เห็นท่าทางที่เร่งรีบของเขาเช่นนั้น พระชายาฉีส่ายศีรษะยิ้มอยู่ด้านหลัง รอให้ทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้าที่อยู่ข้างกายขึ้นมาเย็บต่อ
ไม่ได้พบเจอกันหลายสิบวัน อาจจะไม่ถึงกับมีอารมณ์ดั่งไฟสุมขอน แต่ก็ยากที่จะควบคุมตัวเองได้ ทันทีที่เข้าประตูไป หวงฝู่อี้เซวียนก็โอบตัวนางอุ้มขึ้น แล้ววางลงบนเตียง ระดมจูบนางอย่างหนักหน่วง จนสุดท้ายเห็นว่าริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวบวมแดงแล้ว ถึงปล่อยนาง และหอบหายใจแรงนอนโอบอยู่ข้างกายนาง
สติของเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้กลับคืน สายตาพร่ามัวเล็กน้อย จึงยื่นมือไปเพื่อโอบเขากลับ
ผ่านไปครู่ใหญ่ลมหายใจของทั้งคู่ถึงนิ่งเป็นปกติ
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถามปนเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย “ฝ่าบาทส่งเจ้าไปว่าราชการครั้งนี้ เหตุใดถึงได้ออกไปนานขนาดนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักมือชั่วครู่ แล้วจึงโอบนางต่อ พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแต่เจียงหนานที่ไปครั้งนี้ มีระยะทางค่อนข้างไกล จึงทำให้ล่าช้าไปหลายวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ชัดเจนถึงกิริยาของเขา จึงเม้มปาก เงยหน้า และสบตาเขาตรงๆ “อี้เซวียน ข้ารู้ว่างานแต่งงานของพวกเรายังไม่อาจจัดขึ้นได้ ในใจเจ้าจึงรู้สึกกระวนกระวาย อยากจะทำความดีความชอบมากมายให้ฝ่าบาทได้เห็นเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่เจ้าอย่าลืมเสียล่ะว่า สิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุดนับแต่โบราณกาลก็คือจิตใจของฮ่องเต้ ถ้าหากเจ้ากลายเป็นมีดที่แหลมคมเล่มหนึ่งบนมือของเขาแล้ว เกรงว่าผลลัพธ์ของเรื่องจะกลับตาลปัตรได้ ซึ่งข้าไม่ยินยอม และไม่ต้องการให้เจ้ากลายเป็นเช่นนั้น”
ท่าทีของหวงฝู่อี้เซวียนหยุดนิ่ง จ้องมองนางกลับ นัยน์ตามีความดิ้นรนและความลังเลอยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวรุกเข้าไปประชิดที่หน้า แล้วจูบเขาที่ริมฝีปากเบาๆ พูดว่า “เจ้าต้องจำไว้ว่า ข้าไม่เพียงแต่ไม่ต้องการพรากจากเจ้า และยังอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้าไปอย่างยาวนาน แม้จะต้องรอคอยอีกแปดปีสิบปี แต่งานแต่งงานนี้ก็ยังไม่สามารถตกลงได้ ข้าก็ยังคงอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นเคย ดังนั้นความกังวลและความไม่สบายใจของเจ้าล้วนไม่จำเป็น”
นี่เท่ากับเป็นคำพูดที่สาบานต่อเขา ในใจหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกเริงร่า จึงจูบลงบนริมฝีปากของนางอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้อาบน้ำเสร็จ จัดระเบียบกายของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปเข้าไปในห้องของพระชายาฉี พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยู่ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย “พี่ใหญ่กับแม่นางเมิ่งล่ะ”
พระชายาฉีเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “พวกเขามีธุระ ก็เลยกลับเรือนของเซวียนเอ๋อร์ไปแล้ว” พูดจบ นางก็ทำท่าเรียกให้เขานั่งบนเก้าอี้นิ่มที่อยู่ด้านข้าง “เจ้ามาคุยเป็นเพื่อนแม่หน่อย เล่าให้แม่ฟังว่า หลายวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง”
พูดถึงเรื่องในโรงงาน หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่ม เล่าให้นางฟังอย่างไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เข้าไปในโรงงานจนถึงงานต่างๆ ที่ได้ทำทุกวันนี้
พระชายาฉีฟังไปยิ้มไปตลอด เห็นเขาเล่าอย่างยิ่งใหญ่และตื่นเต้น ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือฝืนใจที่จะฟังแม้แต่น้อย ในใจกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไร ก็ถือว่าเด็กคนนี้ได้เดินออกมาจากความทุกข์โศกที่พระชายารองเสียชีวิตแล้ว
หวงฝู่อวี้เห็นพระชายาฉีมองเขาอย่างยิ้มแย้มตลอด ก็ยิ่งเล่าอย่างคึกคะนอง จนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้อง ก็ยังได้ยินเสียงอันมีความสุขของเขานั้น “เสด็จแม่ขอรับ ท่านคงไม่ทราบ ตอนนี้ข้ามีความสุขมากในทุกๆ วัน รู้สึกว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตทุกวันอย่างเต็มที่”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนพูด “รอให้ตรุษจีนผ่านพ้นไปก่อน ข้าก็จะมอบงานด้านการค้าในจวนบางส่วนให้เจ้า จนกระทั่งเจ้าเริ่มเก่งขึ้นแล้ว ก็จะมอบหมายการค้าในจวนทั้งหมดให้เจ้ารับผิดชอบ”
หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น ร้องเรียกอย่างดีใจ “พี่ชายใหญ่ แม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกับพระชายาฉีว่า “พระชายาฉีเจ้าคะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าควรกลับไปแล้ว”
พระชายาฉีเห็นริมฝีปากของนางบวมแดง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ปรากฏชัดขึ้น และยื้อนางเอาไว้ “อยู่กินข้าวเย็นก่อนแล้วค่อยกลับเถิด เวลานั้นให้เซวียนเอ๋อร์ส่งเจ้ากลับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวปฏิเสธ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่ชายรองของข้ากำลังรอให้ข้ากลับไปรับประทานพร้อมกันอยู่เจ้าค่ะ”
พระชายาฉีก็ไม่ฝืนรั้งเอาไว้ และกำชับว่า “เดินทางปลอดภัยล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณลา หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง ส่งนางออกจากประตูจวน รอให้เห็นว่านางขี่ม้าไปไกลแล้วถึงจะไปห้องหนังสือของอ๋องฉี เพื่อสอบถามว่าพรุ่งนี้สี่คนนั้นจะไปขอโทษในเวลาใด
หวงฝู่อวี้เล่าเรื่องราวในโรงงานให้พระชายาฉีฟังต่อ
พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว อ๋องฉีก็ไปจัดการงานราชการที่ห้องหนังสือต่อ หวงฝู่อวี้ก็กลับเข้าเรือนของตัวเองไป หวงฝู่อี้เซวียนเตรียมจะกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย แต่พระชายาฉีเรียกเขาไว้ “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ามาที่ห้องของแม่ แม่มีเรื่องจะต้องพูดกับเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนตามนางเข้าไปในห้อง พระชายาฉีโบกมือไล่ให้บ่าวรับใช้ทุกคนออกจากห้องไป แล้วกดเสียงให้เบาลงพูดกับเขา “เซวียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าลูกรักใคร่ชอบพอกับโยวเอ๋อร์ พวกเจ้าก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นไฟแรง เมื่อก่อนแม่ตามใจพวกเจ้า เพราะแม่เห็นว่าหลังจากยกเลิกการแต่งงานของลูกกับคุณหนูหลินไป ก็จะรีบทำการตบแต่งกับโยวเอ๋อร์ เมื่อผ่านตรุษจีนไปแล้วก็จะเลือกวันมงคลให้พวกเจ้าแต่งงานกัน ซึ่งต่อให้มีสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมไปบ้าง แม่ก็จะทำเหมือนว่าไม่รู้ ทว่า ตอนนี้เสด็จย่ากับเสด็จลุงของเจ้าไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานของพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้ายังสนิทสนมกันเช่นนี้ต่อไป โยวเอ๋อร์เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา นางจะกลายเป็นตัวตลกของผู้คนในเมืองหลวง และไปที่ไหนก็จะถูกคนชี้ว่าเอาได้ ดังนั้นต่อไปพวกเจ้ายับยั้งชั่งใจหน่อยเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอย่างอึ้งๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้หัวเราะออกมา “เสด็จแม่ ท่านคิดไปถึงไหนแล้ว ข้ามีขอบเขตนะขอรับ ข้ากับโยวเอ๋อร์มิได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันถึงปานนั้น นางจะไม่มีเด็กในร่างกายอย่างแน่นอนขอรับ”
พระชายาฉีทั้งดีใจและเป็นกังวล “เซวียนเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริงหรือ”
“เรื่องอย่างนี้ ข้าจะหลอกเสด็จแม่ได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะขอรับ ตราบใดที่ยังไม่มีวันได้แต่งงาน ข้าก็จะไม่มีวันที่ทำให้โยวเอ๋อร์โดนผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้”
ที่แท้ตัวเองคิดมากไป พระชายาฉีจึงวางใจลง พยักหน้า “เจ้ารู้จักรักษาขอบเขตก็ดี โยวเอ๋อร์เป็นหญิงดีที่หาจับตัวได้ยาก แม่ไม่ปรารถนาให้นางต้องประสบกับความทุกข์ใจใดๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนรับปาก “วางใจเถิดขอรับ เสด็จแม่ เรื่องที่ท่านเป็นกังวลจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับถึงบ้าน เมิ่งฉีก็ได้กลับมาแล้ว พอเห็นริมฝีปากที่บวมเป่งของนาง ก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่กำลังอ้าปากออกเพื่อจะสั่งสอนนาง ก็หวนนึกถึงหวงฝู่อี้เซวียนที่ได้ยกเลิกงานแต่งไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ทั้งสองยังไม่ได้ตกลงว่าจะแต่งงานกัน ไม่ช้าก็เร็วการแต่งงานนี้ก็คงจะเกิดขึ้นได้ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บของนายทหารพวกนั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”
“โดยรวมไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “แต่ว่า ยังจำเป็นต้องได้รับการพักฟื้นที่ร้านยาเต๋อเหรินสักพัก”
เมิ่งฉีไม่เข้าใจ มองไปที่นางอย่างฉงนสงสัย เมิ่งเชี่ยนโยวบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มถึงเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้เหวิ่นซื่อทำ พร้อมกับผลลงโทษที่จัดการกับคุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คน
เมิ่งฉีฟังจบ ก็เข้าใจเจตนาของหวงฝู่อี้เซวียนทันที จึงยิ้มและพยักหน้า “ดี พวกเราก็ทำตามความคิดของอี้เซวียน หลอกเอาเงินจากพวกเขาหนักๆ จะได้ไม่ต้องมีคนมาหาเรื่องในภายหลังอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดเช่นนั้น พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม
เมิ่งฉีมองนาง แล้วแสร้งกระแอมออกมา และพูดอย่างไม่ใส่ใจ “วันหลังก็ระวังๆ หน่อย โชคดีที่ฟ้ามืดแล้ว นี่ถ้าเป็นตอนกลางวันแสกๆ แล้วคนอื่นมาเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ เจ้าจะออกไปพบคนอื่นอีกได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของเขาในทันที ใบหน้าแดงระเรื่อ รับคำด้วยเสียงเบาๆ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่ชายรอง” จากนั้นรีบกลับเข้าไปในเรือน
เมิ่งฉีมองเงาบนแผ่นหลังของนาง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกลับเรือนของตัวเองไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาในห้องของตัวเอง รีบคว้ากระจกมาส่องดู เห็นว่าริมฝีปากตัวเองบวมแดงอย่างไม่น่าดู ใบหน้าก็แดงผาวขึ้นอย่างอดไม่ได้ ชิงหลวนตามเข้ามา แล้วถามเบาๆ “นายหญิง ให้ข้าน้อยไปเอาก้อนน้ำแข็งมาให้ไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก ในเมื่อพี่ชายรองเห็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก รอให้ถึงพรุ่งนี้รอยบวมแดงนี่ก็จะหายไปเอง”
ชิงหลวนรับคำ และถอยออกไป
ช่วงรับประทานข้าวเย็น เมิ่งฉีสั่งคนให้ยกอาหารไปที่เรือนของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวรับประทานเสร็จแล้ว ก็พักผ่อนแต่หัวค่ำ
กลางคืนผ่านไปอย่างเงียบสงัด จนถึงเวลาลุกมาฝึกซ้อมตามปกติของวันถัดมา รอยบวมแดงบนริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็จางหายไป
เมิ่งฉีเห็นแล้ว ก็ถอนหายใจโล่งอก
รับประทานข้าวเช้าเสร็จไม่นาน หวงฝู่อวี้ก็ขี่ม้ามา บอกกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ซื่อจื่อให้ข้ามาบอกท่านว่าวันนี้เวลาปลายเช้า พวกคุณชายพวกนั้นจะมายอมรับผิดและขอโทษต่อท่าน ซื่อจื่อให้ท่านกับคุณชายเมิ่งไปที่โรงงานเร็วหน่อย เขาไม่มาที่นี่แล้ว จะตรงไปรอท่านที่โรงงานเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราออกไปที่โรงงานตอนนี้เลย”
หวงฝู่อวี้รับคำ หันหลังกลับไปเพื่อส่งคำพูดต่อ
เมิ่งฉี เมิ่งเชี่ยนโยวแยกย้ายกันนั่งรถม้ามายังโรงงาน โรงงานเปิดแล้ว คนงานก็ทยอยกันมาเข้างาน
เมื่อเห็นพวกเขาอยู่ ก็ทักทายพวกเขาอย่างนอบน้อมตามๆ กัน “นายท่าน” “นายท่าน” …
ทั้งสองคนพยักหน้ารับ ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้ก็แยกกันนั่งรถม้ามา หวงฝู่อวี้ทักทายทั้งสองคน แล้วเดินเข้าไปในโรงงาน
หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเมิ่งฉี “พี่ชายรอง”
เมิ่งฉีผงกศีรษะเบาๆ มองเขาอย่างละเอียด ขมวดคิ้วถาม “ไม่เจอกันหลายวัน เหตุใดรู้สึกว่าเจ้าซูบผอมลงไม่น้อย”
“หลายวันก่อนไปเจียงหนาน สภาพแวดล้อมไม่ค่อยสะดวกสบายสักเท่าไร และยังต้องเร่งเดินทางไป จนไม่มีเวลาให้หยุดพัก จึงอาจทำให้ผอมลงเล็กน้อย” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอธิบาย
เมิ่งฉีพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรอีก
ในเวลาช่วงกลางเช้า ฉู่เหวินเจี๋ยขี่ม้านำคนกลุ่มเล็กๆ มา เมื่อถึงหน้าประตูโรงงาน ก็ลงจากม้า
ทั้งสามคนทำความเคารพต่อเขา
บนถนนสองข้างทางมีผู้คนที่ออกมาหางานทำจำนวนไม่น้อยแล้ว พอเห็นฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏตัว ก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ จึงชะเง้อมองด้านนี้ตามๆ กัน
ผู้บัญชาการโต้วและเปาชิงเหอขานชื่อตรวจสอบทหารเรียบร้อย ก็พาทหารกลุ่มเล็กๆ ของตัวเองมา เมื่อทำความเคารพต่อฉู่เหวินเจี๋ยเสร็จ ก็ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้คนก็ยิ่งสงสัยขึ้น จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย แม้แต่คนที่ไม่ได้คิดจะออกมาหางานทำก็วิ่งออกมาดูเหตุการณ์ ไม่นานบนถนนด้านหน้าของโรงงานก็ล้อมด้วยผู้คนที่มามุงดูกันเต็มไปหมด
ผู้บัญชาการโต้วรีบส่งคนให้ไปยืนที่หน้าประตูโรงงาน ตั้งแนวกั้นเป็นแถว
อ๋องฉีออกว่าราชการเช้าเสร็จ ก็เร่งเดินทางมา ฝูงคนเห็นต่างก็ทำความเคารพ
ครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานั้น ก็มีรถม้ามาหลายคัน ทหารที่รับหน้าที่รักษาระเบียบก็กันทางพวกเขา รถม้าเหล่านั้นจึงหยุดลง และเหวินซื่อก็ลงมาจากรถม้า
พอเห็นว่าเป็นเขา ฉู่เหวินเจี๋ยก็ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนสั่งผู้บัญชาการโต้ว “นั่นคือเหล่านายทหารที่บาดเจ็บ เปิดทางให้พวกเขาเข้ามาได้”
ผู้บัญชาการโต้วยกมือขึ้น ทหารก็เปิดแถว รถม้าหลายคันก็เคลื่อนตัวมาหยุดลงที่ประตูโรงงาน นายทหารที่พันแผลราวกับว่าได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสพวกนั้นก็ค่อยๆ ลงมาจากรถม้า ทำความเคารพต่อฉู่เหวินเจี๋ยก่อน แล้วจึงทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี
ผู้คนที่มุงดูอยู่ที่เชื่อฟังคำร้องขอของเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อวาน ต่างหลบอยู่ในบ้านไม่ออกมา ได้ยินแต่เพียงเสียงที่ปะทะกันด้านนอก แต่กลับไม่รู้ว่าจะมีนายทหารมากมายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกโกรธแค้นขึ้น และลอบด่าทอคุณชายทั้งสี่และทหารจวนของพวกเขา ‘ไม่สมกับเป็นคนจริงๆ แม้แต่ทหารที่พิการ บาดเจ็บก็ยังทำได้ลงคอ’
ทุกคนมาถึงครบแล้ว และยืนรออยู่หน้าประตูโรงงานอย่างนิ่งๆ
เวลาเช้าได้ผ่านไป แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของพวกหลิวเหยี่ยน สีหน้าของอ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มถมึงทึง เมื่อผ่านไปอีกสิบห้านาที ก็ยังไม่มีคนปรากฏตัว อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยมองซึ่งกันและกัน ขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าและม้าของตัวเองไป ก็เห็นรถม้าไม่กี่คันกำลังเคลื่อนมาจากที่ไกลๆ
ทั้งคู่หยุดฝีเท้าลง
รถม้าถูกทหารรักษาระเบียบกั้นทางเอาไว้ ครั้งนี้ไม่มีคำสั่งของผู้ใด ผู้บัญชาการโต้วย่อมไม่ออกสั่งให้พวกเขาเปิดแถวด้วย
รถม้าหยุดลง ผ่านไปนานก็ไม่มีคนลงจากรถมา
อ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ยและหวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาอย่างดุดัน
ผู้คนบนถนนและหน้าประตูโรงงานต่างเงียบสนิท ไม่ใครส่งเสียงใดๆ ออกมา
ผ่านไปเป็นเวลานาน ราวกับรับบรรยากาศที่กดดันนี้ไม่ไหว ม่านของรถคันแรกจึงถูกเปิดออก ใบหน้าจอมปลอมนั่นของเจ้าพระยาหลิวก็เผยออกมา ทักทายคนที่อยู่ฝั่งโรงงานด้านนี้ “ท่านอ๋องฉี ท่านแม่ทัพฉู่ รบกวนท่านทั้งสองให้คนเปิดทางให้ด้วยขอรับ พวกเราต้องผ่านไป”
ทั้งสองคนไม่ขยับและไม่ได้รับคำ
เมื่อเห็นทั้งสองคนดูไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทาง สีหน้าของเจ้าพระยาหลิวก็เริ่มดูไม่ได้ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังอย่างไม่พอใจ “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกข้ามาเพื่อจะขอโทษอย่างจริงใจ พวกท่านกลับกันรถม้าของพวกข้าอยู่ด้านนอก นี่มันเกินไปแล้วนะขอรับ”
อ๋องฉีกร่นเสียง ‘เฮอะ’ เล็กน้อย ถามด้วยเสียงดังในระดับที่คนทุกคนล้วนได้ยิน “ท่านเจ้าพระยาหลิว ไม่ทราบว่าท่านจำได้หรือไม่ว่าพวกเรานัดหมายกันเวลาใด”
เจ้าพระยาหลิวกรอกตามองบนฟ้า ตอบอย่างปกติ “ก็เวลาปลายเช้าอย่างไรขอรับ ข้าออกจากจวนก็ได้คำนวณเวลาเรียบร้อยแล้วว่าจะถึงที่นี่อย่างตรงเวลาแน่นอน ใครจะรู้ว่ารถม้าจะเกิดเหตุขึ้นบนถนนเล็กน้อย จึงทำให้เวลาล่าช้าลง”