ตอนที่ 132-1 การเผชิญหน้า

ลำนำสตรียอดเซียน

เมื่อค่วงจู๋เห็นว่าเจตนาฆ่าของพวกเขานั้นแรงกล้าขนาดไหน จึงถอยกลับอย่างง่ายดาย และไปยืนควบคู่กับจ้านไป๋ด้านหน้าเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยเพื่อปกป้องพวกเขา อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาเคลื่อนที่ไวดั่งแสงพาผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนหายวับไปกับเขาและพาไปยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า 

 

 

เมื่อเห็นดังนั้น เยี่ยจิ่งเหวินและโม่เทียนเกอยิ้มกว้างขึ้นอีก ด้วยการพาเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ย ศิษย์พี่ค่วงจู๋ได้ทำให้พวกนางคลายกังวลและให้อิสระในการต่อสู้ของพวกนาง อีกอย่าง เขาก็ได้ขัดขวางทางออกของคู่ต่อสู้ไปด้วย พวกนางไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว 

 

 

ในทางตรงกันข้าม ปฏิกิริยาของผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเริ่มไม่น่าดูยิ่งขึ้นไปอีก 

 

 

ถึงอย่างไรก็ตามในทั้งหมดนี้ ค่วงจู๋ยังคิดว่าเขาไม่ได้ทำลายกำลังใจของคู่ต่อสู้มากนักจึงพูดอีกประโยคหนึ่ง “ในเมื่อการส่งพวกเขาให้ไปตามทางต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว พวกเจ้าก็จัดการให้เร็วขึ้นหน่อยแล้วกัน” คำพูดของเขาควรจะเต็มไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่า แต่เขากลับพูดอย่างไร้กังวลด้วยท่าทางนุ่มนวล 

 

 

ก่อนที่เขาจะลงมือ ผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักกู่เจี้ยนผู้ซึ่งไม่สามารถสงบจิตใจของตัวเองได้อีกต่อไป ร้องโวยวายออกมา “อย่าให้มันมากนัก!” ด้วยดวงตาที่แดงก่ำในขณะที่พุ่งเข้าหาค่วงจู๋ 

 

 

เมื่อผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังรีบพุ่งเข้าไป วั่นหงอันตะโกน “วางม่านพลัง!” อย่างไรก็ตามเสียงตะโกนของเขานั้นช้าไปก้าวเดียว 

 

 

ผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายแห่งการสร้างฐานแห่งพลัง ผู้ฝึกตนคนนั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตอนนี้ที่ลำแสงของกระบี่ [1] ซึ่งดูแข็งแกร่งกำลังจะถึงตัวค่วงจู๋ ค่วงจู๋เพียงแค่แกว่งแขนเสื้อของเขา ปล่อยวัตถุที่คล้ายผงแป้งให้ปกคลุมมันโดยรอบและหยุดมัน 

 

 

ความจริงที่หมอกบางเบาสีขาวของเขานั้นสามารถสกัดกั้นกระบี่บินได้ราวกับมันเป็นของแข็งนั้นมากเกินพอที่จะทำให้ผู้คนประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม หมอกขาวนั้นยังสามารถพันรอบตัวผู้ฝึกตนสายกระบี่คนนั้นและจิตสัมผัสของเขาราวกับว่ามันคือขดเถาวัลย์และรัดมันเข้าไว้ด้วยกัน! แม้กระทั่งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวิน ที่นอกเหนือไปจากกลุ่มผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนยังต้องประหลาดใจ 

 

 

โดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะที่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินกำลังตกใจในสิ่งที่เห็น ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเกือบที่จะวางม่านพลังกระบี่ได้สำเร็จ 

 

 

พวกนางได้ยินค่วงจู๋พูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลสงบนิ่ง “ข้าจะช่วยพวกเจ้าวางม่านพลังเอง” 

 

 

ก่อนที่จะสิ้นเสียงของเขา ผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังคนนั้นตกลงไปในม่านพลังกระบี่ที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในระยะเวลาที่รวดเร็วมากจนน่าตกใจเหมือนกับเขาเป็นว่าวที่ชำรุด มีหมอกขาวก้อนบางๆ เกาะติดอยู่ด้านหลังเขาด้วยเช่นกัน 

 

 

เมื่อเห็นว่าสหายผู้ฝึกตนล้มลงในม่านพลัง หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังสำนักกู่เจี้ยนจึงยื่นมือออกไปช่วยเหลือโดยสัญชาตญาณ เขาดึงตัวสหายขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องพยายามมากนักแต่ไม่ทันมีใครสังเกตถึงหมอกขาวที่ติดตัวผู้ฝึกตนคนนั้น 

 

 

การเคลื่อนไหวของค่วงจู๋นั้นทำให้โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินหลุดจากสภาวะที่กำลังไม่มีสมาธิ โม่เทียนเกอรีบควบคุมกระสวยอัปสราให้พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังผู้ซึ่งยืนอยู่ ณ จุดแกนกลางของม่านพลังกระบี่ ผู้ฝึกตนคนนั้นไม่กล้าที่จะต่อกรกับการโจมตีนี้อย่างจัง ดังนั้นเขาจึงต้องหนีออกจากจุดที่ยืนอย่างไม่มีทางเลือก ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้ โม่เทียนเกอทำให้เขาบาดเจ็บด้วยเข็มบินได้ที่นางโยนออกไปอย่างลับๆ 

 

 

วั่นหงอันกัดฟันแน่นด้วยความเดือดดาลในสถานการณ์ที่พลิกผัน ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถวางม่านพลังได้ พวกเขาทำได้เพียงเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทีละคนเท่านั้น เขามองว่าในเมื่อพวกนั้นเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมด ผู้ฝึกตนหญิงน่าจะต่อกรได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเขาใช้ทั้งนิ้วชี้แล้วนิ้วกลางของเขาลูบไปบนใบมีดกระบี่ เมื่อเลือดสีแดงเข้มข้นซึมเข้าไปในกระบี่ของเขา วั่นหงอันย้ายกระบี่ของเขาจากมือขวาไปยังมือซ้ายที่บาดเจ็บอยู่ หลังจากนั้นไม่นานพลังกระบี่ของเขาได้เปลี่ยนเป็นใบมีดเลือดบินได้สีแดงเข้มหลายเล่มซึ่งพุ่งตรงเข้าหาโม่เทียนเกอเพื่อกระหน่ำแทงนางในทันที 

 

 

“ศิษย์พี่วั่น นี่ท่าน…?” ผู้ฝึกตนขั้นต้นของการสร้างฐานแห่งพลังที่อายุน้อยที่สุดจากสำนักกู่เจี้ยนตกใจ 

 

 

โม่เทียนเกอคอยระมัดระวังในใบมีดเลือดเหล่านี้ที่ไม่คุ้นเคย ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวที่ลอยอยู่ด้านบนสร้างกำแพงอิฐด้านหน้าของนางอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเมื่อใบมีดเลือดเหล่านั้นกำลังจะสัมผัสกำแพงอิฐ มันก็พุ่งอ้อมและยังคงมุ่งตรงไปทางโม่เทียนเกอ 

 

 

นางรีบถอยกลับและเพิ่มพลังวิญญาณป้องกันตัวเองให้แข็งแรงขึ้นไปด้วย แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ทุกคนประหลาดใจ พลังป้องกันร่างกายของนางเพียงแค่ช่วยทำให้ใบมีดเลือดเหล่านั้นช้าลงเพียงเล็กน้อย ใบมีดเลือดสองเล่มสามารถหลบเลี่ยงได้ “ฉึก ฉึก” เสียงแห่งความสำเร็จดังขึ้นเมื่อใบมีดสองใบแทงเข้าถูกโม่เทียนเกอบริเวณหัวไหล่ซ้ายและขาช่วงล่าง 

 

 

เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาสำเร็จผล วั่นหงอันยิ้มอย่างชั่วร้าย “เซียวก่ายจือ ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอด เจ้าต้องยอมเสี่ยงชีวิตของเจ้าก่อน เจ้าอยากจะหนีออกไปอย่างมีชีวิตรอดหรือไม่” 

 

 

เมื่อได้ยินในสิ่งที่วั่นหงอันพูด ชายหนุ่มผู้ฝึกตนที่มีชื่อว่าเซียวก่ายจือจึงทำตามวั่นหงอัน เขาปาดนิ้วและทาเลือดตัวเองลงไปที่กระบี่ 

 

 

อีกทางด้านหนึ่งเมื่อผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนสามคนที่กำลังต่อสู้กับเยี่ยจิ่งเหวินเห็นดังนั้นจึงปฏิบัติตามเช่นกัน 

 

 

พริบตาเดียวใบมีดเลือดบินได้หลายเล่มก็ปรากฏขึ้นและร่อนไปทั่วทั้งบริเวณ เยี่ยจิ่งเหวินและโม่เทียนเกอรู้สึกพ่ายแพ้ต่อสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมได้เช่นนี้ ในระหว่างนั้นเหล่าผู้ฝึกตนห้าคนแห่งสำนักกู่เจี้ยนต่างพึ่งพาให้ใบมีดกระบี่เลือดของตนเองเปิดทางเพื่อทำการวางม่านพลังอีกครั้ง 

 

 

ค่วงจู๋ผู้ซึ่งยังไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดใดยิ้มเยาะออกมา ภายในชุดคลุมของเขา เขาหยิบขวดยาวิเศษที่เขาเสียเวลาทำอยู่ในขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มต่อสู้กัน เขาเทยาเม็ดสีเขียวจำนวนหนึ่งลงบนฝ่ามือของเขาและโยนออกไปด้านหน้า 

 

 

กลุ่มคนจากสำนักกู่เจี้ยนรีบกระโดดหลบ แต่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินผู้ซึ่งกำลังอยู่ภายใต้การโจมตีโชคไม่ดีนัก สายเกินไปที่ทั้งสองคนจะหลบหลีกดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนหยัดต่อการโจมตีนี้เท่านั้น 

 

 

โดยไม่คาดคิด ทันทีที่ยาเหล่านั้นสัมผัสเข้ากับพลังป้องกันร่างกายของพวกเขามันก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหมอกขาว ลอยตามกลิ่นเลือดของบาดแผลที่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินได้รับจากการต่อสู้และซึมผ่านเข้าไปในบาดแผลเหล่านั้น 

 

 

ทั้งสองคนตกใจกับความเย็นที่เข้าสู่ร่างกายทันที เมื่อพวกเขามองดูบาดแผลใกล้ๆ พวกเขาก็พบว่าบาดแผลเหล่านั้นเริ่มสมานรักษาตัวเองด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 

 

 

ค่วงจู๋ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ทุกคนเห็นหมอกสีเขียวโผล่ขึ้นมาบริเวณตรงกลางของการต่อสู้ ส่งผลให้ใบมีดกระบี่เลือดหายไปในทันใด ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนกำลังมองบาดแผลที่นิ้วที่กำลังถูกรักษาด้วยความประหลาดใจ แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขากลับลดลง 

 

 

โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินไม่รู้ว่าควรที่จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบว่าศาสตร์แห่งการรักษาสามารถนำมาโจมตีได้ 

 

 

รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสง่างามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของศิษย์พี่ค่วงจู๋ “ข้าคิดว่าวันนี้ข้ายกระดับความสามารถของตัวเองขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว” 

 

 

วั่นหงอันยังคงมีรอยยิ้มที่ผูกพยาบาทเช่นเดิม “มันถึงเวลาที่เลือดจะต้องหยุดไหลอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ขอบคุณเจ้าหรอก” 

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปบริเวณหน้าอกตัวเอง กระอักออกมาเป็นเลือดตรงกลางของห้องโถง ทันใดนั้นรอยบากต่างๆ บนพื้นที่เกิดขึ้นจากใบมีดเลือดเริ่มที่จะกระดิกตัวไปมาเหมือนมีชีวิต วั่นหงอันหัวเราะออกมาเหมือนกับคนสิ้นสติ “ในเมื่อไม่สามารถวางม่านพลังดาวพันร่างได้ มันก็คงไม่แย่ที่จะให้พวกเจ้าได้สัมผัสถึงม่านพลังอสูรพันร่างของสำนักกู่เจี้ยน ฮ่าๆๆ!” 

 

 

หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังแห่งสำนักกู่เจี้ยนท่าทางเปลี่ยนไปในทันที “วั่นหงอัน นี่เจ้าบ้าไปแล้ว! นี่เจ้ากล้าเรียนม่านพลังต้องห้ามของสำนักและยังกล้าพาพวกข้าเข้าไปข้องเกี่ยวในแผนการของเจ้าอีกรึ!” 

 

 

ใบมีดเลือดบนพื้นไม่สามารถสร้างโดยวั่นหงอันเพียงคนเดียวได้ ในการที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ของเขา ไม่เพียงแต่เขาต้องเสียสละตัวเองซึ่งไม่ได้มีทางออกอยู่แล้ว แต่เขากลับทำให้สหายศิษย์ต้องกลายเป็นเลือดสื่อกลางสำหรับม่านพลังอสูรพันร่างด้วย 

 

 

มองคราบเลือดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในห้องโถง วั่นหงอันหัวเราะจนเกือบไร้เรี่ยวแรง “ในเมื่อข้าจะต้องตายอยู่ดี พวกเจ้าก็ควรที่จะต้องตามข้าลงไปในนรกด้วย! ฮ่าๆๆ!” 

 

 

ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่โม่เทียนเกอจะทันเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น นางได้ยินเสียงชัดเจนของค่วงจู๋จากทางประตู “เสี่ยวไป๋ ม่านพลังป้องกัน” 

 

 

ภายในเสี้ยววินาที คราบเลือดที่อยู่ภายใต้วั่นหงอันเริ่มก่อรูปร่างเป็นวงกลมโดยมีเขาอยู่ตรงกลาง จากตรงกลางของวงกลมนั้น ตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเลือดนับไม่ถ้วนที่มีกลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นและมืดมนแพร่กระจายออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว 

 

 

ค่วงจู๋ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นรีบทำท่าเหมือนกำลังผลักออกไปด้านหน้าด้วยมือทั้งสอง หมอกสีขาวกระจายด้วยความเร็วแสงจากจุดที่เขานั่งอยู่ไปยังโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวิน ทันเวลาพอดีกับการหยุดไม่ให้ตัวอักษรเลือดเหล่านั้นแผ่เข้าหาทั้งสองคน 

 

 

เมื่อผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเห็นหมอกขาว มันเหมือนกับมีผู้ช่วยชีวิตเข้ามาหาและพวกเขาอยากที่จะพุ่งไป อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปถึง ร่างกายของพวกเขาก็ถูกดูดกลืนไปด้วยกระแสตัวอักษรเลือดที่แผ่ขยายออกไปและทำให้ติดตรึงอยู่กับพื้นดิน 

 

 

โม่เทียนเกอตกตะลึงกับภาพที่เห็น ในขณะที่สีหน้าของผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเริ่มขาดสี ตัวอักษรเลือดเหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงมากขึ้น มันกระจายไปทั่วกำแพงของห้องโถงเช่นเดียวกับพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกขาวของค่วงจู๋ 

 

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น หน้าผากของค่วงจู๋ผู้ซึ่งกำลังควบคุมหมอกขาวเพื่อต่อต้านตัวอักษรเลือดเหล่านั้นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินมองหน้ากัน พวกเขาเข้าใจได้ว่าวั่นหงอันคือกุญแจหลัก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงควบคุมเครื่องมือเวทพร้อมที่จะฆ่าวางฮงอันผู้ซึ่งหัวเราะจนเสียงแหบแห้ง อย่างไรก็ตาม พวกนางได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวไป๋ “อย่าทำเช่นนั้น!” 

 

 

โม่เทียนเกอมองไปที่เขา สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย ภายในม่านพลังป้องกัน เสี่ยวกู่จื่อโผล่หัวออกมาจากด้านหลังของศิษย์พี่ไป๋และพูดว่า “ม่านพลังอสูรพันร่างนี้จะถูกควบคุมได้ด้วยสิ่งของที่ไร้รูปร่างอย่างเช่นของศิษย์พี่เท่านั้น ถ้าม่านพลังนี้สัมผัสกับวัตถุที่มีรูปร่าง มันจะใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง…” เสี่ยวกู่จื่อหยุดในขณะที่พยายามหาคำพูดเพื่ออธิบาย สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่ชี้นิ้วไปทางผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนที่ถูกวั่นหงอันเลือกให้เป็นสื่อกลางของเลือด “วัตถุที่มีรูปร่างจะกลายเป็นเช่นนั้น” 

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินอธิบาย “วงแหวนเลือดที่อยู่ใต้เขาดูเหมือนจะอยู่บนพื้น แต่ถ้ามีใครบางคนโจมตีมัน มันก็จะพุ่งขึ้นมาจากพื้น รวมกันเป็นแนวรอบเขาเพื่อสกัดกั้นการโจมตี ในขณะเดียวกันมันก็จะเปลี่ยนผู้ที่โจมตีให้กลายเป็นสื่อกลางไปด้วย” 

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินพูดต่อ “ม่านพลังอสูรพันร่างเป็นม่านพลังหลอมรวมเลือดที่ร้ายแรง ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่ได้รับความสนใจในชั่วข้ามคืนในการจลาจลของสัตว์ปีศาจเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่างไรก็ตาม เพราะพลังทำลายล้างของมันยิ่งใหญ่เกินไปและเพราะเจ้าของม่านพลังหลอมรวมเลือดจะสามารถกลายเป็นปีศาจได้ง่าย ดังนั้นมันถึงถูกจัดให้เป็นม่านพลังต้องห้ามโดยสำนักกู่เจี้ยน แต่เทียนเกอเจ้าไม่ได้เติบโตในย่านคุณอู๋ตะวันตก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ที่เจ้าไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับมัน” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ลำแสงของกระบี่: แสงที่เกิดขึ้นบริเวณปลายกระบี่ สร้างขึ้นจากพลังภายในร่างกายของผู้ถือกระบี่ Cr: Baidu