แสดงฝีมือ
หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือทานข้าวเสร็จทั้งสองก็กลับห้องพักเปิดดูหนังเรื่องนี้กัน
“ว้าว ฝีมือแสดงยอดมากจริงๆ ถ้าผมได้ดูเงียบๆ สักรอบคงซาบซึ้งมากๆ เลย บทที่เธอเล่นเนี่ย คุณดูสิ ทุกรอยยิ้มสีหน้าท่าทางทำให้เห็นว่าอับจนและยอมจำนนต่อความยากจนข้นแค้นในชีวิต” เซียวจิ่งสือส่งเสียงจ้อกแจ้กอยู่ด้านข้าง
หลินหว่านทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเซียวจิ่งสือ ดวงตาวาววับทั้งคู่จับจ้องอยู่บนหน้าจอ เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเงียบแล้วยังดูเอาจริงเอาจังจนดูเหมือนยังอินในอารมณ์เสียด้วย สายตาเป็นประกายแวววาว ซึ่งทำให้เซียวจิ่งสือเข้าใจดีทีเดียว ไม่กล้าพูดจารบกวนเธออีก เขานั่งเป็นเพื่อนเธอดูหนังไปเงียบๆ อย่างว่าง่าย
แต่ที่เซียวจิ่งสือไม่เข้าใจก็คือ หลินหว่านดูแม่ของตัวเองแสดงบทบาทในฉากนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดูกลับไปกลับมาไม่หยุด หลังจากดูไปหลายรอบเซียวจิ่งสือก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณทำอะไรน่ะ ฉากนี้คุณต้องเรียนรู้จากเธอใช่ไหม หรือว่าเป็นเพราะแค่ฉากนี้ประทับใจคุณกันแน่”
หลินหว่านทำมือเป็นสัญญาณว่าอย่าส่งเสียง และไม่ได้หันมามองเซียวจิ่งสือเลย เธอยังคงมองนิ่งบนหน้าจอเหมือนเดิม
เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่ค่อยๆ จมดิ่งเข้าไป แล้วเข้าใจทันทีว่าการที่ผู้กำกับซวี่กวงแนะนำหนังเรื่องนี้ให้หลินหว่านก็เพื่อเรียนรู้จากฉากนี้ จะได้เข้าใจเทคนิคการแสดงนี้ จนทำให้สามารถแสดงฉากนั้นได้ในที่สุด
เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่ขมวดคิ้วน้อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนกับเธอกำลังเข้าไปอยู่ในฉากนั้นของเรื่องจริงๆ
เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็ไม่รบกวนหลินหว่านอีก แต่ไม่นานนักเขาก็หลับตาลงที่ด้านข้าง การที่ต้องดูหนังซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เซียวจิ่งสือรู้สึกเบื่อตั้งแต่แรกแล้ว
“ในที่สุดก็ดูจบซะที รู้สึกดีจัง ผู้กำกับซวี่กวงพูดไม่ผิดเลย ดูหนังเรื่องนี้จบเหมือนได้เพิ่มประสบการณ์มากมายจริงๆ ด้วย” หลินหว่านยิ้มพลางลุกขึ้นยืน
เซียวจิ่งสือรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที เงยขึ้นมองหลินหว่าน เขาจ้องหลินหว่านไม่วางตา แล้วก็พบว่าเธอกำลังค้นหาหนังอีกเรื่องมาเปิด สิ่งที่เหมือนกับเรื่องก่อนหน้าก็คือ ในเรื่องมีแม่ของหลินหว่าน
“คุณยังจะดูอีกเหรอ ไม่พักผ่อนเหรอ พรุ่งนี้คุณยังต้องถ่ายหนังอีกนี่นา ไว้พรุ่งนี้ค่อยดูเถอะนะ” เซียวจิ่งสือถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่อย่างนั้นคุณนอนไปก่อนเถอะ ฉันยังต้องดูหนังอีกหลายเรื่อง ไม่เป็นไรหรอก คุณวางใจเถอะน่า ถึงจะอดนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันหาเวลาพักผ่อนสักหน่อยก็ได้แล้ว” หลินหว่านพูดพลางเปิดหนังอีกเรื่อง เธอหรี่เสียงลงให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนเซียวจิ่งสือพักผ่อน
แม้ว่าเซียวจิ่งสืออยากจะให้หลินหว่านเข้านอนให้เร็วที่สุด แต่เขารู้นิสัยหลินหว่านดีว่าอะไรที่เธอได้ตัดสินใจไปแล้วก็ยากจะเปลี่ยนใจ อีกทั้งตอนนี้เธอเปิดหนังไปแล้ว เซียวจิ่งสือจึงไม่พูดอะไรอีก เขานอนบนโซฟาด้านข้างแล้วหลับไป
หลินหว่านดูหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า เธอยิ้มน้อยๆ บ้างร้องไห้ออกมาเบาๆ บ้าง เพราะเรื่องราวในหนัง ยิ่งกว่านั้นเพราะรู้สึกปวดร้าวปนปลาบปลื้มปใจ ที่สำคัญคือเธอได้เรียนรู้ในสิ่งที่นักแสดงมากมายต้องมี ได้มองดูคนเหล่านี้แสดงแต่ละบทบาทได้อย่างลึกซึ้งถึงจิตใจคน
หลินหว่านดูไปมากมาย หนังพวกนี้ทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือมีแม่ของเธอ นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนเธอไม่อยากพบเจอ และไม่เคยยอมเปิดออกดู สิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าเสมอมา แต่คืนนี้เธอหยิบออกมาดูมันทั้งหมดในรวดเดียว
หลินหว่านยิ่งดูก็ยิ่งประหลาดใจ เธอเกิดความคิดแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เธอเริ่มสงสัยคำพูดของคุณตาเธอที่เคยพูดไว้นั้น เป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่ หรือว่ายังมีเรื่องราวอื่นอีก
หลินหว่านรื้อหนังทุกเรื่องที่แม่เธอเคยเล่นออกมาดูจนจบ เธอตัดสินใจว่าจะเก็บความสงสัยของเธอไว้ในส่วนลึกของจิตใจชั่วคราวโดยจะไม่พูดออกไป แต่ในสมองของเธอจะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป
“หลินหว่าน ตื่นได้แล้ว วันนี้คุณต้องไปถ่ายหนังแล้ว ผมก็ต้องกลับบริษัทไปจัดการธุระการงานเสียที เมื่อครู่ผมเห็นคุณนอนหลับสนิทขนาดนั้น เลยไม่ได้ปลุกคุณ ตอนนี้ผมจะไปแล้ว คุณก็รีบตื่นเถอะ” เซียวจิ่งสือปลุกหลินหว่านให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน
เมื่อคืนกว่าหลินหว่านจะดูหนังจนจบก็เช้ามืดแล้ว ตื่นตอนเช้าเธอรู้สึกเหนื่อยล้ามาก แต่เมื่อคิดว่าต้องไปถ่ายหนังที่กองถ่ายอีก จึงต้องอาศัยแรงฮึดลุกขึ้นมา
“ทำไมไม่ปลุกฉันเร็วกว่านี้คะ ฉันยังไม่ได้ทำอาหารเช้าให้คุณทานเลย ไม่รู้ว่าต้องอีกกี่วันจึงจะได้เจอกันอีก เอาเถอะ คุณอย่าลืมซื้ออาหารเช้านะคะ บ๊ายบายค่ะ” หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือเปลี่ยนรองเท้าด้วยสายตาสลึมสลืออย่างไม่ตื่นดี
“ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวผมจะหาทานข้าวเช้าเอง คุณมีอะไรก็โทรหาผมนะ บาย ผมกลับบริษัทก่อนนะ” เซียวจิ่งสือเอ่ยลาหลินหว่านด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
หลินหว่านเห็นว่าสายแล้ว พออาบน้ำเสร็จก็รีบมาที่กองถ่ายทันที เธอนึกได้ว่าวันนี้มีฉากที่ตัวเองเคย NG ไปหลายครั้งมาก พอต้องถ่ายทำก็อดรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าหากวันนี้ยังแสดงได้ไม่ดีอีก ผู้กำกับซวี่กวงคงต้องอาละวาดแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะแค่โดนด่าง่ายๆ
หลินหว่านมาถึงแล้วจึงพบว่ามีผู้คนจำนวนมากมาถึงแล้ว รวมทั้งผู้กำกับซวี่กวงด้วย
“ผู้กำกับคะ สวัสดีค่ะ” หลินหว่านยิ้มน้อยๆ ตามมารยาท
วันนี้ผู้กำกับซวี่กวงดูเหมือนจะยังอารมณ์ดีอยู่ เมื่อเทียบกับเมื่อวันนั้นแล้ว เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มตามมารยาทเช่นกัน
“วันนี้ถ่ายฉากนั้นของคุณต่อ หนังที่ผมให้คุณไปคงได้ดูแล้วสินะ นั่นทำให้คุณได้เรียนรู้และรู้สึกอะไรบ้าง ผมหวังว่าอีกเดี๋ยวพวกเราจะถ่ายฉากนี้ได้สำเร็จ ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือคุณ ผมจะตั้งตารอดูคุณแสดงนะ” ผู้กำกับซวี่กวงพูดเสียงเรียบ
คราวนี้หลินหว่านไม่ทำให้ผู้กำกับซวี่กวงผิดหวัง เธอแสดงออกถึงความบ้าคลั่งในแบบสติเลอะเลือนจนลืมตัวได้อย่างพอดิบพอดีดังที่ผู้กำกับต้องการ เธอเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครจนไม่สนใจคนรอบข้างอีก เหมือนกับมีเธอเพียงลำพังเท่านั้นที่อยู่ในฉากนี้ ทำให้ผู้คนพากันประหลาดใจไปตามกัน
“ผ่าน ครั้งนี้ทำให้ผมพอใจได้จริงๆ ” ผู้กำกับซวี่กวงเผยรอยยิ้มออกมาได้ในที่สุด
ขณะที่ความรู้สึกนึกคิดของหลินหว่านยังไม่หลุดจากบทบาทนั้น ความรู้สึกที่ทำให้เธอจดจำฝังใจ พอเธอได้ยินเสียงผู้กำกับร้องว่า “ผ่าน” ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอรู้สึกดีใจมากจริงๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้อย่างมากในขณะแสดง และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีฝีมือการแสดงที่ก้าวหน้าขึ้น อีกทั้งได้ค้นพบว่าเธอมีพลังอย่างมากในตัวที่พร้อมจะระเบิดออก ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้หลินหว่านมีความสุขมาก
ซวี่กวงรู้สึกพอใจกับฉากนี้ในที่สุด เขามองหลินหว่านด้วยสายตาที่ยอมรับเธออย่างเปิดเผย
“หลินหว่าน วันนี้สุดยอดเลยนะ แค่สองวันเอง คุณก้าวหน้าไปมากจริงๆ เมื่อกี้ผมเห็นที่คุณแสดงแล้วยังขนลุกเลย เจ๋งมาก ความรู้สึกนี้ต้องรักษาเอาไว้ให้ดีล่ะ” รองผู้กำกับเข้ามาพูดกับหลินหว่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้เขารู้สึกเซอร์ไพรส์กับหลินหว่านอยู่บ้าง
“ค่ะ ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะคะ” หลินหว่านยิ้มพลางตอบรับ
หลินหว่านเห็นว่าคนอื่นยอมรับ เธอก็รู้สึกดีใจจากส่วนลึกของจิตใจ การพัฒนาตัวเอง…นี่เป็นสิ่งที่เธอไขว่คว้าหามาตลอด