ตอนที่ 651 ยอมทรยศองค์ยูไล มิหันหลังใส่พวกเจ้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 651 ยอมทรยศองค์ยูไล มิหันหลังใส่พวกเจ้า

“ภายใต้จันทราเต็มดวงเช่นนี้ เจ้าคิดว่าที่แห่งใดคือบ้านเกิดของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ต่งชูหลานเอาคางเกยไหล่ของฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ สายตาของนางจดจ้องไปยังจันทราเต็มดวงแล้วนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบคำถามของสามีว่า “ท่านอยู่ที่ใด… ที่แห่งนั้นก็คือบ้านเกิดของข้า”

ฟู่เสี่ยวกวนแทบมิเคยเกิดอารมณ์เปราะบางเฉกเช่นวันนี้มาก่อน ต่งชูหลานหวนนึกถึงสิ่งที่บิดาได้เอ่ยตอนที่นางกลับจวน นางจึงพอจะทราบถึงแผนการขั้นต่อไปของฟู่เสี่ยวกวนคร่าว ๆ แล้ว

“ท่านจะกลับไปเมื่อใดหรือ ? ”

“เรื่องมิได้ง่ายดั่งที่เจ้าคาดคิดหรอก เพราะข้ามิสามารถทอดทิ้งว่อเฟิงเต้าไปทั้งอย่างนี้ได้ คงต้องรออีกสักสามถึงห้าปีเลยทีเดียว”

“อืม… วันนี้ข้า เวิ่นหวิน และเสี่ยวโหลวได้หารือกัน แท้ที่จริงพวกเราสามคนก็พอจะดูออกว่าซูซูและสวี่ซินเหยียนต่างก็ชื่นชอบในตัวท่านเป็นอย่างมาก ข้าจึงมีความคิดว่าหากท่านกลับไปยังราชวงศ์อู๋ สถานะของท่านก็จะมิเหมือนเดิมอีกต่อไป อัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวารวมถึงเหล่าขุนนางมิต้องการให้วังหลังนั้นว่างเปล่า เพราะถึงเยี่ยงไรท่านก็เป็นถึงองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์อู๋

แน่นอนว่าข้ามิได้เอ่ยถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้พวกนางรับรู้หรอก สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือเยี่ยงไรเสียพวกข้าทั้งสามคนก็มิอาจครอบครองท่านเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้อีก แน่นอนว่าในวังหลังย่อมต้องมีสตรีเข้าไปอยู่มากหน้าหลายตา เช่นนั้นก็ให้คนที่พวกเราคุ้นเคยเข้าไปอยู่มิดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็สามารถเผชิญหน้ากันได้อย่างมิรู้สึกขัดเขิน หรือแม้แต่การเล่นไพ่นกกระจอก…ก็ย่อมทำได้อย่างสบายใจ”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ค้นพบว่าหากตนหวนคืนสู่ราชวงศ์อู๋ ก็เกรงว่าจะเป็นดั่งที่ต่งชูหลานเอ่ยออกมาอย่างแท้จริง

เขาละทิ้งแนวคิดเดิมที่ติดตัวมาจากชาติก่อนแล้วใช้วิธีคิดแบบผู้คนในชาตินี้มาทบทวนอย่างถี่ถ้วน การมีฮองเฮาและนางสนมหลายนางถือเป็นเรื่องปกติ ในฐานะจักรพรรดิ การเติมเต็มวังหลวงก็ถือว่าเป็นหน้าที่อันสมควรมากเช่นกัน

หากเอ่ยถึงซูซู สตรีที่ได้คบหามาเนิ่นนาน เขาย่อมโปรดปรานนางเป็นธรรมดา

ส่วนสวี่ซินเหยียนช่วงนี้ก็ได้ดูแลเขาอย่างมิขาดตกบกพร่องทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งอยู่มิน้อย

อีกทั้งตอนนี้ในราชวงศ์อู๋ยังมีอู๋หลิงเอ๋อร์และหนานกงตงเซวี๋ยที่กำลังเดินทางมา และดูเหมือนว่าจะมิมีนางใดยอมแพ้เอาเสียเลย หากเป็นเช่นนั้นก็รับไว้มิดีกว่าหรือ ?

เมื่อลองใคร่ครวญดูแล้วได้ข้อสรุปเช่นนี้ ภายในจิตใจก็พลันบังเกิดความเบิกบานขึ้นมา…

ข้าก็เป็นเพียงแค่คนที่ย้อนเวลามาเท่านั้นเอง ในชาติก่อนยังมิเคยได้จับมือสตรีเลยสักครา มาชาตินี้สวรรค์คงอยากชดเชยในสิ่งที่ข้าเคยขาดหายไป ถึงได้ส่งสตรีที่ทั้งงดงามและอ่อนโยนมาไว้ข้างกายข้ามากมายเยี่ยงนี้

เมื่ออยากมีรักก็จงรักให้ทั่วถึงไปเลย !

อย่ามัวแต่ทำตัวหน้าซื่อใจคด !

ฟู่เสี่ยวกวนหันกายกลับมาแล้วโอบกอดต่งชูหลานเอาไว้ในอ้อมแขน

“ข้ามีความรักต่อพวกเจ้าทั้งสามอย่างลึกซึ้ง ชีวิตที่เหลือของข้าก็จะมีพวกเจ้าอยู่เคียงข้าง แม้ข้าต้องทรยศต่อองค์ยูไล แต่ข้าก็จะมิมีทางหันหลังให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน ! ”

ต่งชูหลานที่ยังคงฟุบใบหน้าอยู่ในอ้อมอกของฟู่เสี่ยวกวนจึงตอบรับ “อืม” อย่างแผ่วเบาราวกับเสียงยุงบินผ่าน หลังจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองสามี “ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกเวิ่นหวินและเสี่ยวโหลว และข้าก็จะไปสนทนากับซูซูและสวี่ซินเหยียนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกท่าน ข้าได้ให้หลี่จินโต้วส่งคนไปยังเมืองกวนหยุนแล้ว นี่ก็เข้าวันที่สามของการออกเดินไปแล้ว ธนาคารซื่อทงจะต้องถูกจัดตั้งขึ้นอีกแห่งหนึ่งในเมืองกวนหยุน เงินที่จวนฟู่หาได้ทั้งหมดก็ต้องโอนไปไว้ที่นั่นทั้งหมดด้วยเช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วย เขาจ้องมองสตรีผู้มีใบหน้าอ่อนหวานภายใต้แสงจันทราผ่องอำไพ สุดท้ายจึงอดที่จะโน้มริมฝีปากให้เคลื่อนต่ำลงไปมิได้

“อื้ม…อย่า… ! ”

จันทราได้หลบซ่อนเข้าไปหลังเมฆา บรรยากาศเช่นนี้ช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเหมือนได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาอีกครา

บทสนทนาของขันทีเจี่ยได้ทำให้เขาแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาละทิ้งแนวคิดเยี่ยงคนในโลกอนาคตไปเสียหมด และทำให้เขารู้สึกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใหม่ที่อาศัยอยู่ในตอนนี้

เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ หลังจากได้ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวน สวี่ซินเหยียน ซูโหรว และยังมีซูซูที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองหลินเจียง นั่งล้อมวงรับประทานมื้อเช้าด้วยกัน… ส่วนภรรยาทั้งสามของเขายังมิตื่นจากหลับไหล

หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้โผเข้าไปกอดซูซูจากนั้นก็โผเข้าไปกอดสวี่ซินเหยียน เมื่อถูกจู่โจมแบบมิทันตั้งตัวเช่นนี่ ซูซูจึงเขินอายเสียจนหน้าแดงปลั่ง ส่วนสวี่ซินเหยียนก็รู้สึกปลาบปลื้มอย่างเหลือล้น แน่นอนว่าพลอยทำให้ซูโหรวรู้สึกตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย

“การมีพวกเจ้าอยู่ข้างกายช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ! ”

เมื่อเอ่ยจบเขาก็จูงมือสวี่ซินเหยียนแล้วเดินจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ซูซูที่โดนความพิศวงงงงวยเล่นงานมิจบสิ้น

“ศิษย์พี่สาม…เขา ช่วงนี้เขาได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองใช่หรือไม่ ? ”

ซูโหรวหัวเราะร่าออกมา ดวงตาคู่เล็กของนางได้เผยความหยอกเย้าให้เห็น “ศิษย์น้องหก เกรงว่าเขาจะรับรู้อันใดบางอย่างเข้าแล้วล่ะ”

“รับรู้สิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้านี่นะ…จงรอให้เขามาสู่ขอเจ้าเถิด ! ”

“หา… ! ”

ทันใดนั้นซูซูก็รู้สึกว่าจิตใจเริ่มอยู่มิเป็นสุขขึ้นมาทันที สองมือของนางกำชายเสื้อด้านล่างเอาไว้ อีกทั้งยังออกแรงกำเสียแน่นจนเสื้อยับยู่ยี่

นางก้มหน้าลง ดวงตาทั้งสองข้างมองเท้าเปลือยเปล่าอันขาวสะอาด ผ่านไปชั่วครู่นางก็ได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ศิษย์พี่สาม นี่มัน…นี่คือเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าเชื่อสายตาของศิษย์พี่สามเถอะ อีกอย่างหนึ่งการที่ศิษย์น้องหกผู้เลอโฉมได้แต่งงานกับเขา นี่มิเรียกว่าเขากำลังได้เปรียบอยู่หรอกหรือ ? ”

“…แต่เขาเป็นศิษย์น้องของข้า”

“สำคัญไฉน ? ข้ามิใช่ศิษย์น้องสามของศิษย์พี่ใหญ่หรอกหรือ ! ให้เขาได้เปรียบยังดีกว่าการให้ผู้อื่นได้เปรียบ ! ”

ซูซูเขินอายเสียจนใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ นางเม้มริมฝีปากที่เริ่มแห้งผากแล้วเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “แต่หากว่าฮูหยินทั้งสามของเขามิเห็นด้วย…”

“ทำใจให้สบายเถิดศิษย์น้องหกของข้า หากดูจากธาตุแท้ของเขานั้น เขามิใช่คนที่ฮูหยินทั้งสามจะมาบงการได้ ไหนจะสติปัญญาที่เขามีย่อมจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน เขาย่อมมิให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจเป็นแน่”

ซูซูก้มหน้าลงอีกครา คิดตริตรองว่าหากเป็นเช่นนั้นก็คงดีเหนือคำบรรยาย เห็นทีว่าข้าควรจะต้องหัดสวมรองเท้าแล้ว

…..

…..

เช้านี้ฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าร่วมการประชุมราชวงศ์ที่วังหลวง ส่วนต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ได้ร่วมรับประทานมื้อเช้าด้วยกันที่เรือนหลัก

ต่งชูหลานปอกเปลือกไข่ไก่ต้มแล้วส่งให้กับหยูเวิ่นหวิน จากนั้นก็ปอกอีกฟองส่งให้เยี่ยนเสี่ยวโหลว ครานี้นางมองไปที่สองคนนั้นอย่างพิจารณา แล้วจึงเริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นมา

“ท่านพี่ใกล้จะเดินทางไปว่อเฟิงเต้าแล้ว ส่วนพวกเราย่อมมิอาจติดตามเขาไปได้”

“ถูกต้องแล้ว ข้ารู้สึกเสียดายมากยิ่งนัก ท่านพี่ต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนั้น เขาจะสามารถผ่านคืนวันอันโหดร้ายเหล่านั้นมาได้เยี่ยงไรกัน ! ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวบ่นพึมพำ

“ข้าก็กำลังคิดอยู่เช่นกันว่าเมื่อเขาไปว่อเฟิงเต้าแล้ว ผู้ใดจะเป็นคนดูแลเขา ? ” ต่งชูหลานเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้นมองต่งชูหลานแล้วเอ่ยถามอย่างติดตลกว่า “เจ้าก็บอกมาสิว่าให้ดูแลในด้านใด ? ”

“ทุกด้าน…”

“นี่… นี่จะทำได้เยี่ยงไร ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามขึ้นพร้อมทำตาโต

“เรื่องบางเรื่องทำมิได้ก็ต้องได้ พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่าเขาเพิ่งอายุ 18 ปี นับเป็นวัยที่กำลังเร่าร้อนแล้วไหนจะเป็นชายที่มีสถานะสูงส่งอีกด้วย ถ้าให้เขาทนฝืนอยู่ที่ว่อเฟิงเต้า เขาจะทนได้นานเพียงใดกันเชียว ? มิว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเป็นแน่ ! ”

“แล้วจะทำเยี่ยงไร ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถามในขณะที่เกือบจะสำลักไข่ไก่

ต่งชูหลานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือแทนที่จะให้เขาไปเที่ยวเตร่เด็ดบุปผาข้างทาง สู้ให้พวกเราช่วยเติมเต็มเขาอย่างใจกว้างมิดีกว่าหรือ ? ”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวถลึงตาโต หยูเวิ่นหวินวุ่นอยู่กับการทานโจ๊ก

ผ่านไปครู่หนึ่งหยูเวิ่นหวินจึงได้เอ่ยออกมาว่า “แท้ที่จริงแล้วเรื่องนี้ข้าก็เคยครุ่นคิดมาก่อน ข้าเคยคิดแบบเห็นแก่ตัวว่าเขาเป็นของพวกเราสามคนเท่านั้น แต่ทว่าในก้นบึ้งของจิตใจก็รู้ดีว่ามันเป็นไปมิได้ พวกเราสามคนอย่าได้เผยแพร่สิ่งที่ได้หารือไปภายนอกเป็นอันขาด”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวและต่งชูหลานพยักหน้า หยูเวิ่นหวินถอนหายใจยาวแล้วจึงเอ่ยต่อ “เสด็จแม่ของข้าเคยตรัสไว้ว่า มิช้าก็เร็วฟู่เสี่ยวกวนจะต้องกลับไปยังราชวงศ์อู๋ นั่นก็หมายความว่าเขาอาจจะได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิ ! ”

“เสด็จแม่ได้ตรัสกับข้าไว้ว่าหากข้ารักเขาด้วยใจจริง ก็จงปล่อยมือจากเขาไปเสีย… พี่น้องทั้งหลายเกรงว่าบัดนี้พวกเราจะต้องปล่อยมือจากเขาแล้ว”