TB:บทที่113 ขอบเขตกำเนิด
สองชั่วโมงผ่านไป เฉินหลงจะตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากที่เขาตื่นเขาก็พบกับสิ่งหนึ่งทันทีซึ่งก็คือพลังที่คาดไม่ถึงในร่างกายของเขา ช่วงเวลาที่เขาปรับลมหายใจ เขาก็ได้เลื่อนขั้นจากระดับปรมาจารย์ขั้นสูง มาเป็นระดับกำเนิด
“ให้ตายเถอะ มันผ่านง่ายขนาดนี้เลยหรอ?” เฉินหลงไม่ได้คาดหวังไว้จริงๆว่าจะผ่านระดับง่ายแบบนี้
ความจริงก่อนหน้านี้ พลังของเฉินหลงได้มาถึงจุดสูงสุดของปรมาจารย์ขั้นสูง มีเพียงโอกาสเดียวที่จะผ่านไปถึงขั้นกำเนิดและการรักษาหมินซีก็ทำให้พลังวิญญาณและพลังจิตของเฉินหลงผสานเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากที่เฉินหลงฟื้นตัว แรงพลังก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นซึ่งก็คือพลังที่ได้รับเปลี่ยนเป็นระดับขอบเขตกำเนิด
ถ้าเขามีพลังกำเนิดแล้ว เขาก็จะสามารถข่มพลังในร่างกายของเขาได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีข้อจำกัดของพลังทางร่างกายอยู่ จนกว่าเขาจะข้ามผ่านขีดจำกัดได้ พลังของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป เหมือนกับลู่หงและเทียซินที่กินยาต้าลี่เพิ่มขึ้นเมื่อพลังของพวกเขาถึงระดับสูงสุดจนไม่สามารถทนไหว ถ้าจะให้พลังของพวกเขาไม่เพิ่มขึ้นอีก พวกเขาต้องเลื่อนขั้นซึ่งยาต้าลี่ก็ไม่สามารถทำให้พลังของพวกเขาเลื่อนขั้นได้
หลังจากที่เฉินหลงตื่น เฉินหลงก็มองไปที่ลั่วฮุยที่กำลังนั่งมองภรรยาของเขาด้วยความรัก
“พี่สี่” เฉินหลงเรียก
“น้องเฉิน ตื่นแล้วหรอ เยี่ยมเลยแล้วตอนนี้พี่ต้องทำอะไรบ้าง?” เมื่อได้ยินเสียงของเฉินหลง ลั่วฮุยก็รีบหันไปมองเฉินหลงอย่างตระหนก
เฉินหลงที่ยืนอยู่ก็เดินไปส่งสัญญาณให้ลั่วฮุยหลีกทาง จากนั้นลั่วฮุยจึงรีบหลีกทางมาด้านข้าง
หลังจากที่เฉินหลงหายใจเข้าลึกๆ เฉินหลงก็เริ่มฝุ่งเข็มเงินไปที่ร่างของหมินซีทีละเข็ม
สิบหน้าที่ผ่านไป ในที่สุดเฉินหลงก็ฝั่งเข็มเงินบนร่างหมินซีจนครบจุดและจากนั้นก็ดึงออกแล้ว
เก็บใส่ไว้ในถุงผ้า
“เอาละ ความเย็นในตัวของพี่สะใภ้ถูกขับออกไปหมดแล้วและในร่างกายก็จะไม่มีพลังธาตุเย็นหลงเหลือในร่างกายเธอแล้ว แต่ยังไงร่างกายของเธอที่ถูกความเย็นกัดกร่อนมาหลายปีเลยทำให้เส้นลมปราณในร่างกายถูกทำลายไปเยอะจนแปรปรวน เกรงว่าเธอคงต้องเอาใจใส่ในการฝึกสักครึ่งปีก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัว” เฉินหลงพูดไปพร้อมเก็บเข็มลงกระเป๋า
“ขอบคุณมากนะน้องเฉิน แต่ทำไมตอนนี้เธอยังไม่ตื่นละ?” ลั่วฮุยเห็นหมินซียังไม่ฟื้นคืนสติ เขาจึงยังเป็นกังวล
“ตอนนี้ระบบการทำงานในร่างกายของพี่สะใภ้ค่อยๆเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ และอีกไม่นานเธอก็จะฟื้น” เฉินหลงงพูดจบเขาก็เดินออกไปข้างนอก ถ้ารอจนหมินซีตื่น เขาทั้งสองคงอดไม่ได้ที่จะต้องกอดกัน เฉินหลงจึงไม่อยู่ในห้องต่อเพื่อเป็นกางขวางคอ
ลั่วฮุยรู้ถึงความคิดของเฉินหลงจึงให้พ่อบ้านหลิวพาเฉินหลงออกไปด้านนอกและดูแลเขาเป็นอย่างดี ไม่กี่นาทีก่อนหน้าที่เฉินหลงออกมา หมินซีก็ค่อยลืมตาขึ้น เมื่อเธอเห็นลั่วฮุยใบหน้าของเธอก็แสดงรอยยิ้มและเรียกชื่อ “ฮุย”
“เสี่ยวซี” ลั่วฮุยดึงหมินซีเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้นลั่วฮุยก็ได้บอกเธอเกี่ยวกับการรักษาของเฉินหลง
“ฮุย พาฉันไปพบเขาหน่อยค่ะ ฉันอยากไปขอบคุณเขาต่อหน้า” อันหมินซีรับรู้ได้ว่าเธอไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเย็นอีกต่อไปแล้ว เธอได้กลับมาเป็นผู้หญิงปกติแล้ว จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้น
ลั่วฮุยห้ามเธอและพูดข้างหูเธอว่า “เสี่ยวซี ถึงแม้ความเย็นในร่างกายของคุณจะถูกขับออกไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ร่างกายของคุณยังคงอ่อนแออยู่นะ วันนี้พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ผมจะพาน้องเฉินมาพบและให้คุณได้พูดขอบคุณเขาต่อหน้าเลย” อันหมินซีพยักหน้า แล้วน้ำตาของเธอก็เริ่มพรั่งพรูออกมาด้วยความสุขด้วยที่เธอรอวันนี้มานานมากกว่าสิบปีแล้ว
ลั่วฮุยสวมเข้ากอดหมินซีพร้อมพูดว่า “เสี่ยวซี ไม่ต้องกังวลนะ ในอนาคตพวกเราจะต้องมีความสุขแน่” อันหมินซีกอดตอบลั่วฮุยพร้อมพยักหน้ารับไม่หยุด
พ่อบ้านหลิวรู้ว่าเฉินหลงเป็นแขกวีไอพีของลั่วฮุย ดังนั้น เขาจึงไม่ปล่อยปละละเลยเฉินหลง เขาต้องการให้เฉินหลงได้พักที่ห้องที่ดีที่สุดในบ้านพักและได้รับประทานอาหารที่ดีที่สุดด้วย
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เฉินหลงก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับพลังระดับขอบเขตกำเนิด
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ก่อนหน้าที่จะมีพลังระดับขอบเขตกำเนิด แรงของนิ้วเฉินหลงก็มีแรงของเขาเป็นปกติ แต่ครั้งนี้เรี่ยวแรงที่นิ้วของเขารู้สึกมีพลังลึกลับบางอย่างระหว่างสวรรค์และโลกอย่างเลือนราง ก่อนหน้าที่เขาจะมีพลังแบบนี้ เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาตัวเล็กมาก
“นี่พลังระดับขอบเขตกำเนิดจริงหรอ? มันแข็งแกร่งจริงๆ ปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิดนี่ช่างแข็งแกร่งจริงๆ แล้ววันนั้นคนพวกนั้นตอนอยู่ที่นั้นจะเป็นยังไงกันบ้างละ?” เฉินหลงได้นึกถึงหวังฮงผู้ที่เปลี่ยนปราณเป็นพลัง “เอาละ ยังไงสวรรค์และมนุษย์ก็อยู่ที่เดียวกัน ถึงมันจะยังห่างไกลสำหรับฉัน แต่โชคยังดีที่ฉันกับเขาเป็นมิตรกัน ถ้าได้คนอย่างเขามาเป็นศัตรู ไม่อย่างนั้นคงจะกินจะนอนลำบากน่าดู” เฉินหลงเริ่มคุ้นชินกับพลัง
ทีละน้อย ไม่นานเขาก็กลับไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เฉินหลงตื่นนอนและทานอาหารเช้า ลั่วฮุยก็ได้พาหมินซีมาหาเขาด้วย
“น้องชาย พี่สาวคนนี้ถูกช่วยชีวิตไว้ด้วยความช่วยเหลือของน้อง พี่สาวคนนี้ไม่สามารถทำอะไรตอบแทนน้องชายได้มากนัก พี่สาวจึงทำได้เพียงจดจำไว้ในหัวใจ แต่ขอให้พี่สาวคนนี้ได้คำนับน้องชายอย่างจริงใจและได้พูดขอบคุณตรงหน้าด้วยเถอะค่ะ” พูดจบ หมินซีก็คุกเข่าตรงหน้าเฉินหลงพร้อมกับลั่วฮุยที่ช่วยอยู่ด้วย
เฉินหลงรีบพุ่งเข้าไปประคองด้านข้างหมินซีและพูดกับเธอว่า
“พี่สาว ตั้งแต่ที่เรียกผมว่าน้องชาย ก็อย่าคุกเข่าให้น้องเลย แล้วตอนนี้ร่างกายของพี่สาวก็ยังไม่หายดี พี่สาวควรกลับไปพักก่อนจะดีกว่านะ” อันหมินซีดูจะไม่ค่อยฟังเฉินหลงนัก หลังจากที่ได้โค้งคำนับเฉินหลงด้วยตัวเอง เธอก็ลุกขึ้นยืน
“พี่สาวของฉันนอนบนเตียงมานานกว่าสิบปี มันดีมากจริงๆเลยนะที่ได้เห็นเธอสามารถเดินบนพื้นได้” พูดจบหมินซีก็ยิ้มให้เฉินหลง
เมื่ออันหมินซียิ้มให้เฉินหลง เฉินหลงก็รู้สึกได้ถึงดอกไม้นับร้อยที่กำลังเบ่งบานขึ้นมาทันทีจนอดบอกในใจไม่ได้ว่าพี่สี่โชคดีแค่ไหน
เฉินหลงได้พักอยู่ที่บ้านลั่วฮุยต่อสองวัน จากนั้นเขาก็ได้กลับเข้าเมือง เฉินหลงต้องการดูการฟื้นตัวของร่างกายหมินซี และเมื่อเห็นว่าการฟื้นตัวเป็นไปได้ด้วยดี เฉินหลงจึงได้กลับเข้าเมืองหลวง ก่อนกลับ หมินซีได้พูดบางอย่างกับเฉินหลงเมื่อเธออาการดีขึ้นแล้วว่าเธอจะเข้าเมืองหลวงไปพบเขา พอกลับมาถึงบ้านพักเมื่อเฉินหลงไม่พบกับผีที่ตามติดอย่างลู่เชียงเขาก็รู้โล่งใจ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะจากไปหลายวันนี้จะไม่ได้รับโทรศัพท์เธอและไม่ได้บอกให้เธอรู้ว่าเขาไปไหน ถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เธอรู้สึกขาดใจบ้าง
เมื่อเฉินหลงนั่งลงที่โซฟา เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่วิกฤต จากนั้นเขาก็พบว่าในห้องนั่งเล่นแห่งนี้มีคนอยู่มากกว่าหนึ่งคนนอกจากเขาซึ่งใบหน้าน้นสวมหน้ากากและมีพลังระดับขอบเขตกำเนิดเป็นผู้หญิง
“นายคือเฉินหลงหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นมองเฉินหลงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ไม่เลว” เฉินหลงสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังในร่างของหญิงสาวและตั้งท่าระวังเธอด้วย
“นายกล้ามากๆเลยนะ นายกล้ามากที่จะมาสู้กับตระกูลคง” ผู้หญิงคนนั้นจ้องเฉินหลงด้วยแววตาที่เยือกเย็น
“สู้กับตระกูลคงงั้นหรอ? ฉันไปสู้กับพวกตระกูลคงตอนไหนกัน?” เฉินหลงงงกับคำพูดของหญิงสาว