ตอนที่ 650 บ้านเกิดอยู่ที่ใด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 650 บ้านเกิดอยู่ที่ใด

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงงัน สำหรับเรื่องนี้เขาย่อมจำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า… “ไทเฮาซีเป็นกบฏ ดังนั้นคำเอ่ยของนางถือเป็นโมฆะ”

ขันทีเจี่ยยิ้มแล้วทูลว่า “พระองค์ต้องยอมรับการแต่งงานในครานี้พ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากบัดนี้หนานกงตงเซวี๋ยได้เดินทางออกมาจากเมืองกวนหยุนแล้ว นางมาตามพระราชโองการของฝ่าบาท คาดว่าจะมาถึงจินหลิงราวต้นเดือนหกพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกมิสบายไปทั้งร่าง !

วังหลังนั้น… บิดาอ้วนต้องการจะเติมเต็มวังหลังเยี่ยงนั้นหรือ ?

ขันทีเจี่ยมองดูสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมคิดว่านี่คงเป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ พระองค์ทรงไตร่ตรองดูเถิดว่าบัดนี้ในวังหลังของราชวงศ์อู๋ล้วนว่างเปล่า เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่ดีต่อแคว้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“โจวถงถงกล่าวในจดหมายที่ส่งถึงกระหม่อมว่า อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาได้ทูลเสนอให้องค์จักรพรรดิคัดเลือกนางสนม แต่ฝ่าบาทได้ยืนกรานปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแล้วขู่ว่าจะเสด็จจากราชวงศ์อู๋ไป จากนั้นฝ่าบาทก็ได้ตัดสินพระทัยว่าผู้ที่ต้องสืบสายโลหิตคนต่อไปของราชวงศ์อู๋นั้นคือองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”

“สำหรับประมุขของผืนปฐพี เรื่องความมั่นคงของราชวงศ์ถือเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถึงแม้ว่าองค์ชายจะอยู่ในราชวงศ์หยู แต่พระองค์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของผืนปฐพีแห่งราชวงศ์อู๋ ดังนั้นกระหม่อมขอบังอาจทูลถามองค์ชายว่าเพราะเหตุอันใดถึงมิยินยอมที่จะกลับไปยังราชวงศ์อู๋กันล่ะพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วครู่ เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วจ้องมองขันทีเจี่ย จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “คำถามนี้ อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเคยถามข้าเช่นกัน ตอนนั้นข้าตอบเขาไปว่าเพื่อความสงบสุขของใต้หล้า บัดนี้ข้าจะกล่าวความในใจให้ท่านฟัง…”

“กระหม่อมจะเก็บรักษาไว้เป็นความลับพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เพราะที่แห่งนี้…เปรียบเสมือนบ้านเกิดของข้า ! ”

ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำแยงซี แม่น้ำหวงเหอ และเทือกเขาฉินหลิงในเมืองสู่ ล้วนแต่คล้ายกับบ้านเกิดของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อชาติที่แล้วมากยิ่งนัก

ตัวเขาเองในชาติที่แล้วเพื่อปกป้องประเทศบ้านเกิดจึงได้เลือกเดินในเส้นทางที่ไม่มีผู้ใดรับรู้ และกระทำในสิ่งที่มิมีผู้ใดมองเห็นอย่างเงียบ ๆ

เขารักผืนปฐพีนี้เป็นอย่างมาก เพื่อความสงบสุขและความสามัคคีของราษฎรในประเทศ เขาจึงอุทิศชีวิตอันแสนสั้นเพื่อรักษาสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ !

เมื่อได้มาเยือนใต้หล้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ดินแดนของราชวงศ์หยูคล้ายกับประเทศในชาติก่อนของเขาเป็นอย่างมาก จนเขารู้สึกว่านี่คือผืนปฐพีที่ตนเองเคยอยู่อาศัย

เขาต้องการทำทุกสิ่งเพื่อผู้คนบนผืนปฐพีนี้ เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ช่างเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ รู้สึกว่าการอยู่ตรงจุดนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำให้จิตใจสงบสุขและผ่อนคลายได้

แต่ทว่าที่ราชวงศ์อู๋นั้นแตกต่างออกไป มันทำให้เขามิคุ้นเคยเอาเสียเลย ทำให้รู้สึกว่าตนเข้ากับที่นั่นมิได้และดูเหมือนจะยากต่อการซึมซับสิ่งเหล่านั้นไปเสียแล้ว

เปรียบดั่งปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด หากถูกโยนลงทะเลแล้วมันจะกลายเป็นปลาน้ำเค็มได้หรือไม่เล่า ?

การเปรียบเทียบนี้มิเหมาะสมมากยิ่งนัก แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ได้คิดเช่นนี้อยู่ในใจเสมอมา

ขันทีเจี่ยตกตะลึงงัน เขารู้สึกว่าตนเองมิเข้าใจคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน… บ้านเกิดเยี่ยงนั้นหรือ ? เหมือนบ้านเกิดของข้าหรือไม่ ?

ขันทีเจี่ยเข้าใจว่า เป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนเกิดและเติบใหญ่ขึ้นมาในราชวงศ์หยูนั่นเอง

ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก !

ขันทีเจี่ยนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน กว่าจะยอมเปิดปากเอ่ยออกมา “ท้ายที่สุดแล้วพระองค์ก็เป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋อยู่ดี ผู้คนในราชวงศ์อู๋นั้นเลื่อมใสและศรัทธาในตัวพระองค์มากยิ่งนัก พวกเขาเป็นราษฎรของพระองค์ หากจะละทิ้งพวกเขาไปทั้งอย่างนี้ พวกเขาจะต้องรู้สึกเสียใจมากเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาวออกมา เพราะตั้งแต่ที่เยี่ยนเป่ยซีกล่าวเช่นนั้นออกมาก็ส่งผลให้ตลอดหลายวันมานี้เขามักจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ทุกคราที่มีเวลาว่าง

ในระบบเจ้าขุนมูลนายแห่งยุคสมัยนี้ ความคิดของข้าถือว่าไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่ ? มีความเพ้อฝันมากจนเกินไปใช่หรือไม่ ?

ความคิดจากชาติที่แล้วมิได้ขาดหายไปเลยแม้แต่น้อย จนนำไปสู่ปัญหาที่ว่าตนเองมักจะมองใต้หล้าในชาตินี้ด้วยสายตาของชาติก่อน

นี่ถือเป็นความผิดพลาด !

ความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมนั้นมักจะมีวิธีการของมันเอง ด้วยอำนาจในมือของมนุษย์สามารถที่จะผลักดันวัฒนธรรมนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพบว่าเป็นการยากที่จะทำให้บรรลุผลในแบบที่ต้องการได้ทั้งหมด

กรงภายในจิตใจของราษฎรและเหล่าขุนนางนั้นมิใช่เรื่องง่ายที่จะทำลาย แต่ทว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการแสวงหาเสรีภาพยังสมควรได้รับการปลูกฝังเอาไว้อยู่

การที่เมล็ดพันธุ์นี้จะแตกรากออกหน่อแล้วเจริญเติบโต เกรงว่าต้องใช้เวลานานกว่านี้อีกสักเล็กน้อย

แคว้นที่สมบูรณ์แบบในจินตนาการ มิแน่ว่าบางทีคงต้องใช้เวลาเฝ้ารอไปชั่วชีวิต

ดังนั้นเขาจึงต้องทำบางอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้โดยเร็ว

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา “ท่านแจ้งต่อบิดาข้าว่า โปรดให้เวลาข้าอีกสักสามถึงห้าปีเถอะ”

ขันทีเจี่ยเมื่อได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพทันที “องค์ชายคิดได้เช่นนี้ ถือว่าเป็นเกียรติของราษฎรและราชวงศ์อู๋มากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “ข้าอาจจะมิสามารถเป็นจักรพรรดิที่ดีได้”

“ย่อมมิเป็นเช่นนั้นเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายต้องกลายเป็นจักรพรรดิที่ดีที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์นี้อย่างแน่นอน ! ”

ขันทีเจี่ยยืดกายขึ้น ทันใดนั้นจิตใจก็กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาขึ้นมา “ในวันที่พระองค์เสด็จกลับแคว้น ตอนนั้นกระหม่อมย่อมชราภาพมากแล้ว กระหม่อมจะเป็นผู้ดูแลพระองค์ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดัง “หากท่านมีความสุขกับหน้าที่นี้ก็ย่อมได้”

“กระหม่อมเต็มใจรับใช้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

……

……

ขันทีเจี่ยได้จากไปแล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกกดดันขึ้นมา

นั่นคือความเชื่อใจ !

ความเชื่อใจเช่นนี้มาพร้อมกับความเลื่อมใสและศรัทธาเยี่ยงคนตาบอด แม้แต่ขันทีเจี่ยที่ต้องการอยู่อาศัยในราชวงศ์หยูยามแก่ชรา ก็กลับมามีพลังชีวิตที่เปี่ยมล้นอีกคราเนื่องด้วยคำเอ่ยของเขาเพียงมิกี่คำ นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายมองเห็นความหวังนั่นเอง

ขันทีเจี่ยมีความคิดเดียวกับราษฎรในราชวงศ์อู๋

การใช้นโยบายใหม่ของฟู่เสี่ยวกวนในราชวงศ์หยูมิได้เป็นความลับอีกต่อไป และตอนนี้ข่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋แล้วด้วย

ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงแต่โดดเด่นในราชวงศ์หยูเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชื่อเสียงของเขาในราชวงศ์อู๋มีมากกว่าที่ราชวงศ์หยูด้วยซ้ำไป

ถึงเยี่ยงไรแล้วเขาก็คือองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ และเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของราชวงศ์อู๋อีกด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ริมทะเลสาบเว่ยยางแล้วคิดถึงเรื่องเส้นทางที่ก้าวเดินในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ สุดท้ายจึงพบว่าเหตุผลที่เขาใช้อ้างเพื่อเดินทางออกมาจากราชวงศ์อู๋ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่การหนีความจริงเท่านั้น

แน่นอนว่าดินแดนเยี่ยงราชวงศ์หยูที่เขารักนี้มิได้มีความผิดอันใด หากจะผิดก็ผิดที่ความเฉื่อยชาทางความคิดของบุคคลมากกว่า

เขาคิดว่าราชวงศ์หยูเป็นแคว้นบ้านเกิดมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงเมื่อลองตริตรองเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋ดูดี ๆ แล้ว ตัวเขาเองก็เกี่ยวโยงกับที่นั่นทั้งสิ้น

มิว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิเหวินพระบิดาของเขา หรือฟู่ต้ากวนที่เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ในใจของเขาได้ยอมรับฟู่ต้ากวนเป็นบิดาแท้ ๆ ไปแล้ว แต่เดิมเศรษฐีที่ดินรายใหญ่ผู้นี้เป็นคนเกียจคร้าน แต่ทว่าบัดนี้ชายอ้วนผู้นั้นกลับยอมขึ้นครองบัลลังก์มังกรแห่งราชวงศ์อู๋เพื่อเขา

อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ให้กำเนิดบุตรชายแล้ว จากนั้นก็อาศัยอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ในอดีตก็เคยเล่าเรื่องราวมากมายให้เขาฟังด้วยความจริงใจ

ที่นั่นยังมีสหายต่างวัยมากความรู้เยี่ยงเหวินสิงโจวอยู่อีกด้วย มิรู้ว่าตำราหลี่เสวียได้ถูกนำมาใช้ในราชวงศ์อู๋แล้วหรือไม่

ในราตรีนี้ความคิดของฟู่เสี่ยวกวนได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายเสียเหลือเกิน

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ในใจของเขาได้รู้ความจริงอย่างหนึ่งขึ้นมาทันทีว่า…

…ชีวิตคนเราควรแสวงหาความเป็นอิสระ

อำนาจที่ตนเองยึดมาได้ ย่อมสามารถปล่อยวางมันลงได้ เพราะข้านั้นแตกต่างจากผู้อื่น !

ดังนั้นเมื่อได้มาซึ่งอำนาจแล้วก็ควรจะจับเอาไว้ให้แน่น แต่หากถึงเวลาอันสมควรที่จะปล่อยวางลงแล้ว ก็ควรจะปล่อยวางลงเสีย

ตราบใดที่ผู้คนในใต้หล้านี้มีชีวิตที่สะดวกสบาย นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับให้เขาได้มีเวลามองออกไปยังท้องนภาอันกว้างไกลอย่างผ่อนคลาย

เขามิรู้ว่าต่งชูหลานมาถึงด้านหลังตั้งแต่เมื่อใด นางยืนมองแผ่นหลังของสามีที่ให้ความรู้สึกว่ากำลังโดดเดี่ยวอย่างเงียบ ๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไปสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง

ฟู่เสี่ยวกวนเอียงศีรษะกลับมา ลูบเส้นผมของต่งชูหลานอย่างแผ่วเบา เขาเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ภายใต้จันทราเต็มดวงเช่นนี้ เจ้าคิดว่าที่แห่งใดคือบ้านเกิดของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”