ตอนที่ 198-2 เพียงแค่ต้องการทำให้พวกเขาสิ้นหวัง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เมื่อลูกชายไป สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอก็คิดคำนวณ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าน้องสามีไม่มีทางช่วย ดังนั้นสามีและลูกชายทั้งสามคนของนางจึงออกไปหาความช่วยเหลือผูกสัมพันธไมตรี ลงเงินลงแรงนางก็ไม่ได้ขัดขวาง แต่ตอนนี้น้องสามีออกมาไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลืองเงินอีกต่อไป เงินที่เหลืออยู่ในครอบครัวพวกเขาก็ไม่เยอะแล้ว ยังมีครอบครัวใหญ่ให้ต้องเลี้ยงอีก จะไม่ประหยัดได้อย่างไร 

 

 

ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามารดาแซ่เหอได้รับข่าวแล้วผิดหวังสิ้นหวังเพียงใด ฝั่งของเสิ่นเวย พ่อบ้านรองกับสาวใช้หลายคนข้างกายนางต่างก็ไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุด เห็นชัดๆ ว่าคดีนี้สามารถตัดสินได้ในเร็ววัน แต่เหตุใดคุณหนูถึงยังรออยู่อีก รีบตัดสินรีบเสร็จเรื่อง พวกเขาเองก็จะได้กลับเมืองหลวงเร็วขึ้นมิใช่หรือ 

 

 

พวกเขาไหนเลยจะรู้ความคิดในใจเสิ่นเวย นางเพียงแค่ต้องการมองดูตระกูลเหอวิ่งวุ่นเฉยๆ เช่นนี้ มองดูตั้งแต่พวกเขากอดความหวังจนผิดหวัง กระทั่งสิ้นหวัง นางต้องการให้ทุกๆ วันของพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างทรมานและไม่ปลอดภัย 

 

 

อ่านข่าวที่ทหารลับส่งมาในมือ มุมปากนางก็ยกขึ้น สูญเสียเหอจังหมิงผู้ที่ร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ผู้นี้ไป สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอก็มีแผนการเล็กๆ ของตนเองทันที มารดาแซ่เหอจะยังเป็นนผู้นำตระกูลเหอได้อยู่อีกหรือ ในเมื่อออกมาจากโคลนตม เช่นนั้นก็กลิ้งกลับไปเสียเถอะ 

 

 

คดีของเหอจังหมิงตัดสินแล้ว โทษไม่ได้มีเพียงแค่ประพฤติผิดในหน้าที่ ยังมีคดีใหญ่คดีเล็กยิบย่อยนับไม่ถ้วนอีกสิบกว่าคดี ตัดสินให้เนรเทศไปยังเหลียวตง ไม่ถึงสามพันลี้แต่ถึงสองพันลี้ก็มากแล้ว หากไม่ได้นิรโทษกรรมชีวิตนี้ก็อย่าได้คิดว่าจะกลับมาอีกเลย 

 

 

เดิมคดียังเกี่ยวเนื่องไปถึงบุตรคนโตตระกูลเหอ อย่างไรเสียก็เป็นร้านค้าที่เขาแย่งคนอื่นมา เหอ 

 

 

จังหมิงกลับฉลาด รู้ว่าตนไปไม่รอดจึงรับโทษทั้งหมดไว้เอง ตระกูลเหอมีลูกชายสองคน ไม่อาจให้ตกหลุมพรางทั้งหมดได้มิใช่หรือ เขาเพียงแต่หวังว่าพี่ใหญ่เขาจะเห็นแก่ที่เขารับโทษไว้เอง สามารถเลี้ยงดูลูกชายหลายคนของเขาให้เป็นผู้เป็นคนได้ 

 

 

เรื่องที่เขาคิดมากที่สุดตอนที่อยู่ในคุกก็คือเขาเดินมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร เขาเลอะเลือนจนเมินเฉยภรรยาเอกแล้วยกย่องม้าซูบผอมต่ำช้าคนหนึ่งได้อย่างไร เขาเองก็เคยอยากทำให้อีกฝ่ายมีความสุข แต่เหตุใดถึงกลายเป็นนักโทษอย่างในวันนี้ได้ เขาเสียใจ เสียใจอย่างถึงที่สุด แม้แต่ฝันยังเป็นภาพของเสิ่นซื่อในตอนแรก เด็กสาวที่ขาวผ่อง เรือนร่างที่อวบอิ่ม ดวงหน้าที่ราวกับภาพวาด ยังมีแววตาที่เขินอายเปี่ยมรักเวลาที่มองเขา เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบความหนาวเย็น เหอจังหมิงตีศีรษะด้วยเองด้วยความเจ็บปวด ส่งเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าออกมา 

 

 

เมื่อตระกูลเหอได้รับข่าว นอกจากบิดามารดาแซ่เหอแล้ว คนที่เหลือต่างก็นิ่งเงียบอย่างมาก เตรียมใจไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือ 

 

 

เหอจังหมิงถูกลงโทษ จวนก็ย่อมอยู่ไม่ได้แล้ว พวกเขาต้องรีบหาบ้านย้ายออกไป คนรับใช้ก็ขายหมดไปนานแล้ว แม้แต่อี๋เหนียงสามคนของเหอจังหมิงก็ถูกขายทั้งหมด เหลือเพียงสาวใช้อนุภรรยาที่ซื่อสัตย์ผู้นั้น แต่ครอบครัวที่ใหญ่เกือบยี่สิบคนก็ไม่อาจอยู่ในเรือนเล็กๆ ได้ ในมือพวกเขามีเงินเพียงสองสามร้อยตำลึง ซื้อบ้านเสร็จแล้วก็เหลือเงินอยู่ไม่มาก ยังต้องเหลือไว้เป็นต้นทุนทำการค้าอีก 

 

 

เดิมทีตามเจตนาของผู้เฒ่าเหอก็คืออยากกลับสู่จง ใช้เงินในมือซ่อมแซมบ้านหลังใหญ่ในชนบท ซื้อที่นาจำนวนหนึ่ง ชีวิตก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี 

 

 

ทว่าบุตรคนโตแซ่เหอกับลูกๆ ต่างก็ไม่เห็นด้วย เคยเห็นความเจริญรุ่งเรืองในเมืองแล้ว จะยอมกลับไปใช้ชีวิตลำบากในชนบทได้อีกอย่างไร บุตรคนโตแซ่เหออวดตนว่าเคยดูแลร้านค้ามาหลายปี มีประสบการณ์มีคนรู้จัก ไม่นานก็สามารถผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง เหอเทียนเสียงก็รู้สึกว่าตนมีความรู้ความสามารถ อยากอยู่แสดงความมุ่งมาดปรารถนาที่อวิ๋นโจว 

 

 

ผู้เฒ่าแซ่เหอขัดลูกหลานไม่ได้ ทำได้เพียงอยู่ที่อวิ๋นโจวต่อ 

 

 

อ้อ ตระกูลเหอยังเคยถกเถียงเรื่องการกลับมาของเหอหลินหลิน มารดาแซ่เหอยืนกรานจะเอาเหอ 

 

 

หลินหลินกลับมาให้ได้ นางยังคิดถึงคฤหาสน์มูลค่าสูงหลังนั้นอยู่ อีกทั้งยังมีความแค้นต่อหลานสาวผู้นี้อยู่ด้วย เกลียดนางที่มองดูพ่อนางถูกเนรเทศหน้าตาเฉย มีสิทธิ์อะไรถึงปล่อยให้ครอบครัวข้าเผชิญความลำบากแต่เจ้ากลับสุขสบายร่ำรวยได้ 

 

 

ไม่ได้ ต้องเอานางกลับมา ในบ้านกำลังขาดเด็กสาวให้เรียกใช้อยู่พอดี เมื่ออายุถึงแล้ว ค่อยหาตระกูลที่มีเงินส่งออกไป ยังคงได้สินสอดก้อนใหญ่อยู่ 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของแม่สามี เหตุผลก็ไม่ต่างกันนัก เป็นสตรีอายุสิบสามปีแล้ว สามารถเป็นผู้ใหญ่ให้เรียกใช้ได้แล้ว อีกทั้งหลินเจี่ยเอ๋อร์ก็หน้าตาดี ส่งออกไปสมรสจะต้องนำผลประโยชน์มาให้ลูกชายแน่นอน 

 

 

แต่ผู้เฒ่าเหอกับบุตรคนโตต่างไม่เห็นด้วย ผู้เฒ่าเหอถลึงตามองมารดาแซ่เหอ “หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเหล่าเอ้อร์มิใช่หรือ เจ้าเอานางกลับมาสามารถหาข้าวดีๆ ให้นางกินหรือว่าหาเสื้อผ้าดีๆ ให้นางใส่ได้หรือ อย่างไรเสียนางก็เป็นเลือดเนื้อตระกูลเหอของพวกเรา เจ้าไม่เห็นค่านางเพียงนี้เลยหรือ หญิงชราหนังเหนียวเช่นเจ้าอย่าหลอกข้าเสียให้ยาก ไม่ให้ไป ให้หลินเจี่ยเอ๋อร์อยู่กับแม่นาง ทำอะไรต้องเหลือทางหนีทีไล่ วันหน้าจะได้ไม่ลำบาก” 

 

 

ผู้เฒ่าเหอไม่โง่ ไม่ว่าหลินเจี่ยเอ๋อร์จะอยู่กับใครก็หนีความจริงที่ว่านางเป็นคนตระกูลเหอไม่ได้ นางอยู่กับแม่นางจึงจะมีชีวิตที่ดีมีคู่สมรสที่ดีได้ รอหลานชายคนโตทั้งหลายเข้าเมืองหลวงสอบขุนนางแล้ว ค่อยไปขอร้องนางที่หน้าประตู เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน นางคงจะไม่ไล่คนออกมากระมัง 

 

 

บุตรคนโตแซ่เหอเองก็กล่าว “สงบเสงี่ยมกันหน่อย ได้รับบทเรียนยังไม่พออีกหรือไร คนอ่อนแอสู้คนแข็งแกร่งไม่ได้ ดึงดูดสายตาคุณชายจวนโหวผู้นั้นอีกที ครอบครัวพวกเราจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ” 

 

 

เสิ่นเวยไม่สนว่าตระกูลเหอจะคิดเห็นเช่นไร อย่างไรเสียนางก็รู้สึกว่าตระกูลเหอยังน่าเวทนาไม่พอ ความโกรธของนางยังระบายออกไม่หมด ด้วยเหตุนี้พ่อบ้านรองจึงได้รับหน้าที่ใหม่ คุณหนูสี่บอกว่า ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใด ขโมยมาก็ดี แย่งมาก็ดี อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องตัดกำลังทรัพย์ในมือตระกูลเหอให้เกลี้ยง ข้าจะทำให้พวกเขาไม่เหลือเงินสักแดงเดียวจนต้องขอทานไสหัวกลับบ้านเก่าที่สู่จง นางอยากดูว่ามารดาแซ่เหอที่เลี้ยงดูใต้เท้านายอำเภอขึ้นมาจะเลี้ยงหลานต่อไปได้อีกหรือไม่ 

 

 

หน้าที่นี้กลับไม่ยาก ทว่าพ่อบ้านรองกลับตื่นตัวขึ้นมา คุณหนูสี่มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้เขาต้องตั้งใจปฏิบัติงาน ห้ามทำให้คนผู้นี้ไม่พอใจเป็นอัดขาด อุบายเจ้าเล่ห์กลับกลอกนี้ พ่อบ้านรองเก่งจริงๆ! 

 

 

ประสิทธิภาพการจัดการของพ่อบ้านรองสูงอย่างยิ่ง เพียงแค่วางกับดักง่ายๆ สองแห่ง คนตระกูล 

 

 

เหอที่กระหายผลประโยชน์ก็ตกลงไปแล้ว ผลประโยชน์ไม่ได้รับ แต่กลับเทเงินกว่าสองร้อยตำลึงที่เหลืออยู่ลงไปหมดแล้ว คราวนี้พวกเขาไม่อยากกลับชนบทก็ต้องกลับแล้ว 

 

 

เห็นคนตระกูลเหอที่เสื้อผ้าขาดวิ่นสีหน้าด้านชาข้างถนน เสิ่นเวยก็อารมณ์ดีมากขึ้นแล้ว ท้ายที่สุดก็จัดการคนน่ารำคาญเหล่านี้หมดแล้วก็ถึงเวลากลับเมืองหลวงแล้ว 

 

 

ส่วนเหตุผลที่ไม่ฆ่าคนตระกูลเหอให้ตาย เสิ่นเวยคิดว่าอยากแก้แค้นคนคนหนึ่งแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ความตาย ตายแล้วก็เสียเปล่า ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น กลับเป็นการเสียเปรียบพวกเขา มีชีวิตอยู่จึงจะดี มีชีวิตอยู่จึงจะสามารถรับโทษที่สมควรจะรับได้ มีชีวิตดีกว่าตาย ยิ่งทำให้คนมีความสุขไม่ใช่หรือ 

 

 

เสิ่นหย่าสองแม่ลูกรู้ว่าเหอจังหมิงถูกตัดสินให้เนรเทศไปยังเหลียวตงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ก็คือพ่อแท้ๆ ของหลินเจี่ยเอ๋อร์ หากตายอยู่ในมือของคนตระกูลนาง แค่นางคิดภาพนี้ในใจก็อึดอัดแล้ว 

 

 

เหอหลินหลินเองก็เหมือนกัน ในขณะที่เคียดแค้นพ่อนางก็ไม่ได้หวังให้เขาตาย ผลลัพธ์เช่นนี้กลับไม่เลว อย่างน้อยยังไว้ชีวิต นางไม่เลอะเลือนเหมือนแม่ของนาง นางรู้ว่าญาติผู้พี่นางจะฆ่าพ่อนางเป็นเรื่องที่ง่ายเพียงแค่ดีดนิ้ว ตอนนี้พ่อนางสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ล้วนแต่เป็นญาติผู้พี่ที่คิดแทนนาง 

 

 

ด้วยเหตุนี้เหอหลินหลินจึงคำนับเสิ่นเวยหนึ่งครา “ท่านพี่ ขอบคุณท่าน” 

 

 

เสิ่นเวยรับการคำนับจากนางอย่างไร้กังวล ชื่นชมอย่างยิ่ง ญาติผู้น้องคนนี้เป็นคนฉลาด เชื่อว่านางจะมีชีวิตอยู่ในจวนโหวได้ไม่เลว เช่นนั้นนางก็เบาใจไปได้ไม่น้อย 

 

 

เรื่องที่อวิ๋นโจวจัดการเสร็จแล้ว ควรกลับเมืองหลวงได้แล้ว 

 

 

บังเอิญอย่างยิ่ง วันนั้นที่ออกเดินทางเหอจังหมิงถูกคุมตัวออกมาพอดี บนคอเขาสวมเครื่องลงโทษที่หนักอึ้ง ศีรษะยุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง ไหนเลยจะยังเป็นใต้เท้าเหอที่งามสง่าอยู่อีก แทบไม่ต่างอะไรจากคนเร่ร่อนในคูน้ำ 

 

 

ขบวนรถยาวเหยียดของเสิ่นเวยผ่านสายถนน นำหน้าโดยรถม้าที่หรูหรามากเป็นพิเศษหนึ่งคัน ดึงดูดสายตาคนบนถนน เสียงถกเถียงดังเซ็งแซ่ 

 

 

“นี่คือตระกูลใด เหตุใดถึงมีอำนาจเพียงนี้” 

 

 

“ตระกูลใครอะไรเล่า เมืองอวิ๋นเหอของพวกเราไม่เคยเห็นการเดินทางรูปแบบเช่นนี้มาก่อน ไม่เห็นหรือว่าพวกเขาออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ตระกูลเสิ่นรู้จักหรือไม่ บ้านฝั่งมารดาของฮูหยินนายอำเภอเหอผู้นั้นของพวกเราอย่างไรเล่า ไม่ใช่ว่าหย่าแล้วหรือ วันนี้นางจึงกลับเมืองหลวง” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา 

 

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปถึงหูของเหอจังหมิง บนใบหน้าที่สับสนมึนงงของเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาในชั่วขณะ หย่าเอ๋อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์ รีบมาช่วยข้าเร็ว! เขาหันหลังกลับกำลังจะไล่ตาม แต่กลับถูกขุนนางตรวจการณ์ที่คุมตัวเขาดึงกลับมา “ไปไหน ยังคิดจะหนีอีกหรือ” 

 

 

เหอจังหมิงดิ้นพล่าน ดวงตาจ้องมองขบวนรถยาวเหยียดนั้นแน่นิ่ง ริมฝีปากสั่นระริก กระทั่งขบวนรถออกไปไกลแล้วก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว แววตาของเขามืดลง ราวกับไม่มีปราณชีวิตแล้ว 

 

 

มีขุนนางที่เข้าใจสถานการณ์หัวเราะเยาะคราหนึ่ง “ไปเถอะ ใต้เท้าเหอ นั่นมันจวนจงอู่โหว ไม่ใช่สิ่งที่นักโทษเช่นเจ้าจะปีนป่ายได้ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรก รีบไป รีบไป ยังต้องเร่งเดินทางอีก” เขาผลักเหอจังหมิงจนสะดุด เกือบจะล้มลงบนพื้น 

 

 

เสิ่นหย่าที่นั่งอยู่ในรถม้าหรูหราแสนสบายเกิดความรู้สึกร้อยแปดพันเก้า นางมองลูกสาวที่แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ในใจก็พอใจอย่างยิ่ง “หลินเจี่ยเอ๋อร์ ประเดี๋ยวพวกเรากลับไปถึงจวนโหวก็ดีแล้ว ตาเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถมากเป็นพิเศษ ไม่อาจมีใครมากลั่นแกล้งพวกเราได้อีก ตาเจ้าชอบเด็กที่ฉลาดกล้าหาญ เจ้าอย่าได้อ่อนแอเหมือนแม่เจ้า” นางชี้แนะลูกสาวด้วยความจริงใจ 

 

 

“เหมือนญาติผู้พี่สี่ใช่หรือไม่” เหอหลินหลินถาม แม้นางกับญาติผู้พี่สี่จะรู้จักกันมาไม่นาน แต่ในใจนางญาติผู้พี่สี่ก็คือคนที่เก่งกาจมีความสามารถที่สุดผู้นั้น ช่วยพวกนางสองแม่ลูกจากความลำบากยากแค้น มิน่าเล่าท่านตาถึงได้ให้เขามาอวิ๋นโจว 

 

 

เสิ่นหย่าพยักหน้า “ใช่ ตาเจ้าชอบเด็กแบบญาติผู้พี่สี่ของเจ้า ไม่ชอบคนที่ร้องไห้งอแงที่สุด รอได้พบท่านผู้เฒ่า ความกล้าหาญของเจ้าจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน” 

 

 

“อืม ข้าทราบแล้ว ท่านแม่” เหอหลินหลินดวงตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยการรอคอยชีวิตในภายหน้า 

 

 

ขณะที่กำลังเดินทาง จู่ๆ รถม้าก็หยุด เสิ่นหย่าสองแม่ลูกประหลาดใจ จากนั้นก็เห็นเสิ่นเวยขึ้นมาบนรถม้า 

 

 

“หลานสี่ มีเรื่องอันใดหรือ” เสิ่นเวยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกสนิทกับหลานชายคนนี้แล้ว 

 

 

เสิ่นเวยลูบจมูก กล่าวด้วยความเคอะเขินหลายส่วน “ท่านอา หลานสี่มายอมรับผิดกับท่าน หลานสี่ไม่ใช่หลานชายของท่าน แต่เป็นหลานสาวของท่าน ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะจัดการเรื่องได้สะดวกจึงต้องทำเช่นนี้ ปิดบังท่านกับญาติผู้น้องมานานเพียงนี้ เป็นความผิดของหลานสี่จริงๆ” อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องรู้ ไม่สู้บอกความจริงไปเสียตอนนี้เลยดีกว่า 

 

 

“อะไรนะ หลานสาวหรือ” เสิ่นหย่างงงวยแล้ว “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นสตรีงั้นหรือ” จะเป็นไปได้อย่างไร หลานสี่ไหนเลยจะเหมือนสตรี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคุณชายสูงส่งงามสง่าต่างหากเล่า 

 

 

สบสายตาที่สงสัยของเสิ่นหย่าสองแม่ลูก เสิ่นเวยก็พยักหน้า “อืม หลานสี่มีชื่อว่าเสิ่นเวย ในจวนอยู่ในลำดับที่สี่ พ่อข้าคือพี่สามของท่าน แม่ข้าก็คือพี่สะใภ้สามของท่าน นางไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ฮูหยินสามในจวนแซ่หลิว เป็นหลานสาวฝั่งมารดาของท่านย่า อ้อจริงสิ ข้ายังมีน้องชายแม่เดียวกันอีกหนึ่งคน ปีนี้ก็อายุสิบเอ็ดปีแล้ว” เสิ่นเวยอธิบายทีละเรื่องๆ 

 

 

เสิ่นหย่ายังคงไม่อยากเชื่อ หลานชายที่มีความสามารถมีอุบายเช่นนี้จะกลายเป็นหลานสาวได้อย่างไร สตรีตระกูลใดกันที่นำคนวิ่งมาพันลี้เพื่อหนุนหลังให้อา นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว 

 

 

เย่ว์กุ้ยที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ก็กล่าว “กูไหน่ไน คุณหนูญาติผู้น้อง นี่เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ นี่คือคุณหนูสี่ของพวกเราจริงๆ ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ เจ้านายท่านอื่นๆ ในจวนต่างก็มีภาระแยกตัวออกมาไม่ได้ นายท่านผู้เฒ่าโหวจึงให้คุณหนูสี่มาเที่ยวนี้แทน คุณหนูสี่ของพวกเราเก่งมาก นายท่านผู้เฒ่าโหวยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่าลูกหลานทั้งจวนยังเทียบคุณหนูของพวกเราไม่ได้แม้แต่คนเดียว” นางมีท่าทางได้รับเกียรติอย่างยิ่ง 

 

 

“ท่านอา ญาติผู้น้อง หลานสี่ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง พวกท่านอย่าโกรธข้านะ” เสิ่นเวยขอโทษอีกครั้ง 

 

 

“ไม่โกรธๆ” เหอหลินหลินแย่งพูดขึ้นก่อน สายตาที่มองเสิ่นเวยก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อ ที่แท้แล้วนี่ก็ไม่ใช่พี่ชายสี่ แต่เป็นพี่สาวสี่ ชอบจริงๆ เลื่อมใสจริงๆ 

 

 

รู้ว่าเสิ่นเวยไปแล้วเสิ่นหย่ายังคงจมดิ่งอยู่ในความตกใจ นางไม่รู้มาก่อนว่าที่แท้แล้วสตรีก็เก่งกาจขนาดนี้ได้ มิน่าเล่าท่านพ่อถึงวางใจให้นางมาอวิ๋นโจว 

 

 

ส่วนเหอหลินหลินก็ดีใจทั้งอกทั้งใจ เดิมนางก็เลื่อมใสญาติผู้พี่สี่ผู้นี้อยู่แล้ว ตอนนี้รู้ว่านางเป็นพี่สาว ความรู้สึกเลื่อมใสก็เพิ่มมากขึ้น ญาติผู้พี่สี่ใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ นางเองก็อยากเป็นเหมือนญาติผู้พี่สี่ ดูสิว่าใครจะยังกล้ากลั่นแกล้งนางได้อีก