ถึงแม้ผู้คนต่างรู้ว่าเขาพูดคำเท็จ แต่ก็ไม่มีใครเอาผิดเขาได้ โหวหลิวจึงยิ่งรู้สึกได้ใจ

อ๋องฉีกลับสำรวมสีหน้าที่เคร่งขรึม และเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ทราบว่ารถม้าของโหวหลิวประสบกับเหตุอันใดหรือ”

โหวหลิวคิดไม่ถึงว่าอ๋องฉีจะถามคำถามนี้ จึงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วรีบตอบกลับ “เรื่องของพวกชั้นต่ำเช่นนี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

อ๋องฉีพูด “อ้อ” แล้วถามด้วยเสียงเหน็บแนมว่า “ท่านโหวหลิวช่างใจกว้างจริงๆ คนรถของจวนทำหน้าที่ของตัวเองไม่ดี ทำให้ธุระอันใหญ่หลวงของท่านเป็นต้องล่าช้า ท่านโหวหลิวก็ยังเก็บเขาไว้ ถ้าใครได้ยินเรื่องนี้เข้า เกรงว่าไม่มีคนใดในเมืองหลวงไม่เอ่ยปากชื่นชม” คำพูดที่ลอบเสียดสีเป็นนัยเช่นนั้น ทำให้ใบหน้าชราของโหวหลิวค่อยๆ แดงไปทั้งหน้า และอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

คาดไม่ถึงว่ายังไม่จบเพียงแค่นี้ อ๋องฉีเอ่ยปากขึ้นอีก “ในเมื่อรถม้าของท่านโหวหลิวเสีย จึงมาได้ไม่ทันเวลา ข้าและท่านแม่ทัพใหญ่ก็คงกล่าวโทษอันใดไม่ได้”

สีหน้าของโหวหลิวผ่อนคลายลง

อ๋องฉีพูดกับฉู่เหวิ่นเจี๋ยต่อโดยทันที “ท่านแม่ทัพใหญ่ คนของท่านคุ้นเคยกับรถม้าดี ช่วยสั่งให้คนของท่านไปตรวจสอบให้ท่านโหวหลิวสักหน่อย ตอนที่กลับไปจะได้ไม่ประสบอุบัติเหตุอีก”

เมื่อเขาพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็เข้าใจความหมายของเขาทันที จึงสั่งนายทหารที่พามาด้วย “พวกเจ้าแต่ละคนไปดูเสียหน่อยและต้องซ่อมแซมรถม้าของท่านโหวหลิวให้ดีด้วย หากรถม้าของท่านโหวหลิวยังประสบเหตุอันใดอีก กลับไปจะต้องโดนโทษโบยด้วยตะบองทหารสิบที”

นายทหารต่างรับคำอย่างเคารพ เดินมุ่งไปยังรถม้าของโหวหลิว

พวกโหวหลิวตั้งใจมาช้า จุดประสงค์ก็เพื่อให้อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยดูน่าสมเพช รถม้าย่อมไม่ได้เกิดเหตุอะไรอยู่แล้ว พอเห็นนายทหารหลายนายมุ่งมาที่รถม้าของตัวเอง ก็รีบพูดกับอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋องฉีและท่านแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างมากขอรับ รถม้าของข้าได้ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องลำบากถึงมือนายทหารเหล่านี้หรอกขอรับ”

ใบหน้าของอ๋องฉียังคงปรากฏรอยยิ้ม และฉู่เหวินเจี๋ยยังคงทำหน้าถมึงทึง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าไม่ได้ยินที่เขาพูด

เมื่อไม่มีคำสั่งของฉู่เหวิ่นเจี๋ย เหล่าทหารย่อมไม่ได้หยุด เดินมาที่ข้างรถ เอนกาย และย่อตัวลง เริ่มตรวจสอบรถม้าอย่างละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่ไม่พบปัญหาอะไร นายทหารคนหนึ่งกำมือคำนับขึ้นขออนุญาต “ท่านโหว รอบนอกของรถม้าพวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบความผิดปกติอันใดขอรับ จึงขอกรุณาให้ท่านลงจากรถม้า พวกเราต้องคว่ำรถเพื่อตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง”

โหวหลิวโบกมือปัด “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้ากลับไปเถิด”

นายทหารกำมือที่คำนับไม่ขยับ “ท่านโหว นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ หากพวกเรากล้าไม่เชื่อฟัง กลับไปต้องโดนโบยด้วยตะบองทหารเป็นแน่ ขอโปรดท่านโหวอย่าได้ทำให้พวกเราลำบากเลยขอรับ”

“เจ้า…” สถานการณ์ของโหวหลิวในตอนนี้คือยิ่งดื้อรั้นต่อไป ยิ่งลำบาก ทว่า ห่างจากประตูโรงงานยังต้องไปอีกระยะหนึ่ง หากลงไปตอนนี้ ดูทรงแล้วพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว แต่ถ้าหากยังยืนกรานไม่ลงจากรถ ดูจากคำพูดที่มีความสมเหตุสมผลยิ่งของนายทหารพวกนี้ พวกเขาจะต้องใช้วิธีการเด็ดขาดเป็นแน่ ถึงเวลานั้นเกรงว่าตัวเองจะยิ่งดูน่าสมเพช

ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ หลิวเหยี่ยนก็ทนต่อไปไม่ไหว ยื่นศีรษะออกมาจากรถม้า ตวาดใส่นายทหารพวกนั้น “จะมาวุ่นวายอะไรอีก ไสหัวออกไป อย่ามาขวางทางพวกข้า”

สีหน้าของทหารเคร่งขรึมขึ้น พูดว่า “ท่านโหวหลิวยืนกรานไม่ลงจากรถม้า เช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอล่วงเกินนะขอรับ” พูดจบก็สั่งคนอื่น “ลงมือได้”

โหวหลิวกับหลิวเหยี่ยนยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร รถม้าก็สั่นไหวโคลงไปเคลงมา

คนรถตกใจรีบกระโดดลงจากรถม้า สีหน้าของโหวหลิวและหลิวเหยี่ยนขาวซีดโดยพลัน โหวหลิวร้องตะโกนเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้!”

ไม่มีใครฟังคำพูดของเขา รถม้ากลับยิ่งสะเทือนรุนแรงขึ้นอีก

โหวหลิวและหลิวเหยี่ยนเกาะห้องบนรถม้าอย่างแน่น จึงไม่ถูกเหวี่ยงออกไป

โหวหลิวอดทนต่อไปไม่ไหว ตะโกนด้วยเสียงอันดังปนเสียงที่ไหวสั่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ รีบสั่งลูกน้องของท่านหยุดซะ แล้วข้าจะลงจากรถม้าเดี๋ยวนี้”

ฉู่เหวินเจี๋ยเปิดปากขึ้น “หยุด!”

นายทหารหยุดมือของพวกเขา

โหวหลิวและหลิวเหยี่ยนไม่ลังเลอีกต่อไป และลงจากรถม้าอย่างไม่รอช้า หกคนที่อยู่ด้านหลังเห็น ก็ลงมาจากรถม้าตามๆ กัน แล้วเดินมาตรงหน้าของโหวหลิว พอเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของเขา จะเอ่ยปากพูดแต่ก็หยุดเอาไว้

โหวหลิวสูดลมหายใจเข้าหลายครั้ง จนหายใจได้สงบขึ้น แล้วเดินขาสั่นระริกอย่างควบคุมอย่างไม่ได้ นำทุกคนมายังหน้าประตูโรงงาน

เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นจากด้านหลัง พวกเขาหันศีรษะกลับไปด้วยความตกใจกลัว เห็นพวกทหารถอดรถม้าคว่ำอยู่บนพื้น ก้มตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน

แต่ละคนหันศีรษะกลับมา มองหน้ากันและกัน บนหน้าผากล้วนมีเหงื่อไหลซึมออกมา และไม่กล้าคิดตุกติกอะไรอีก เดินมาถึงหน้าโรงงานอย่างช้าๆ

อ๋องฉียังคงมองพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับมองไม่เห็นเบื้องลึกของนัยน์ตา

บรรดาโหวปั๋วมองดูท่าทีของอ๋องฉี ในใจก็รู้สึกหนาวสั่นพร้อมกันๆ ในชั่วขณะนั้น ก็นึกถึงอ๋องฉีตอนที่เป็นผู้ออกหน้านำทัพทหารบุกเข้าไปยังพระราชวัง และช่วยเหลือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันให้รอดพ้นจากเงื้อมมือจากแผนปฏิวัติขององค์ชายห้าได้ หลังจากศึกสงครามครั้งนั้น ก็ค่อยๆ สำรวมท่าทีลง ทุกวันก็มักจะมีแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มกับผู้อื่น จนนานวันเข้า ทุกคนก็ลืมอ๋องฉีที่เด็ดขาดเลือดเย็นผู้นั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดดูถูกเขาในใจ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของแต่ละคนก็ไหลพรูออกมา แล้วมีท่าทีที่นอบน้อมขึ้นอย่างมากโดยพลัน ประสานมือคำนับและพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพ บุตรของข้าน้อยได้กระทำผิดอย่างมหันต์ วันนี้ ข้าพาเขามาขอโทษด้วยตัวเอง ขอท่านอ๋องและท่านแม่ทัพใหญ่โปรดให้อภัยที่พวกเขาได้กระทำผิดไปด้วยขอรับ”

อ๋องฉียังคงยิ้มให้และพูดว่า “ผิดแล้วท่านโหว คนที่พวกเขาควรจะขอโทษไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้”

สีหน้าของโหวหลิวแดงขึ้น แล้วตวาดหลิวเหยี่ยน “ยังไม่เข้าไปขอโทษต่อแม่นางเมิ่งอีก”

ภายใต้ความกดดันนั้น ใบหน้าหลิวเหยี่ยนยังคงแสดงความเหยียดหยาม แต่ทำเป็นเออออพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวไปอย่างนั้น “ขอโทษ!”

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบรับ

อ๋องฉีหุบยิ้มลง น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจแล้ว “ดูเหมือนว่าคุณชายน้อยจะไม่ยินยอม ถ้าเช่นนี้ ทุกท่านก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษแล้ว และตามข้าไปเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทเถิด”

การขอโทษและการปรับโทษเงินล้วนเป็นสนองของฝ่าบาท ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม ก็คือเป็นการขัดขืนต่อพระองค์ ผลลัพธ์ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลย โหวหลิวมือไม้ลนลานเล็กน้อย พูดอย่างกระวีกระวาด “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้วขอรับ บุตรของข้าน้อยมิได้ไม่ยินยอม” พูดจบก็ตำหนิหลิวเหยี่ยนด้วยน้ำเสียงที่โหดเ**้ยม “ขอโทษแม่นางเมิ่งอีกครั้ง”

เมื่อวานที่กลับไปหลิวเหยี่ยนก็ถูกโหวหลิวสั่งสอนอย่างหนัก จนเกือบจะโดนกฎบ้าน ตอนนี้ได้ยินเสียงตวาดสั่งของโหวหลิว ร่างกายก็สั่นเทา แล้วรีบทำท่าทางเรียบร้อย พูดกับแม่นางเมิ่งใหม่อีกครั้ง “แม่นางเมิ่ง ขออภัยด้วย!”

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “คุณชายหลิวมีความจริงใจเช่นนี้ ข้าก็รับคำขอโทษนี้ไว้ หวังว่าต่อไปคุณชายจะไม่มาก่อความวุ่นวายที่โรงงานอีก มิเช่นนั้น ต่อไปจะไม่ใช่การขอโทษที่ง่ายๆ แบบนี้แล้ว”

เมื่อถูกสาวใช้บ้านนอกข่มขู่ ในใจของหลิวเหยี่ยนก็เดือดดาลเป็นไฟ จนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากถามทันควัน “คุณชายหลิว มีความเห็นอะไรต่อคำพูดของโยวเอ๋อร์หรือ”

หวงฝู่อี้เซวียนเป็นซื่อจื่อ แต่ตัวเองเป็นแค่คุณชายธรรมดา สถานะที่ค้ำหัวตัวเองไว้เช่นนี้ อีกทั้งเห็นท่าทางของพ่อตัวเองแล้ว วันนี้ก็ได้แต่ก้มหัวขอโทษให้จบไปจริงๆ แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมอย่างมาก หลิวเหยี่ยนก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ จึงพูดโดยบีบเค้นคำออกจากร่องฟัน “ไม่มี”

หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อย “ไม่มีแหละดีที่สุด โยวเอ๋อร์เป็นหญิงในดวงใจของข้า โรงงานที่นางเปิดก็เท่ากับข้าเปิด หวังว่าต่อไปมีอะไรคุณชายหลิวก็ช่วยดูแลกันหน่อย”

ชัดเจนว่านี่เป็นการพูดโดยไว้หน้าเขาแล้ว สีหน้าของหลิวเหยี่ยนอ่อนลงเล็กน้อย พูดว่า “ซื่อจื่อพูดเกินไปแล้ว เมื่อวานเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงได้ทำผิดต่อแม่นางเมิ่ง ต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

หลิวเหยี่ยนก็ได้ขอโทษแล้ว สามคนที่เหลือก็ไม่กล้าคิดจะหาเรื่องอะไรอีก จึงขอโทษต่อแม่นางเมิ่งอย่างตรงไปตรงมา

ท่ามกลางคนมุงดูมากมายขนาดนี้ คุณชายจวนโหวและปั๋วผู้ทรงสง่ากลับต้องมาขอโทษต่อเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง สีหน้าของโหวปั๋วทั้งสี่ดูไม่ค่อยดีเท่าไร แต่นี่เป็นพระราชโองการ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ทำตาม รอให้แต่ละคนพูดขอโทษเสร็จสิ้น ก็รีบนำตั๋วแลกเงินส่งให้อ๋องฉีอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วแลกเงินจำนวนสองหมื่นตำลึง ท่านลองตรวจสอบดู”

อ๋องฉีไม่รับ สายตามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว

โหวปั๋วทั้งสี่เข้าใจความหมายของสายตานั่น ก็จนปัญญา ทำได้เพียงยื่นตั๋วแลกเงินให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เมื่อวานบุตรของข้ากระทำไม่ถูกต้อง ตั๋วแลกเงินนี้ถือเป็นค่าชดเชยความเสียหายของโรงงานกับค่ายารักษานายทหารทุกท่าน”

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาโดยไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง ถึงจะใส่เข้าไปในแขนเสื้อ

ขอโทษก็แล้ว เงินก็ชดเชยแล้ว ทั้งแปดคนก็ย่อมไม่ยอมที่จะเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นอีก จึงรีบขอโทษอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ย แล้วหันตัวเดินกลับไปยังรถม้าของตัวเอง

ช่วงเวลาที่ผ่านไปนี้ นายทหารหลายคนก็ทำการตรวจสอบรถม้าของโหวหลิวเสร็จแล้ว พร้อมประกอบรถม้าใหม่ให้แก่เขา พอเห็นโหวหลิวมา นายทหารที่เอ่ยปากเมื่อครู่ก็พูดขึ้น “ท่านโหว พวกข้าตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รถม้ามิได้มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย เชิญท่านใช้อย่างสบายใจได้เลยขอรับ”

คำพูดนี้เป็นการพูดตบหน้าโหวหลิวที่พูดโกหกได้ก้องกังวานอย่างไม่ต้องสงสัย สีหน้าของโหวหลิวแดงซ่านโดยพลัน จะรับคำก็ไม่ใช่ จะไม่รับคำก็ไม่ใช่ พาลสั่งคนรถอย่างโมโห “ไอ้บ่าวเฮงซวย กล้าพูดโป้ปดมดเท็จเชียวหรือ ดูสิว่าหลังจากกลับจวนไปข้าจะจัดการลงโทษเจ้าอย่างไร”

คนรถถูกใส่ร้ายโดยไร้สาเหตุ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วง ได้แต่รับคำอย่างนอบน้อม

โหวหลิวสะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห ขึ้นรถม้าไป คนรถก็ไม่กล้ายื้ดเยื้อเชื่องช้า บังคับหัวรถม้ากลับ ง้างแซ่และตีม้าอย่างรุนแรงโดยทันที ม้ารู้สึกเจ็บหนัก รีบสะบัดเท้าวิ่งอย่างรวดเร็ว

จนรถม้าทั้งสี่คนไปไกลแล้ว ผู้คนที่มุงดูถึงจะกล้าส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์