ปลอบใจ

 

 

 

“หลินหว่าน ตอนนี้เป็นเวลาพักของคุณ พวกเราไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะเลย ผมก็ปลีกเวลามาเหมือนกัน คุณรับปากผมนะ คุณก็อย่ามัวแต่หมกมุ่นจิตตกแบบนี้เลย เห็นแล้วผมรู้สึกไม่ดีเลย” เซียวจิ่งสือมองอย่างสงสารและเห็นใจเธอ เขาไม่อยากให้หลินหว่านเศร้าใจอยู่แบบนี้

 

 

การแสดงเป็นสิ่งที่หลินหว่านรัก แต่ก็ทำให้เธอกลัดกลุ้มไม่สบายใจ หลินหว่านถูกผู้กำกับซวี่กวงด่าว่าจึงดูเหมือนจะหดหู่ท้อแท้ แต่ที่ทำให้หลินหว่านคิดหนักยิ่งกว่าคือ เธอไม่รู้ว่าจะแสดงบทบาทนี้ออกมาอย่างไร ในเมื่อไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ยังไงก็ยังไม่น่าพอใจอยู่ดี คำพูดมากมายที่ผู้กำกับซวี่กวงพูดกับเธอนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ในการแสดงได้อย่างไร ตอนนี้เธอยังไม่สามารถทำให้คนรู้สึกถึงจิตวิญญาณของตัวละครนั้นได้เลย แล้วผู้กำกับซวี่กวงยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหนังของตัวเองขนาดนั้น บางครั้งก็ถึงกับเป็นบ้าเป็นหลังเลยก็ว่าได้ การแสดงของหลินหว่านในตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้เลย

 

 

เมื่อก่อนหลินหว่านไม่เคยเจอกับผู้กำกับที่แปลกประหลาดขนาดนี้ เธอรู้สึกผิดอย่างมาก ไม่รู้ว่าความช่วยเหลือของผู้กำกับซวี่กวงจะช่วยให้เธอแสดงฉากนั้นได้สำเร็จหรือเปล่า ถ้ายังทำให้เขาพอใจไม่ได้ นั่นคงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวของจริงแล้ว

 

 

“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ฉันเครียดเพราะการแสดงบทบาทนั่นมากเกินไปแล้ว ฉันรู้สึกจนจะทนไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้ให้ฉันออกไปผ่อนคลายสักหน่อยก็ดี โชคดีที่คุณมาพอดี ผู้กำกับซวี่กวงก็บอกให้ฉันพักวันหนึ่ง ให้ฉันศึกษาบทนั้น” หลินหว่านพูดพลางหยิบกระเป๋าเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก

 

 

เมื่อครู่เซียวจิ่งสือเห็นท่าทางอารมณ์บูดของหลินหว่านแล้วยังกังวลอยู่ว่าหลินหว่านจะไม่ยอมไปกับเขา แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเขาคิดมากไปเอง หลินหว่านแต่งตัวแล้วเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก

 

 

ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง การตกแต่งของที่นี่ดูสดใสแต่ยังดูหรูหรา เข้ามาถึงก็ได้กลิ่นหอมวานิลาอ่อนๆ บรรยากาศโดยรอบชวนให้อิ่มใจ แต่หลินหว่านดูเหมือนจะยังไม่สดชื่นขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ เซียวจิ่งสือถามเธอว่าจะทานอะไร แต่หลินหว่านให้เซียวจิ่งสือช่วยเลือกให้

 

 

เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้หลินหว่านหลุดจากความรู้สึกอมทุกข์ได้โดยเร็ว นักแสดงถูกผู้กำกับว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่การปกป้องหลินหว่านก็เป็นหน้าที่ของเขาเช่นกัน

 

 

เซียวจิ่งสือกลัวว่าจะพูดผิดไปสะกิดแผลใจให้หลินหว่านเสียใจ จึงได้แต่มองดูหลินหว่านก้มหน้าถอนใจ เขาไม่กล้าพูดจายั่วเย้าให้หลินหว่านขำขันเหมือนเมื่อก่อนอีก

 

 

เซียวจิ่งสือคิดไปคิดมาแล้วตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการของตัวเองทำให้หลินหว่านสบายใจขึ้นมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะไม่มีบรรยากาศตอนทานข้าว เขามองดูสภาพหลินหว่านคอตกแล้วตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเอามากๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สภาพจิตใจของหลินหว่านตอนนี้ต้องการการปลอบเป็นที่สุด

 

 

เซียวจิ่งสือลูบศีรษะหลินหว่านพูดว่า “หลินหว่าน ผมจะบอกคุณเรื่องหนึ่งนะ ในสายตาของผม ฝีมือการแสดงของคุณดีมากๆ แล้ว เมื่อก่อนผมดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่คุณเล่น มันดูสมจริงเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในนั้นจริงๆ เลย ผมว่าน่าจะเป็นเพราะผู้กำกับซวี่กวงนั่นสายตามีปัญหา ไม่ใช่เพราะคุณแสดงไม่ดีหรอก คุณแสดงได้ทรงพลังขนาดนั้น จะแสดงไม่ดีได้ยังไงกันล่ะ ผมว่าต้องใช่แน่ๆ เลย ต้องเป็นเพราะซวี่กวงสายตาไม่ดี ดังนั้นคุณก็อย่าเศร้าเสียใจไปเลยนะ” เซียวจิ่งสือพูดพลางยิ้มน้อยๆ มองหลินหว่านด้วยสายตาคาดหวัง

 

 

หลินหว่านฟังแล้วก็ยิ้มให้หน่อยหนึ่ง เธอเข้าใจตัวเองดี หลินหว่านรู้ว่าฝีมือการแสดงของเธอตอนนี้ยังไม่อาจทำให้ผู้กำกับซวี่กวงพอใจได้

 

 

ถึงแม้หลินหว่านจะยอมรับในสิ่งที่ผู้กำกับตำหนิเธอ และเธอก็รู้สึกขอบคุณผู้กำกับซวี่ที่เล่าประสบการณ์เหล่านั้นให้เธอฟัง หลินหว่านมักจะปลอบใจตัวเองเสมอว่าเธอเด็กกว่า การยอมรับคำตำหนิและเรียนรู้มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่พอถูกตำหนิเข้าจริงๆ เข้ากลับทำใจได้ยากยิ่งนัก

 

 

เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านฟังคำพูดเขาแล้วยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง ก็ใจชื้นขึ้นมาทันที จากนั้นก็สรรหาคำพูดมาปลอบหลินหว่านไม่หยุด

 

 

“หลินหว่าน เพราะงั้นคุณถึงดีที่สุดเลยอย่างไรล่ะ ฝีมือการแสดงคุณก็ดีมากจริงๆ คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าให้คำด่าว่าของคนอื่นมาทำให้ตัวเองเสียความมั่นใจสิครับ”

 

 

หลินหว่านเข้าใจดีว่าตัวเองไม่ดีพอ ผู้กำกับซวี่กวงต่อว่าเธอก็สมควรแล้ว แต่พอเห็นเซียวจิ่งสือที่คอยปกป้องเธออย่างสิ้นคิดแบบนี้แล้ว ในใจเธอนอกจากจะขำแล้วยังปลาบปลื้มตื้นตันเอามากทีเดียว

 

 

ด้วยคำปลอบโยนปนหยอกเย้าของเซียวจิ่งสือที่ระดมใส่มาไม่หยุด หลินหว่านสบายใจขึ้นไม่น้อยเลย เธอยิ้มออกมาได้ พูดคุยยิ้มหัวเราะกับเซียวจิ่งสือได้แล้ว หลินหว่านทำใจได้แล้ว เธอจะซึมซับและใช้สิ่งสำคัญที่ผู้กำกับซวี่กวงบอกกับเธอ แปลงความเศร้าเสียใจให้เป็นพลัง

 

 

“เซียวจิ่งสือ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วไปดูหนังกันนะ” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าดีขึ้นมาก

 

 

เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงเลยว่าหลินหว่านจะเป็นฝ่ายชวนเขาดูหนังด้วยกัน เขาดีใจจนออกนอกหน้า รีบหยิบมือถือขึ้นหาดูว่าช่วงสองสามวันนี้มีหนังรักเรื่องอะไรที่น่าดูบ้าง

 

 

“ดีครับ สุดยอดไปเลย ผมคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราสองคนยังมีเวลาดูหนังด้วยกันได้ ก่อนหน้านี้ผมกลัวว่าจะรบกวนการทำงานของคุณจึงไม่กล้าชวนคุณ ครั้งนี้คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นฝ่ายชวนผม งั้นผมก็ต้องตอบตกลงอยู่แล้ว เราดูหนังรักกันเถอะนะ เรื่องนี้เหมาะกับพวกเรามากเลย” เซียวจิ่งสือตื่นเต้นกระชุ่มกระชวยขึ้นมา หยิบมือถือตั้งท่าจะจองตัวหนัง

 

 

หลินหว่านคว้ามือถือจากมือเซียวจิ่งสือมาวางลงบนโต๊ะอาหาร เธอยิ่งนึกก็ยิ่งขำ แล้วก็นึกสงสารเซียวจิ่งสืออยู่บ้าง เธอคงต้องทำให้เขาผิดหวังแล้วล่ะ

 

 

หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือด้วยสายตาสงบนิ่ง พูดว่า “ฉันอยากจะดูหนังเก่าเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่แม่ฉันแสดงน่ะค่ะ หนังของหลางอี้…นักแสดงและนักเขียนบทชื่อดังของวงการบันเทิงในยุคนั้น คุณรู้จักเธออยู่แล้วนี่ ระหว่างทางขากลับฉันจะเล่ารายละเอียดให้คุณฟัง หนังเรื่องนี้ไม่ต้องไปดูที่โรงหนังค่ะ” หลินหว่านหยิบแผ่นซีดีที่ผู้กำกับให้เธอออกมา

 

 

เซียวจิ่งสือรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าตอนนี้หลินหว่านสบายใจขึ้นบ้าง ในที่สุดจึงได้แต่รับปากเธอ อันที่จริงโดยทั่วไปแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหว่าน เซียวจิ่งสือยอมเธอได้หมดนั่นแหล่ะ

 

 

“ที่แท้ก็ดูหนังเรื่องนี้เองเหรอ คุณอยากจะเรียนรู้บทหรือว่าแค่อยากจะเห็นฝีมือการแสดงของแม่คุณกันล่ะ” เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างสงสัย เขายังกอดความหวังอันน้อยนิดที่จะได้ไปดูหนังรักในโรงกับหลินหว่านอยู่ดี

 

 

“คุณก็รู้ดีว่าก่อนหน้านี้ผู้กำกับซวี่กวงต่อว่าฉันเพราะว่า มีฉากหนึ่งที่ฉันแสดงให้เขาพอใจไม่ได้ จนในที่สุดเขาแนะนำหนังเรื่องนี้ให้ฉันดู อันที่จริงคืนนี้พอเขาให้ฉันมาฉันก็รีบกลับไปดูทันที แล้วฉันก็พบว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แม่ฉันเคยแสดงไว้”

 

 

เซียวจิ่งสือหยิบขึ้นมาดูชื่อหนัง ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น

 

 

“หนังเรื่องนี้ทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คุณแน่ใจนะ ว่าแม่คุณเป็นคนแสดง” เซียวจิ่งสือคิ้วขมวด ท่าทีไม่อยากจะเชื่อนัก

 

 

“สมัยนั้นหนังเรื่องนี้มีเรื่องราวทางการเมืองซึ่งค่อนข้างอ่อนไหวอยู่มาก จึงไม่มีโอกาสได้ฉายในประเทศค่ะ” หลินหว่านรู้สึกแย่แทนแม่ของเธอ อุตส่าห์แสดงอย่างลำบากแต่กลับไม่ได้ออกฉาย

 

 

หลินหว่านพูดจบก็นึกถึงพล็อตของภาพยนต์ที่แม่ของเธอแสดง ในใจนั้นก็ไม่อยากจะดูอีก ตอนนั้นพอเธอเปิดหนังเรื่องนี้ขึ้นก็รู้สึกตกใจมาก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกได้จริงๆ ว่าแม่ของเธอแสดงดีมากเลย