โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ประจันหน้ากับฝ่ายนิกายหงส์มังกรอยู่พักใหญ่และยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้สีหน้าของเฟิ่งซีเหยเกจนดูไม่ได้
เฟิ่งซีไม่ลังเลและสั่งให้คนอื่น ๆ เข้าร่วมการต่อสู้ทันทีในขณะที่ตัวเขาตรงเข้าไปประจันหน้ากับปิงเสวียน
อย่างไรก็ตาม การเข้าไปประจันหน้าด้วยตัวเองของเขามิอาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้เลย ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ ล้วนแกร่งกล้าและมากด้วยประสบการณ์การต่อสู้จนเขาถึงกับจนปัญญาไปช่วงหนึ่ง
เฟิ่งซีไม่ทุกข์ร้อนมากนักเพราะคิดว่าหากถ่วงเวลาต่อไป ฝ่ายของโอวหยางชิงเฟิงที่มีคนน้อยกว่าจะตกเป็นรองไปในที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ที่นี่คึกคักดีจริงเชียว !”
ท่ามกลางสภาวะชะงักงัน เสียงหัวเราะหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคน โอวหยางชิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีในขณะที่ใบหน้าของเฟิ่งซีคลี่ยิ้มกว้างครู่หนึ่ง
เมื่อหันไปมองทางต้นเสียง เฟิ่งซีก็มองเห็นกลุ่มคนที่มุ่งหน้าเข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่งและกล่าวทักทาย “เซิ่งเซียว ท่านมาถึงเร็วจริง ๆ !”
กลุ่มผู้มาใหม่นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเซิ่งเซียวจากอารามโชติช่วงพร้อมด้วยศิษย์คนอื่น ๆ ของอาราม
ก่อนหน้านี้เซิ่งเซียวและพรรคพวกขึ้นมาถึงยอดเขาจากอีกทิศทางหนึ่ง ทว่าเมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการต่อสู้อันดุเดือด พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าตรงมาด้วยความอยากรู้ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ
“ไม่ใช่ว่าท่านมาถึงเร็วกว่าข้าอีกรึ ?”
เซิ่งเซียวกล่าวตอบโต้เบา ๆ และไม่แสดงปฏิกิริยาใดมากนัก
แม้ว่านิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงจะเป็นพันธมิตรกัน มันก็มิได้หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขุมกำลังทั้งสองจะดีต่อกันมากนัก อย่างมากพวกเขาทั้งสองฝ่ายก็เพียงร่วมมือกันเป็นครั้งคราวและเมื่อใดที่กำจัดศัตรูทั้งหมดไปได้จนสำเร็จ พวกเขาก็จะกลายเป็นคู่อริกันในไม่ช้า
“เซิ่งเซียว ไม่ต้องกล่าวอะไรมากหรอก นครล่าฝันเป็นศัตรูของเราทั้งสองขุมกำลัง ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ ล้วนเป็นศิษย์ฝีมือดีของนครล่าฝัน หากเราจัดการพวกเขาเสียที่นี่ เราจะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ต่อนครล่าฝันอย่างแน่นอน !”
เฟิ่งซีไม่สนใจทัศนคติท่าทางของเซิ่งเซียวเพราะรู้จักคนผู้นี้เป็นอย่างดี ภายนอกนั้นเซิ่งเซียวอาจดูเหมือนเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่มีพิษภัย ทว่าแท้จริงแล้วภายในเปลือกนอกนั้นเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมและชั่วร้ายยิ่งกว่าใคร
ยิ่งไปกว่านั้น อารามโชติช่วงก็มิได้สว่างไสวและน่านับถือดังชื่อ ทว่ากลับตรงกันข้าม มันเป็นขุมกำลังที่ชั่วช้าอย่างยิ่ง
เซิ่งเซียวเห็นด้วยกับวาจาของเฟิ่งซี เขาไม่รอช้าและสั่งคนทั้งกลุ่มของตนให้เข้าร่วมการต่อสู้ทันที
ทันใดนั้น โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ติดพันอยู่กับคู่ต่อสู้ที่มีพลังอยู่ในระดับเดียวกันถึงห้าคน สถานการณ์เริ่มยุ่งเหยิงและเสียเปรียบมากขึ้น
เวลานี้ผู้ชมหลายคนให้ความสนใจกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นและเข้ามาชมโดยรอบ เมื่อเห็นคนจากอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรล้อมโจมตีจอมยุทธ์จากนครล่าฝัน พวกเขาเหล่านั้นก็อดรู้สึกรังเกียจกับการกระทำของทั้งสองขุมกำลังไม่ได้และแอบเอาใจช่วยฝ่ายของนครล่าฝันอยู่ภายในใจ
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกร พวกเขาก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถึงอย่างไรแล้วทั้งอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรก็เป็นขุมกำลังขั้วอำนาจใหญ่ในดินแดนเทพมายาและพวกเขาไม่ต้องการสร้างความบาดหมางหรือทำให้คนเหล่านี้ไม่พอใจ
แรงกดดันที่โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ต้องเผชิญเพิ่มมากขึ้นทีละน้อยและสถานการณ์เริ่มตึงมือมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเยว่ชิงเฉิงผู้ซึ่งอ่อนแอกว่าคนอื่น ๆ เล็กน้อย นางตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหลายครั้งหลายคราซึ่งทำให้คนอื่น ๆ กังวลใจยิ่งนัก
“บัดซบ !”
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงสังเกตเห็นว่าเยว่ชิงเฉิงตกอยู่ในภาวะอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็กัดฟันจู่โจมคู่ต่อสู้ทั้งหมดตรงหน้าจนกระเด็นออกไปและสบถออกมา
เมื่อถูกกระแทกออกไปโดยพลังมหาศาลที่ปะทุออกมาอย่างกะทันหันของโอวหยางชิงเฟิง คนเหล่านั้นก็ชะงักไปด้วยความตกใจทันที
ในขณะที่พวกเขาเหล่านั้นตกตะลึงอยู่ โอวหยางชิงเฟิงก็ฉวยโอกาสนี้พุ่งตรงออกไปยืนตรงหน้าเยว่ชิงเฉิงเพื่อช่วยนางจัดการกับคู่ต่อสู้รอบตัว
“ชิงเฉิง หาจังหวะหลบออกไปก่อนและไปตามหาคนมาช่วยพวกเรา”
โอวหยางชิงเฟิงรับมือกับคู่ต่อสู้หลายคนตรงหน้าขณะกล่าวกับสตรีร่างบางเพื่อให้นางหาจังหวะเหมาะสมหลบหนีออกไปจากวงล้อมนี้
เหล่าผู้ที่ล้อมรอบโอวหยางชิงเฟิงก่อนหน้านี้ก็เรียกสติกลับคืนมาและเข้ามารุมล้อมเขาอีกครั้ง ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา สถานการณ์ก็กลายเป็นคู่ต่อสู้สิบคนรุมโจมตีโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงพร้อมกันจนทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหลายครา
“ไม่ ! ข้าไม่มีวันทอดทิ้งสหายไว้เบื้องหลัง”
แน่นอนว่าเยว่ชิงเฉิงไม่เห็นด้วยและส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของโอวหยางชิงเฟิงในทันทีขณะเหวี่ยงอาวุธในมือออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อขัดขวางการโจมตีของศัตรูรอบตัว
ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าสหายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายและความกังวลก่อตัวขึ้นมาในใจ อย่างไรก็ตาม ขณะเผชิญหน้ากับศัตรูหลายคนรอบตัว สถานการณ์ของพวกเขาก็ถือว่าตึงมือมากแล้ว ส่งผลให้ไม่มีหนทางที่จะช่วยเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงได้เลย
เมื่อเห็นว่าปิงเสวียนและลั่วเฉินยังคงรับมือกับคู่ต่อสู้โดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด เฟิ่งซีและเซิ่งเซียวก็มองหน้ากันขณะเข้าร่วมต่อสู้เพื่อล้อมโจมตีเอาชนะพวกเขาทีละคน
ปิงเสวียนและลั่วเฉินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อย การผนึกกำลังของเซิ่งเซียวและเฟิ่งซีทำให้พวกเขาได้เพียงป้องกันตัวอย่างไร้พลังตอบโต้
ตู้มมม !
โอวหยางชิงเฟิงมองเห็นใครหนึ่งกำลังโจมตีเยว่ชิงเฉิงและนางไม่มีทางป้องกันได้ทัน เขาจึงไม่ลังเลและพุ่งตรงไปปรากฏตรงหน้าเยว่ชิงเฉิงเพื่อขัดขวางฝ่ามือนั้นไว้
พรวดดด !
เห็นได้ชัดแล้วว่าโอวหยางชิงเฟิงได้รับบาดเจ็บพอสมควรจากการที่กระอักเลือดคำโตออกมาเช่นนี้
“บัดซบ !”
เมื่อเห็นโอวหยางชิงเฟิงบาดเจ็บ ใบหน้าของเยวี่ชิงเฉิงก็ครอบงำไปด้วยความโกรธแค้นทันที นางยังไม่ต้องการใช้ ‘ไพ่ตาย’ ใบสำคัญของตนรวดเร็วนัก ทว่าครานี้เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ แข็งแกร่งเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะสั่งสอนบทเรียนให้กับพวกเขาด้วยตัวเอง !
“ชิงเฟิง ก่อนหน้านี้เจ้าสงสัยใช่รึไม่ว่าข้ากำลังหมกมุ่นทำอะไรบางอย่าง ? วันนี้เจ้าจะได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว !”
เยว่ชิงเฉิงมองไปที่โอวหยางชิงเฟิงซึ่งมีใบหน้าซีดเซียวก่อนตวัดสายตาเย็นชามองไปที่เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ จากนั้นวัตถุสองชิ้นที่โอวหยางชิงเฟิงไม่เคยพบเห็นก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
หากฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ นางจะต้องประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเยว่ชิงเฉิง…เพราะสิ่งนั้นคืออาวุธที่ดูคล้ายคลึงกับ ‘ปืนพก’ จากสมัยศตวรรษ 21 !
“เหอะ ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าได้เห็นว่ายอดนักประดิษฐ์อันดับหนึ่งของดินแดนเทพมายาทรงพลังเพียงใด !”
เยว่ชิงเฉิงแค่นเสียงเย็นชาขณะเล็งปลายอาวุธตรงไปยังศัตรูที่กำลังโจมตีตนเองและออกแรงกดที่ปลายนิ้วมือ
เห็นได้ชัดว่าจู่ ๆ ก็มีวัตถุสีดำพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงจากกระบอกปืนในมือของเยว่ชิงเฉิงและพุ่งตรงไปยังคู่ต่อสู้สองคนตรงหน้า
ปัง ! ปัง !
หลังจากสิ้นเสียงดังสนั่นสองครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและก็ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าวัตถุประหลาดสองชิ้นในมือของเยว่ชิงเฉิงจะทำให้จอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าบาดเจ็บได้
แต่ทว่า…พวกเขาคิดผิดอย่างมหันต์ !
ทันใดนั้น จอมยุทธ์สองคนที่พุ่งตรงเข้าโจมตีเยว่ชิงเฉิงเมื่อครู่นี้ก็หยุดการเคลื่อนไหวและมองนางด้วยแววตาหวาดกลัว
โครม ! โครม !
ร่างของทั้งสองล้มลงบนพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังและเลือดสดค่อย ๆ ไหลออกจากตำแหน่งหัวใจของพวกเขา
หากสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่ามี ‘บางสิ่งบางอย่าง’ พุ่งทะลุทะลวงช่องอกของพวกเขาและปลิดชีพคนทั้งสองไปในทันที
สีหน้าของอีกแปดคนรอบตัวเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ขณะสายตาจับจ้องไปที่ปืนพกสองกระบอกด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัวปนตกตะลึงสุดขีด
มันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้ว่าพลังจะไม่รุนแรงนัก มันก็สังหารจอมยุทธ์สองคนได้ในทันที ‘สองสิ่งนั้น’ ที่ดูประหลาดในมือของเยว่ชิงเฉิงคืออะไรกันแน่ ?
“ฮ่า ๆ ๆ สิ่งที่อวี้โม่บอกข้าก่อนหน้านี้เป็นประโยชน์มากจริง ๆ !”
เมื่อเห็นคนทั้งสองที่ถูกสังหารไปโดยการยิงเพียงคนละนัดและสีหน้าหวาดกลัวเกินกว่าจะเคลื่อนไหวของคนอื่น ๆ เยว่ชิงเฉิงก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ
โอวหยางชิงเฟิงมองดูปืนลักษณะไม่เหมือนใครในมือของเยว่ชิงเฉิงด้วยความฉงนสงสัยอย่างที่สุด เขาเองก็ไม่รู้จักอาวุธชนิดนี้เช่นกัน
“ชิงเฉิง นี่มันคืออะไรกัน ?!”
ขณะมองดูปืนในมือของเยว่ชิงเฉิงด้วยความสงสัยใคร่รู้ โอวหยางชิงเฟิงก็แสดงแววตาหวาดหวั่นอย่างยิ่งและต้องการทราบว่ามันคือสิ่งใด
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คืออาวุธลับที่ข้าศึกษามานานซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธระดับวิจิตรเสียอีก มันมีชื่อว่า ‘ปืนพก’ นี่คือสิ่งที่อวี้โม่เคยบอกข้าก่อนหน้านี้และข้าพยายามศึกษาวิจัยมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มีเพียงสองกระบอกเท่านั้น”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ ฉินอวี้โม่เคยกล่าวว่านี่คือศาสตร์ของการประดิษฐ์และการเล่นแร่แปรธาตุ ปืนสองกระบอกนี้ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธระดับวิจิตรหลายเท่าและเป็นอาวุธสำหรับการป้องกันตัวที่ดีอย่างยิ่ง
“ปืนพกงั้นรึ ?”
โอวหยางชิงเฟิงไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็พอจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาเมื่อรู้ว่าปืนพกนี้เป็นสิ่งที่เยว่ชิงเฉิงได้มาจากฉินอวี้โม่
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง ตอนนี้จัดการคนพวกนี้ก่อนเถอะ !”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มอย่างพึงพอใจและชี้ปากกระบอกปืนไปยังกลุ่มคนตรงหน้า
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นปากกระบอกปืนเล็งมาที่ตน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
“เหอะ ก็แค่ลูกไม้ตื้น ๆ ข้าก็อยากรู้นักว่าสิ่งนั้นจะทรงพลังสักเพียงใด !”
ใครคนหนึ่งแค่นเสียงเย็นชาออกมาและม่านป้องกันก็ปรากฏตรงหน้าเพื่อป้องกันตัวเขา
คนอื่น ๆ ก็ไม่ขยับเขยื้อนขณะมองไปที่คนผู้นั้นด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ต้องการทดสอบเช่นกันว่า ‘ปืนพก’ ในมือของเยว่ชิงเฉิงจะฝ่าผ่านม่านป้องกันของคนผู้นั้นได้หรือไม่
“ตามที่ปรารถนา”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มรับแต่โดยดี นางต้องการทดสอบพลังของผลงานชิ้นเอกนี้เช่นกันว่าจะสามารถทะลุทะลวงผ่านการป้องกันของจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าได้หรือไม่
ปัง !
เสียงปังดังขึ้นอีกครั้งและม่านป้องกันตรงหน้าบุรุษผู้นั้นก็มิได้พังทลายลง ราวกับว่าปืนของเยว่ชิงเฉิงไม่สามารถยิงผ่านม่านป้องกันของเขาได้เลย
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมองเห็นคนผู้นั้นก้มหน้าลงมองที่หน้าอกของตนเอง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เยว่ชิงเฉิงก่อนล้มตึงลงไปพร้อมแววตาสะพรึงกลัวและไม่มีร่องรอยของสัญญาณชีพจรอีกต่อไป
สำหรับม่านป้องกันของเขา รูโหว่เล็ก ๆ ปรากฏขึ้นตรงกลาง จากนั้นมันก็พังทลายลงและสลายหายไปจากตรงหน้าทุกคน
“ช่างเป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !”
สายตาของทุกคนมองไปที่ปืนพกสองกระบอกในมือของเยว่ชิงเฉิงด้วยแววตาหวาดหวั่น อาวุธที่สามารถทะลุผ่านการป้องกันของจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้าได้อย่างง่ายดายถือเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะเห็นกับตาตนเอง พวกเขาคงไม่เชื่อว่ามีอาวุธที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ได้อย่างน่าทึ่งเช่นนี้
“ชิงเฉิง ให้ข้าลองดูได้รึไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงมองดูปืนพกทั้งสองด้วยแววตากระตือรือร้นและสนใจที่จะลองใช้มัน
“ได้สิ ข้าจะสอนวิธีใช้มันเอง”
เยว่ชิงเฉิงพยักศีรษะตอบตกลงทันทีและสอนวิธีใช้อาวุธประหลาดชิ้นนี้กับเขา
โอวหยางชิงเฟิงเรียนรู้วิธีใช้มันและรับปืนจากเยว่ชิงเฉิงก่อนเล็งกระบอกปืนไปที่คู่ต่อสู้จากนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงซึ่งตอนนี้ต่างก็หวั่นใจจนอยู่กันไม่ติด
คนเหล่านั้นที่เห็นโอวหยางชิงเฟิงเล็งกระบอกปืนไปที่พวกเขา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากนั้นพวกเขาก็หลบหนีกันออกไปอย่างรวดเร็ว
.
.