ตอนที่ 519 สองฝ่ายประจันหน้ากัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บนเทือกเขากายสิทธิ์เวลานี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและบรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง

เนื่องจากข่าวหนาหูเกี่ยวกับการปรากฏของสระกายสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นในครานี้ เหล่าจอมยุทธ์มากมายจากขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่ในดินแดนเทพมายาต่างก็มุ่งหน้ามาที่นี่ นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์อิสระทรงพลังหลายคนที่มาที่นี่เพื่อพิสูจน์ความวิเศษของสระกายสิทธิ์เช่นกัน

“ชิงเฟิง เทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นพลังและทิวทัศน์งดงามน่ามอง มันเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกยุทธ์ทีเดียว”

ณ พื้นที่ราบในบริเวณยอดเขา โอวหยางชิงเฟิงและเหล่าสมาชิกจากนครล่าฝันก้าวเดินกันอย่างไม่รีบร้อน พวกเขายังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนที่สระกายสิทธิ์จะปรากฏขึ้นมา พวกเขาจึงไม่ได้กระตือรือร้นกันนัก

“จริงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีวัตถุดิบหายากสำหรับหลอมโอสถและวัสดุสิ่งหลอมมากมายหลายอย่างในเทือกเขากายสิทธิ์นี้ มันเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว”

โอวหยางชิงเฟิงพยักศีรษะเห็นด้วยและกล่าวเสริม บัดนี้เขาและเยว่ชิงเฉิงปรับความเข้าใจตรงกันแล้วทว่าก็ยังไม่มีแผนการที่จะตบแต่งกันดังที่เคยมีการหมั้นหมายไว้

“ไม่รู้ว่าตอนนี้อวี้โม่จะมาถึงดินแดนเทพมายาแล้วรึยัง ?”

เมื่อนึกถึงฉินอวี้โม่—สหายที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนาน เยว่ชิงเฉิงก็รู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาเล็กน้อย ฉินอวี้โม่เป็นสหายคนสนิทที่ดีที่สุดของนางและการเดินทางมาดินแดนเทพมายาในครานี้ จุดประสงค์ประการแรกของนางก็คือการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองและประการที่สองก็เพื่อช่วยฉินอวี้โม่ในเรื่องต่าง ๆ เพราะเหตุนั้นนางและคนอื่น ๆ จึงตั้งตารอการมาถึงของฉินอวี้โม่มาโดยตลอด

“ไม่ต้องห่วงหรอก หากแม่นางอวี้โม่เหยียบเข้ามาในดินแดนเทพมายาแล้ว นางจะมาที่นี่เป็นแน่ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกัน”

ฉีอวี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาเองก็ตั้งตารอว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่เติบโตและพัฒนาขึ้นมากเพียงใดแล้ว

“ฮ่า ๆ  ๆ ข้ารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ที่พวกเจ้ากล่าวถึงคงจะไม่มาหรอก”

ในขณะที่หลายคนกำลังสนทนากันอย่างสบาย ๆ อยู่นั้น คนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งหน้าตรงเข้ามาจากฝั่งตรงข้ามและกล่าวเย้ยหยันอย่างเปิดเผย

เมื่อเห็นหัวหน้ากลุ่มซึ่งเป็นเจ้าของเสียงดังกล่าว โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้วทันทีทว่าสีหน้าไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใด ๆ

“หุบปาก เฟิ่งซี หากเจ้าไม่เอ่ยปากกล่าวอะไรออกมา ก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก !”

เยว่ชิงเฉิงจำได้ดีว่าคนผู้นี้เป็นใครและเริ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างดุร้าย

เจ้าของวาจาหยามเหยียดนี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นศิษย์ผู้มากพรสวรรค์ของนิกายหงส์มังกรซึ่งพยายามหาเรื่องสร้างปัญหากับนครล่าฝันของพวกเขามาโดยตลอด—เฟิ่งซี

ความแข็งแกร่งของเฟิ่งซีผู้นี้ไม่ต่างจากพวกเขามากนักทว่าเขาเป็นคนโอหังและโหดเหี้ยม ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาทำร้ายและสร้างปัญหาให้กับสมาชิกของนครล่าฝันมาแล้วมากมาย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการก้าวก่ายของขุมกำลังอื่น ๆ แม้นิกายหงส์มังกรวางแผนที่จะทำลายนครล่าฝันจนสิ้นซากมานาน แต่พวกเขาก็ไม่กล้ากระทำสิ่งใดบุ่มบ่ามมากนัก

“เหอะ ปากนี้เป็นของข้า ข้าจะกล่าวอะไรก็ได้ที่ข้าต้องการ มันเกี่ยวอะไรกับเจ้างั้นรึ ?!”

เฟิ่งซีแค่นเสียงเย็นชาทันที นิกายหงส์มังกรของพวกเขาไม่ถูกกับนครล่าฝันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ชอบหน้าโอวหยางชิงเฟิงและคนเหล่านี้ ทุกคราที่พบหน้ากัน พวกเขามักเยาะเย้ยและกล่าววาจาหยามเหยียดกันเสมอ ทว่าแทบไม่เคยลงมือต่อสู้กันอย่างจริงจัง

ถึงอย่างไรแล้วแม้ว่าเฟิ่งซีจะแข็งแกร่งพอสมควร โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็มิใช่ผู้ที่จะท้าทายได้ง่ายนัก พวกเขาไม่มีทางที่จะยอมให้ผู้ใดมาข่มเหงรังแก

ข่าวเรื่องของเทพมายาคนใหม่ก็แพร่ไปถึงขุมกำลังทรงพลังส่วนใหญ่ของดินแดนเทพมายาแล้ว ทว่ามีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบชื่อของผู้ครองกายวิเศษดังกล่าว เพราะเหตุนั้นเฟิ่งซีจึงเข้าใจไปเองว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงสหายคนหนึ่งของเหล่าศัตรูตรงหน้า เขาจึงกล่าวเย้ยหยันออกไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“เหอะ !”

เยว่ชิงเฉิงแค่นเสียงเย็นชาและไม่ต้องการเสียเวลากับเฟิ่งซีอีกต่อไป เวลานี้นางและสหายทั้งหลายเพียงแค่กำลังคิดกันว่าจะได้พบกับสหายอวี้โม่หรือไม่ พวกนางไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่กับเฟิ่งซีเพียงเพราะเรื่องไร้สาระเช่นนี้

โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็เมินเฉยต่อกลุ่มของเฟิ่งซีและมุ่งหน้าต่อไปทันที

พวกเขาเพียงไม่ต้องการมีเรื่องกับกลุ่มของเฟิ่งซีที่นี่ อย่างไรก็ตาม นั่นมิได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้พวกเขาเดินจากไปง่าย ๆ

“ไสหัวไป !”

เมื่อเห็นหลายคนตรงเข้ามาขวางหน้า ปิงเสวียนก็กล่าวอย่างเยือกเย็น

หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานหลายปี ลักษณะนิสัยของเขายังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากสหายที่เขาปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจแล้ว คนอื่นและสิ่งอื่นใดไม่มีผลหรือทำให้เขาวอกแวกได้แม้แต่น้อย

“จิ๊ จิ๊ ! ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูเหมือนเจ้าจะโอหังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ก่อนหน้านี้ข้าไม่สนใจเจ้าเพราะมันมิใช่เวลาที่เหมาะสม ทว่าครานี้ในเมื่อพบกันแล้ว หากข้าไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง มันก็คงจะน่าเบื่อมากเกินไป”

เฟิ่งซีไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและยังให้คนของตนขัดขวางกลุ่มของโอวหยางชิงเฟิงต่อไปโดยไม่คิดที่จะหลีกทางให้

“โอ้ นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดสินะ วันนี้เมื่อมีความได้เปรียบในด้านจำนวน เจ้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ในการรังแกพวกข้าใช่รึไม่ !”

เยว่ชิงเฉิงตระหนักถึงแผนการของเฟิ่งซีได้ในทันทีและอดกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามไม่ได้ ทว่ายังคงไม่มีความหวาดหวั่นใจแต่อย่างใด

ฝ่ายของเฟิ่งซีในตอนนี้มีสมาชิกมากกว่าสิบคนโดยทุกคนอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้า ในขณะเดียวกัน ฝ่ายของพวกเขามีสมาชิกเพียงห้าคนเท่านั้นและมีพลังอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร พวกเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบในการประจันหน้าครานี้

“ฮ่า ๆ ๆ ฉลาดดีนี่ ทว่าต่อให้เจ้ารู้แผนการของข้า แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ? ในเมื่อพวกเจ้ามีจำนวนน้อยกว่า พวกเจ้าก็ทำได้เพียงแค่ยอมทนให้พวกเรารังแกเท่านั้น”

เฟิ่งซีกล่าวพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาต้องการสั่งสอนบทเรียนให้คนเหล่านี้ได้รู้สำนึกมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปิงเสวียนที่ทำให้เฟิ่งซีชิงชังอย่างที่สุด

ในอดีตที่ผ่านมานี้ เขาและปิงเสวียนเคยประมือกันมาก่อนครั้งหนึ่ง แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะไม่แตกต่างกันนัก ทว่าเฟิ่งซีก็ไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะไม่ใช่คู่มือของปิงเสวียนแม้แต่น้อยและท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ไปอย่างน่าอับอาย

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการปะทะครานั้นมีผู้ชมหลายคน เฟิ่งซีผู้เป็นศิษย์ที่มากพรสวรรค์ที่สุดของนิกายหงส์มังกรจึงเสียหน้าอย่างที่สุด

แน่นอนว่าเขาทั้งเคียดแค้นและเกลียดชังปิงเสวียนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าการต่อสู้ตัวต่อตัวก็มิใช่ทางเลือกเพราะเขาไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย เหตุนั้นเขาจึงจำต้องยอมรับชะตากรรมอย่างไม่เต็มใจนัก ครานี้ในเมื่อมีโอกาสดีได้พบกันอีกครั้งและสมาชิกฝ่ายของเขามีจำนวนมากกว่า แน่นอนว่าเฟิ่งซีไม่พลาดโอกาสที่จะเอาคืนและทำให้พวกของปิงเสวียนเสียหน้ายิ่งกว่าตนเอง

“ไม่ว่าใครจะรังแกใครมันก็ไม่ได้วัดกันที่จำนวนคน”

ลั่วเฉินยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่า เขาก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“ข้าเองก็ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาสักพักแล้ว ครานี้ก็เป็นเวลาดีที่ข้าจะได้ออกแรงสักหน่อย !”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาฝึกยุทธ์กันอย่างแข็งขันเพื่อสั่งสมประสบการณ์และพัฒนาฝีมืออย่างไม่หยุดหย่อน อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างขุมกำลังใหญ่จะตึงเครียดมาตลอด แต่พวกเขาก็ได้ลงมือออกแรงเพียงน้อยครั้งเท่านั้น บัดนี้เมื่อมีโอกาสได้ใช้ทักษะและแสดงฝีมือเสียที แน่นอนว่าพวกเขามีความสุขอย่างยิ่ง

“เหอะ ยโสโอหังนัก !”

เฟิ่งซีแค่นเสียงเย็นชา เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและโบกมือส่งสัญญาณให้คนของตนส่วนหนึ่งลงมือจู่โจมกลุ่มของโอวหยางชิงเฟิงทันที คนอื่น ๆ ส่วนที่เหลือก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนราวกับกำลังป้องกันมิให้คนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวได้

กลุ่มคนทั้งห้าของฝ่ายโอวหยางชิงเฟิงหันมองหน้ากันขณะอาวุธปรากฏขึ้นในมือและพวกเขาเข้าประจันหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล

พวกเขาไม่กลัวเกรงคนเหล่านี้เลยสักนิด แม้การต่อสู้สองต่อหนึ่งคนจะนำพาความน่าปวดหัวมาไม่น้อย ทว่านั่นก็มิได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ไป

เวลานี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบโล่งบนภูเขาและการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแผ่พลังแกร่งกล้าออกไปจนดึงดูดความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมาทันที

เวลานี้ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางของนางก็เพิ่งมาถึงเชิงเขาเท่านั้น

“นายหญิง ดูเหมือนจะมีกลุ่มคนกำลังต่อสู้กันอยู่บนยอดเขา”

เมื่อสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่ปั่นป่วนและรุนแรงที่แผ่มาจากยอดเขา มารยาก็กล่าวบอกกับฉินอวี้โม่ทันที

“คนเหล่านั้นเป็นใครกัน ไม่คาดคิดว่าเมื่อไปถึงบนยอดเขาก็จะเริ่มสู้กันตั้งแต่ตอนนี้แล้ว”

วังหลงมองไปยังทิศทางของยอดเขาและกล่าวขึ้นเบา ๆ

แท้ที่จริงแล้วเขามั่นใจได้เลยว่าคนเหล่านั้นที่กำลังต่อสู้กันจะต้องเป็นสมาชิกจากขุมกำลังใหญ่อย่างแน่นอน เพราะหากเป็นขุมกำลังเล็กที่ประจันหน้ากัน พวกเขาไม่สามารถก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่เช่นนี้ได้

ณ บริเวณเชิงเขา เหล่าจอมยุทธ์ก็กำลังมุ่งหน้าขึ้นไปสู่ยอดเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคณะ คนเหล่านั้นล้วนมองมาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

ถึงอย่างไรแล้วตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็แต่งกายด้วยอาภรณ์บุรุษและสวมผ้าคลุมบดบังใบหน้า ไม่มีใครมองเห็นรูปลักษณ์ใบหน้าที่แท้จริงของนางได้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากการทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยในตัวตนของนางแล้ว มันก็มิอาจทำให้พวกเขาเหล่านั้นลงมือทำอะไรได้

“ไปกันเถอะ ขึ้นไปดูด้วยตาของตัวเองกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และความคาดหวังก็ก่อตัวในหัวใจ นางรู้สึกได้ว่าอาจได้พบสหายในครานี้และตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง

“เฮ้ เจ้าได้ยินมารึไม่ ? ว่ากันว่ากลุ่มคนที่ต่อสู้กันอยู่บนยอดเขาคือคนจากนครล่าฝันและนิกายหงส์มังกร !”

เมื่อมุ่งหน้าใกล้ถึงช่วงครึ่งทางของภูเขา เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทว่ามันดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่ได้ทันที

“จริงรึ ? เหตุใดพวกเขาจึงพบปะกันเร็วเช่นนี้ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้น สหายของเขาก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้

นครล่าฝันและนิกายหงส์มังกรเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกัน ซึ่งทุกคนในดินแดนเทพมายาต่างก็ทราบถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี พวกเขาทราบอยู่แล้วว่าหากสองขุมกำลังนี้พบกัน การประจันหน้าครั้งดุเดือดจะเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะพบปะและประจันหน้ากันอย่างรวดเร็วเพียงนี้

“กล่าวได้เพียงแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่โชคชะตาฟ้าลิขิต อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่าครานี้นครล่าฝันส่งตัวแทนเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ห้าคนมาที่นี่ ส่วนคนจากฝ่ายนิกายหงส์มังกรก็ไม่อ่อนแอเลยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีฝีมือพอสมควร สงครามระหว่างพวกเขาเป็นเหตุการณ์ที่น่าดูชมอย่างยิ่ง”

ผู้ที่กล่าวขึ้นก่อนหน้านี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉย

“ไม่รู้ว่าห้าคนจากนครล่าฝันเหล่านั้นเป็นใคร แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขุมกำลังที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงไม่นาน แต่พวกเขาก็มีจอมยุทธ์ฝีมือดีจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกของพวกเขาก็ล้วนมาจากดินแดนระดับต่ำ การที่พวกเขามีฝีมือแกร่งกล้าเช่นนี้ทำให้จอมยุทธ์จากดินแดนเทพมายาอย่างเรา ๆ ละอายใจไม่น้อย”

อีกคนที่สงสัยใคร่รู้กล่าวแสดงความชื่นชมต่อนครล่าฝันอย่างชัดเจน

‘นครล่าฝัน’ เป็นขุมกำลังที่ชาวดินแดนเทพมายามากมายต่างก็สงสัยและต้องการทราบข้อมูล อีกทั้งผู้นำของนครล่าฝันก็ยังเป็นจอมยุทธ์ผู้โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีในดินแดน รวมถึงสมาชิกของพวกเขาก็ล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์และมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาบุรุษรูปงามหล่อเหลาและโฉมนารีงดงามชวนมองจากขุมกำลังดังกล่าวก็ดึงดูดใจผู้คนภายนอกเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าน่าเสียดายที่นครล่าฝันไม่เคยเปิดรับศิษย์สาวกใหม่ ๆ แม้ว่ามีจอมยุทธ์มากมายคาดหวังจะเข้าร่วมกับพวกเขา คนเหล่านั้นก็ไม่เคยมีโอกาสได้สมหวังตามที่ปรารถนา

ฉินอวี้โม่ก็ต้องการทราบว่าคนทั้งห้าคือผู้ใด ทว่าบุรุษที่กล่าวขึ้นในตอนแรกเพียงส่ายศีรษะเบา ๆ ด้วยความไม่รู้

เมื่อตระหนักว่ามิอาจหาข้อมูลจากเขาได้ นางก็หันกลับไปหาคณะเดินทางของตนและเร่งฝีเท้าขึ้นไปที่ยอดเขาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าวังหลงและคนอื่น ๆ จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงเร่งฝีเท้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาก็คาดเดาได้เพียงว่ามันคงจะเกี่ยวข้องกับนครล่าฝัน จากนั้นทุกคนก็ก้าวตามจังหวะฝีเท้าของฉินอวี้โม่เพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็ว

“คนพวกนี้ดูลึกลับชะมัด…”

เมื่อเห็นบุรุษภายใต้หน้ากากลึกลับและคณะเดินทางที่รีบมุ่งหน้าขึ้นภูเขา หลายคนที่ยังอยู่เบื้องหลังก็อดถอนหายใจไม่ได้ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก

อย่างไรก็ตาม บนยอดเขาในเวลานี้ การต่อสู้ของเฟิ่งซีและโอวหยางชิงเฟิงซึ่งติดอยู่ในสภาวะชะงักงันก่อนหน้านี้กลับถูกแทรกแซงด้วยขุมกำลังอื่นที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

.

.