัง 

 

 

แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น อีฮโยอึลค่อยๆ หลุบตาลงต่ำ แล้วจึงเข้ามาใกล้โต๊ะและหยิบบันทึกที่วางอยู่ขึ้นมาถือไว้ 

 

 

“ใช่แล้วล่ะ ฉันคิดสั้นไปจริงๆ แม้จะมีปากเป็นสิบปาก ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด และถึงจะไม่พูดอะไรอีก แต่ว่าถ้าหากนายจะยกโทษให้ก็คงจะดีไม่น้อยนะ” 

 

 

“เมอร์เซนตร์นารี่เป็นเผ่าที่เติบโตมาถึงขนาดนี้ได้ด้วยตนเอง ฉันมองไม่เห็นว่าเธอเคยมีบุญคุณอะไรกับพวกเราบ้าง และไม่มีความจำเป็นจะต้องมองด้วย เข้าใจที่พูดหรือเปล่า” 

 

 

“อืม ฉันจะสลักมันไว้ในใจเลย ฉันเสียใจกับเรื่องนี้จริงๆ นะ และถ้าหากว่านายต้องการ ฉันจะไปขอโทษเด็กคนนั้นเป็นการส่วนตัวเอง” 

 

 

อีฮโยอึลเป็นคนพูดจริงทำจริง แม้เมื่อกี้จะใช้คำพูดเสียดแทงให้เสียความมั่นใจ แต่ยกเว้นครั้งหนึ่งเมื่อสักครู่ ตอนนี้หล่อนก็กำลังแสดงออกว่าหล่อนเสียใจอยู่จริงๆ 

 

 

ผมจ้องอีฮโยอึลอยู่สักพัก แล้วจึงพักเพยิดไปทางประตูเป็นสัญญาณให้หล่อนเลิกสร้างปัญหาแล้วรีบออกไปให้เร็วที่สุด 

 

 

“…กลับไปแฮมิล แล้วไปขอบคุณพี่ชายฉันซะ เพราะถ้าไม่ใช่เพื่อพี่ ฉันคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายดายแบบนี้หรอกนะ” 

 

 

“ได้สิ มันอาจจะน่าขันที่ฉันมาพูดเอาป่านนี้ แต่ว่าฉันรู้สึกขอบคุณนายเหลือเกินที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้และช่วยเหลือฉันเมื่อตอนวันเรียกรวมพลด้วย ถ้าอย่างนั้น ฉันจะติดต่อมาหาเร็วๆ นี้นะ ถึงตอนนั้นฉันจะติดต่อนายอย่างป็นทางการไม่ใช่ติดต่อแบบส่วนตัวแล้วแหละ” 

 

 

“ยังไม่รีบไปอีก ออกไปได้แล้ว” 

 

 

อีฮโยอึลค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วหมุนตัวเดินจากไปช้าๆ ภาพด้านหลังของหล่อนที่กำลังเดินไปยังประตู ดูตัวเล็กลงอย่างน่าประหลาด 

 

 

เมื่อประตูปิดลงและอีฮโยอึลลับสายตาไป ผมก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด 

 

 

แต่จู่ๆ ผมกลับคิดว่าบางอย่างดูซับซ้อนเกินไป 

 

 

 

 

 

เป็นเวลากว่าหลายวันแล้วหลังจากที่อีฮโยอึลจากไป ในช่วงระหว่างนั้นเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ ผมจะพูดอย่างไรดีล่ะ จะบอกว่าเงียบมากได้ไหมนะ 

 

 

ไม่มีอะไรต่างไปจากปกติเช่นเดียวกับเผ่าอื่นๆ และผู้เล่นทุกคนต่างทำงานของตน และจดจ่อกับการรับรู้ข่าวสารภายนอกเพียงอย่างเดียว 

 

 

ผมมองเหม่อลงมาจากดาดฟ้าอยู่แบบนั้น จมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง 

 

 

“ซูฮยอน คิดอะไรอยู่เหรอคะ” 

 

 

ในตอนนั้นเองเสียงใสจากด้านหลังก็ดังเข้ามาในหู และเมื่อผมหันกลับไป ผมก็เห็นจองฮายอนที่ส่งยิ้มสวยมาให้โดยที่ถือถ้วยชาไว้ในมือ หล่อนค่อยๆ ยกถ้วยชาที่มีควันลอยอยู่น้อยๆ ขึ้นมา ผมพยักหน้าพร้อมถอนหายใจยาวออกมา เพราะต้องการชาร้อนๆ สักแก้ว 

 

 

กลิ่นหอมหวานในน้ำสีเข้ม เป็นชามะนาวไม่ผิดแน่ ผมเดากลิ่นโดยใช้ปลายจมูกดมแล้วจึงค่อยๆ ถามออกไป 

 

 

“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมอยู่ที่นี่” 

 

 

“ฉันอยากพบคุณก็เลยแวะไปที่ห้องทำงาน แต่คุณไม่อยู่ก็เลยขึ้นมาที่ดาดฟ้าเผื่อคุณจะมาที่นี่น่ะค่ะ” 

 

 

โกหก คนอย่างหล่อนน่ะเหรอจะไม่รู้  

 

 

แต่ผมไม่ได้คิดจะกล่าวโทษใครก็ตามที่มาที่นี่เพื่อเวลาน้ำชาหรอกนะ ผมยิ้มบางๆ กลับไปและตัดสินใจจะสานต่อบทสนทนากับหล่อน หล่อนมีนิสัยรักความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นบางทีหล่อนอาจจะขึ้นมาที่นี่อย่างน้อยก็เพื่อมารายงานก็เป็นได้ 

 

 

“ครับ จะมารายงานเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ 

 

 

“พวกเร่ร่อนน่ะค่ะ ฉันมอบทุกอย่างให้กับอิสตันเทลลอว์ไปพร้อมกับบันทึกตามคำชี้แนะของแคลนลอร์ดในการประชุมเมื่อวานน่ะค่ะ พวกเขาบอกว่าจะเปิดการพิจารณาคดีใหม่เร็วๆ นี้ และบอกว่าต้องการจะมาเยี่ยมเยี่ยนซูฮยอนในไม่ช้านี้ค่ะ” 

 

 

“อย่างนั้นสินะ เป็นรายงานที่ดีมาก ลำบากแย่เลยนะครับ” 

 

 

ผมตอบพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นด้วยเจตนาบางอย่าง 

 

 

“แล้วก็อิสตันเทลลอว์ลอร์ฝากมาบอกคุณด้วยค่ะ ว่าขอบคุณสำหรับไมตรีจิตของเมอร์เซนต์นารี่และหวังว่าคุณจะไม่ถือสาพวกเขาจนเกินไปค่ะ” 

 

 

ผมดื่มน้ำชาลงลำคอแล้วพยักหน้ากลับไป 

 

 

ผมเข้าใจในทันทีว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ผมยังคงยิ้มอย่างขมขื่นออกมาเมื่อคิดถึงตอนที่ผมพยายามอย่างหนักเพื่อปรับความเข้าใจกับพี่ 

 

 

โชคดีนะที่ฮันโซยองเป็นระดับหัวหน้า 

 

 

ผมยิ้มอย่างขมขื่น และทำเพียงกลืนน้ำชาลงคอ 

 

 

ตอนนี้จองฮายอนค่อยๆ ลอบสังเกตผมราวกับว่าหล่อนไม่มีอะไรจะรายงานอีกแล้ว หลังจากเงียบกันไปสักพัก หล่อนก็ค่อยๆ พูดออกมา 

 

 

“ซูฮยอน ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงมันในสถานการณ์แบบนี้หรอกนะคะ แต่ว่าช่วงนี้ฉันรู้สึกเบื่อๆ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนคงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวออกเดินทาง…” 

 

 

“ดูเหมือนสงสัยอะไรอยู่สินะครับ”