ตอนที่ 132-2 การเผชิญหน้า

ลำนำสตรียอดเซียน

ความคิดในหัวของโม่เทียนเกอวิ่งวนเร็วดังแสง นางได้ยินเยี่ยจิ่งเหวินพูด “เทียนเกอ เจ้าเชี่ยวชาญด้านม่านพลัง ถ้าเจ้ารู้จักม่านพลังที่สามารถสร้างภาพปีศาจลวงตา พวกเราอาจจะสามารถทำลายม่านพลังนี้ได้ น่าเสียดายพื้นที่บริเวณนี้เล็กเกินไป ดังนั้นแผ่นม่านพลังและสิ่งของที่คล้ายกันจึงเป็นวัตถุที่ไม่สามารถใช้ได้… น่าเสียดาย…”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกยินดีเมื่อนางได้ยินเยี่ยจิ่งเหวินพูด “พวกเราสามารถใช้ภาพปีศาจลวงตาได้?”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้า “พวกเราสามารถใช้อะไรก็ได้ที่ไม่มีตัวตน”

 

 

โม่เทียนเกอถามอีกหนึ่งคำถาม “แล้วจิตสัมผัสล่ะ?”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและพูด “จริงสิ มันน่าจะใช้ได้ แต่ถ้าพวกเรากำลังพูดถึงจิตสัมผัส นอกเหนือไปจากการฝึกศาสตรแห่งกระบี่ ผู้ฝึกตนสายกระบี่ก็ฝึกจิตสัมผัสเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังอย่างศิษย์พี่ค่วงจู๋ก็ไม่สามารถต่อกรกับจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนสายกระบี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางได้”

 

 

โม่เทียนเกอคิดอยู่ภายในจิตใจ ด้วยศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ข้าไม่ใช้ผู้ฝึกตนทั่วไปอีกแล้ว

 

 

อย่างไรก็ตาม นางเก็บศาสตร์หลอมจิตวิญญาณไว้ลึกสุด นางไม่ต้องการที่จะเผยถึงความทรงพลังของจิตสัมผัสของนางต่อหน้าคนมากมาย ดังนั้นนางจึงใช้ข้อได้เปรียบจากสิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินพูดก่อนหน้านี้ว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านม่านพลังก่อนที่จะพูดว่า “ม่านพลังมีขนาดแตกต่างกัน มีทั้งเล็กและใหญ่ พวกเราน่าจะลองสักอย่างหนึ่งก่อน”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับม่านพลังนัก ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยความยินดี “งั้นเจ้ารีบลองเลย”

 

 

เขาไม่ได้รู้ว่าม่านพลังที่สามารถสร้างภาพปีศาจลวงตานั้นยุ่งยากและค่อนข้างใหญ่ เพียงแค่ตาของม่านพลังก็ต้องควบคุมด้วยคนหลายคนแล้ว

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอเห็นท่าทางของค่วงจู๋ นางรู้ได้ทันทีว่าเขาและเสี่ยวไป๋น่าจะทนได้อีกไม่นาน ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไป นางหยิบศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกภพและวางมันในม่านพลังธาตุทองซึ่งจะทำให้พวกมันรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณ หลังจากนั้นนางจึงพูดกับเยี่ยจิ่งเหวิน “ศิษย์พี่เยี่ย คอยป้องกันข้าด้วย”

 

 

เพราะเยี่ยจิ่งเหวินเป็นกังวล เขาจึงไม่ได้คิดว่าทำไมคนที่กำลังจะวางม่านพลังจึงต้องการการป้องกันด้วยและรีบพยักหน้าตอบรับ

 

 

โม่เทียนเกอรีบปล่อยจิตสัมผัสของนางซึ่งฝึกจากศาสตร์หลอมจิตวิญญาณส่งตรงไปยังจิตวิญญาณเริ่มต้นที่ไร้การป้องกันของวางฮงอันหมายที่จะฆ่าเขา โดยปกติแล้วความเปราะบางของจิตวิญญาณเริ่มต้นนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับร่างกาย จิตวิญญาณเริ่มต้นที่ไร้การป้องกันนั้นยิ่งแย่กว่า เมื่อศาสตร์หลอมจิตวิญญาณถูกใช้โดยปกติแล้วผลที่ได้คือการโจมตีเพื่อฆ่าในครั้งเดียว

 

 

เมื่อค่วงจู๋รู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังผ่อนแรงลง เขาลืมตาขึ้นและเห็นว่าวั่นหงอันได้ล้มลงบนพื้นไปแล้ว ตัวอักษรเลือดที่อยู่รอบๆ พวกเขาเดือดดาลอย่างบ้าคลั่งและรีบกลับเข้าไปในร่างของวั่นหงอัน

 

 

ค่วงจู๋รีบปรบมือหลังจากนั้นจึงผายมือออก หมอกขาวปกป้องพวกเขาไว้ได้ทันอีกครั้งตอนที่ร่างของวั่นหงอันระเบิดออก

 

 

พลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นมหาศาล โถงหลักของศูนย์สันเขาเฉียนเหมินถูกทำลายราบจนไม่มีเหลือ เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนที่อยู่นอกหมอกขาวของค่วงจู๋ แทนที่จะตายอยู่ภายในม่านพลังอสูรพันร่าง กลับต้องมาตายภายใต้พลังสนองกลับของม่านพลังอสูรพันร่างแทน

 

 

เมื่อผลของการระเบิดค่อยๆ เบาบางลง ค่วงจู๋ยืนอยู่เหนือซากที่พังทลาย แขนเสื้อของเขาปลิวไปตามสายลม เขาชำเลืองมองไปยังผู้ฝึกตนจากกลุ่มอื่นที่รีบวิ่งมาทางเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

 

 

โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินไม่มีวันที่จะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเขาฟังอย่างแน่นอน แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลานัก พวกเขาใช้จิตสัมผัสในการติดตามการต่อสู้อยู่ ดังนั้นพวกเขาน่าจะเข้าใจโดยคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

“ม่านพลังอสูรพันร่าง! มันคือม่านพลังอสูรพันร่าง!” บางคนกระซิบ

 

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้เขาจะพูดพึมพำกับตัวเอง แต่ด้วยความสามารถในการได้ยินของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง พวกเขาต่างได้ยินในสิ่งที่พูดอย่างชัดเจนด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด

 

 

ตอนนี้พวกเขายังคงสัมผัสได้ถึงผลที่ตามมาของม่านพลังอสูรพันร่างได้อยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นผลที่กระตุ้นให้ใช้ม่านพลังอสูรพันร่าง แต่ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนทางด้านการรักษาผู้สันโดษได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าเขาสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากม่านพลังอสูรพันร่างได้

 

 

กลุ่มผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับสำนักกู่เจี้ยนภายในศูนย์สันเขาเฉียนเหมินไม่กล้าที่จะก้าวก่าย เช่นเดียวกันกับสำนักกู่เจี้ยนซึ่งไม่มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหลืออีกต่อไปแล้วในตอนนี้ พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก

 

 

เพียงครู่เดียวผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังห้าคนได้ตายลงภายในศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน แม้ในช่วงเวลาปกติสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่สามารถจัดการให้เรียบร้อยได้เพียงแค่คำอธิบาย ไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลานี้เลย เมื่อสำนักกู่เจี้ยนได้ผ่านการจลาจลของสัตว์ปีศาจที่เกิดขึ้นและต้องเสียผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไปมากมาย เมื่อรวมถึงที่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินได้ฆ่าตายไปด้านนอกศูนย์สันเขาเฉียนเหมินอีกนั้น สำนักกู่เจี้ยนได้สูญเสียผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไปแล้วทั้งหมดเจ็ดคนในครั้งนี้

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้รายงานกลับไปยังสำนัก สร้างความเจ็บแค้นให้แก่เจ้าสำนักแห่งสำนักกู่เจี้ยนเป็นอย่างมาก เขาถึงขนาดรีบเดินทางหลายพันไมล์อย่างไม่ลังเลมาที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินเพื่อหวังตัดหัวค่วงจู๋และคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้

 

 

ในห้องหนึ่ง ทั้งหกคนรวมกันอยู่ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน และผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสองคน

 

 

“พวกเราควรจะรีบหนีให้เร็ว เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนจะต้องรีบมาที่นี่แน่ๆ และเมื่อถึงจุดนั้น พวกเราจะต้องมีปัญหาใหญ่หลวงทีเดียว”

 

 

“ไม่ได้หรอกท่านพี่! ตอนนี้ข่าวได้ยินไปถึงหูของท่านปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว พวกเราจะหนีได้อย่างไร”

 

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเราจะนั่งรอให้พวกเขามาฆ่าเราเฉยๆ ไม่ได้ไม่ใช่หรือ”

 

 

“ก็… ไม่ว่าอย่างไร ถึงแม้พวกเราต้องการที่จะหนี พวกเราก็ไม่สามารถหนีได้ไม่ถูกหรือ!”

 

 

 

 

ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คนยังคงนิ่งเงียบในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนกำลังโวยวาย เสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยเถียงกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครสามารถโน้มมน้าวใจกันได้ สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ได้แต่หมอบลงอยู่ข้างห้อง จ้องมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น

 

 

ค่วงจู๋ชำเลืองมองพวกเขาแล้วพูด “เรื่องนี้ได้รายงานไปที่หัวหน้าของโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องปวดหัวไปกับมันหรอก”

 

 

เสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยหันไปจ้องมองทางค่วงจู๋อย่างพร้อมเพรียงกัน “ทำไมท่านไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ!” เขาทำผิดต่อทั้งคู่จริงๆ พวกเขาเถียงกันเป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้อะไร แม้กระทั่งริมฝีปากพวกเขาก็แห้งไปจากการเถียงนั้น!

 

 

ค่วงจู๋ตอบอย่างเบาๆ “ก็เจ้าไม่ได้ถาม”

 

 

ทั้งสองคนไม่สามารถเถียงอะไรกลับได้อีก พวกเขาเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างหงุดหงิด

 

 

จ้านไป๋รู้สึกช่วยไม่ได้ในขณะที่เขามองเด็กสองคนได้แต่ปิดปากไปด้วยความโกรธ หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางค่วงจู๋และถาม “ศิษย์พี่ ท่านหัวหน้าโรงเรียนจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”

 

 

ค่วงจู๋ยกแก้วน้ำชาของตัวเองขึ้นมาและพูด “ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็เพื่อคุยเรื่องนี้ล่ะ”

 

 

ณ จุดนั้น เยี่ยจิ่งเหวินวางถ้วยชาของเขาลงและพูด “ศิษย์พี่ค่วง ศิษย์น้องจ้าน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะข้า ดังนั้นทั้งสองไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อมค้อม พวกท่านพูดไปตามความจริงได้เลย” ก่อนที่เขาจะฆ่าคนเหล่านั้น เขาได้พิจารณาถึงผลที่จะตามมาแล้ว หัวหน้าโรงเรียนจะต้องปกป้องศิษย์ของเขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดังนั้นสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็จะยังคงเป็นการแข่งขันระหว่างสองกลุ่มผู้ฝึกตนอยู่ดี

 

 

ในช่วงเวลาการจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้ แต่ละกลุ่มผู้ฝึกตนต่างทุกข์ทรมานจากความสูญเสียรุนแรง ความแข็งแกร่งของสำนักกู่เจี้ยนนั้นด้อยลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะสูญเสียศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังไปมากมาย แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรากฐานความแข็งแกร่งได้ เพราะได้ปิดผนึกภูเขาไว้ ดังนั้นระหว่างกลุ่มผู้ฝึกตนสองกลุ่ม โรงเรียนเสวียนชิงก็จะยังคงเป็นผู้ชนะในตอนจบอยู่ดี

 

 

อีกอย่างท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเป็นคนที่มีอารมณ์กระหายเลือดและชอบปกป้องอยู่แล้ว ถ้าเขาพบว่าศิษย์จากยอดเขาวสันต์กระจ่างเป็นคนทำเรื่องนี้ เขาจะต้องปรบมือและระเบิดหัวเราะมากกว่าที่จะตำหนิพวกเขาเสียอีก ด้วยการปกป้องจากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ แล้วจะมีอะไรที่ต้องกลัวด้วย?

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาพูดจบ ค่วงจู๋พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ ข้าคิดว่ามันคงเป็นการดีกว่าที่เจ้าไม่พูดความจริง”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินประหลาดใจ “ทำไม”

 

 

ค่วงจู๋หันมองไปทางทุกคนที่อยู่ที่นั่นก่อนที่จะหยุดอยู่ที่โม่เทียนเกอ ผู้ซึ่งดื่มชาของนางอย่างสงบ “เรื่องนี้… พวกเราควรที่จะโทษไปที่ศิษย์น้องโม่”

 

 

เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอ แต่เยี่ยจิ่งเหวินและจ้านไป๋ต่างตะลึงงัน แม้กระทั้งเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยที่กำลังก้มหน้าหมอบอย่างไม่พูดไม่จายังคงเงยหน้าขึ้นมา

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินถามออกมาอีกครั้ง “ทำไม”

 

 

แทนที่จะตอบ ค่วงจู๋ค่อยๆ ก้มหัวของเขาเพื่อจิบชา อย่างไรก็ตามโม่เทียนเกอสงบจิตใจได้เร็วและพยักหน้าพร้อมพูด “ตกลง”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินยิ่งรู้สึกตกตะลึงขึ้นไปอีก เขาหันไปมองยังโม่เทียนเกอ

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มและพูดอย่างเบาๆ “พี่ใหญ่เยี่ย ท่านลืมเกี่ยวกับตัวตนของข้าที่มีในโรงเรียนไปแล้วหรือ”

 

 

หลังจากมึนงงครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจในทันที “เจ้าหมายถึง…”

 

 

“ศิษย์น้องโม่เป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ” ค่วงจู๋พูดต่ออีกครั้ง “สิ่งที่ศิษย์น้องเยี่ยพูดก่อนหน้านี้นั้นมีเหตุผล แต่มันก็มีเหตุผลเช่นกันที่ศิษย์น้องโม่จะเป็นคนที่รับแทน”

 

 

ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเป็นคนที่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเขาและเยี่ยจิ่งเหวินนั้นก็ต่างถูกแบ่งแยกกันรุ่นหนึ่ง ในทางกลับกันโม่เทียนเกอเป็นศิษย์ลงนามของท่าน ถ้านางทำผิดในเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือหลักการต่างๆ ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอจะต้องเข้ามาก้าวก่าย ถึงแม้เขาจะไม่ได้มาด้วยตัวเองเขาก็คงจะให้ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในยอดเขาวสันต์กระจ่างเข้ามาจัดการแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงศิษย์คนอื่นเลย แม้แต่โม่เทียนเกอเองก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

 

 

เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น เยี่ยจิ่งเหวินได้แต่เสียใจในทางแก้ปัญหาอย่างช่วยไม่ได้อยู่ภายใน ศิษย์พี่ค่วงจู๋ถึงแม้จะดูเย็นชา เฉยเมยและสันโดษ แต่จิตใจของเขาได้คิดคำนวณอย่างลึกซึ้ง อีกอย่างวิสัยทัศน์ของเขานั้นช่างโหดร้ายนัก…

 

 

ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ สิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ นี่พวกเขากำลังทำให้ท่านปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณใหม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการนี้หรือ?

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่จ้องมองมาจากเยี่ยจิ่งเหวิน ค่วงจู๋ก็ยังคงดูใจเย็นเช่นเดิม ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่กับตัวเองครู่หนึ่งก่อนที่จะพูด “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็คงจะรู้สึกผิดกันไปตลอดจนตาย ก็แค่บอกไปว่าพวกนั้นต้องการที่จะฆ่าข้าเพื่อปล้นทรัพย์ข้าและแม้กระทั่งมีความคิดที่ไม่เหมาะสม และพวกเขาก็ไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว ศิษย์พี่ค่วง ถ้าเราพูดเช่นนี้ท่านคิดว่าข้าจะได้รางวัลจากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอหรือไม่”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่สันหลังยิ่งกว่าเดิม ด้วยอารมณ์ของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ถ้าศิษย์ของเขาเผชิญเข้ากับคนที่วางแผนจะทำร้าย และสามารถฆ่าคนเหล่านั้นได้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ตำหนินางเท่านั้น แต่เขาอาจจะยกย่องและตบรางวัลให้มากมายทีเดียว

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ นางหันไปมองทางเยี่ยจิ่งเหวินและพูด “พี่ใหญ่เยี่ย ถ้าข้าได้ประโยชน์จากเรื่องนี้จริงๆ ข้าจะไม่มีทางเก็บไว้คนเดียวอย่างแน่นอน”

 

 

ก่อนที่เยี่ยจิ่งเหวินจะทันได้ตอบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงของค่วงจู๋ “แล้วพวกข้าเล่า”

 

 

โม่เทียนเกอจ้องไปทางดวงตาใสๆ ของเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยผู้ซึ่งยังคงนั่งหมอบลงอยู่ที่มุมห้อง นางยิ้มและพูด “แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนย่อมได้ส่วนแบ่งจากข้า”

 

 

เยี่ยจิ่งเหวินตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาคิดว่าเขาโหดร้ายและไร้ความปรานีมากแล้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนพวกนี้จะใจกล้ามากกว่าเขานัก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะทำให้ท่านปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณใหม่ต้องเข้ามาอยู่ในแผนการ แต่พวกเขายังคงวางแผนว่าจะแบ่งของรางวัลกันอย่างไรล่วงหน้าอีกด้วย…

 

 

หลังจากที่ได้รับการยินยอมจากโม่เทียนเกอ ค่วงจู๋จึงหยิบเครื่องรางเรียกขานออกมา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “งั้นเราก็ต้องขอบคุณความมีน้ำใจของศิษย์น้องโม่เสียก่อน ท่านหัวหน้าโรงเรียนได้ตอบกลับมาแล้ว เขาบอกว่าท่านปรมาจารย์จิ้งเหอกำลังเดินทางมา” ​​​​​​​