เมื่อเห็นคู่ต่อสู้จากนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงที่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
แน่นอนว่าปิงเสวียน เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ ที่ติดพันอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือดก็สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติในฝั่งของเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองจัดการศัตรูได้อยู่หมัด พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเริ่มแสดงกระบวนท่าโจมตีของตนอย่างสุขุมและใจเย็นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เซิ่งเซียว เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีและแววตาแสดงความตื่นตระหนกที่สังเกตเห็นได้ไม่ง่ายนัก
“เหอะ หากพวกเจ้ายังไม่ยอมถอยไป กระสุนจะไปถึงตัวพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงแม้แต่น้อย ในขณะที่สายตาของทั้งสองจับจ้องไปที่คนจากนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงซึ่งกำลังล้อมโจมตีปิงเสวียนและลั่วเฉินในเวลานี้
เมื่อเห็นสายตาของเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงพร้อมด้วยปืนพกสีดำในมือ คนจากนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงก็หันมองหน้ากันด้วยความเลิ่กลั่ก พวกเขาไม่รอคำสั่งของเฟิ่งซีและเซิ่งเซียวด้วยซ้ำขณะถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่ต้องการตายอย่างน่าเวทนาและไร้หนทางต่อสู้เหมือนคนอื่นก่อนหน้านี้
ปิงเสวียน ลั่วเฉินและฉีอวี้ก็พุ่งตรงไปปรากฏกายตรงหน้าโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงอย่างรวดเร็ว
“ช่างเป็นอาวุธที่ทรงพลังยิ่ง”
ลั่วเฉินมองปืนพกในมือของเยว่ชิงเฉิงและอดถอนหายใจกับความน่าทึ่งของมันไม่ได้ แม้ว่าจะสนิทสนมและใช้เวลาอยู่กับเยว่ชิงเฉิงเป็นประจำ พวกเขาก็ไม่เคยเห็นปืนพกสองกระบอกนี้มาก่อน บัดนี้เมื่อได้เห็นความทรงพลังของมัน แน่นอนว่าเขาย่อมเชื่อมั่นว่าอาวุธทั้งสองชิ้นนี้เป็นอาวุธที่น่าอัศจรรย์มาก
“เดิมทีข้าตั้งใจจะเก็บมันไว้เป็นไพ่ตายใบสำคัญ ทว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่สู้ดีเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนำมันออกมาลองใช้เสียก่อน”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มกริ่มและกล่าวออกไป
แท้จริงแล้วนางไม่ได้วางแผนที่จะใช้ปืนพกทั้งสองกระบอกอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพียงแค่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็อันตรายไม่น้อย นางจึงต้องเปิดเผยอาวุธลับเร็วกว่าที่คิดไว้
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผยปืนพกทั้งสองกระบอกนี้แล้ว นางก็ยังมีไพ่ตายอื่น ๆ ซ่อนไว้อีกไม่น้อย และแน่นอนว่านางไม่มีทางเปิดเผยให้เฟิ่งซีและเซิ่งเซียวรับรู้เกี่ยวกับมันในตอนนี้
“เป็นยังไงล่ะ ? เฟิ่งซี…ปืนพกของข้าทรงพลังรึไม่ ?”
เยว่ชิงเฉิงมองตรงไปที่เฟิ่งซีและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ทว่าน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความยั่วยุอย่างชัดเจน
“เหอะ ก็แค่อาวุธประหลาดสองชิ้น มันจะมีดีอะไรกัน ?”
เฟิ่งซีแค่นเสียงเย็นชาทันที ทว่าแม้กล่าวออกไปอย่างไม่แยแสเช่นนั้น ในใจของเขาก็หวาดหวั่นต่อปืนพกทั้งสองกระบอกในมือของเยว่ชิงเฉิงเป็นอย่างยิ่ง
“เหอะ แน่นอนว่ามันไม่ได้มีดีอะไรหรอก เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพวกเรานครล่าฝันและนิกายหงส์มังกรของพวกเจ้าไม่มี ลองคิดดูเถอะว่าหากทุกคนในนครล่าฝันมีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือ จากนั้นพวกเจ้าก็จะ… ฮี่ ๆ ๆ ๆ …”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะอย่างสาแก่ใจทว่าไม่กล่าวออกไปอย่างชัดเจน
อาวุธชิ้นนี้ทรงพลังเกินไปและยากที่จะป้องกันจากมันได้ หากจอมยุทธ์ทุกคนในนครล่าฝันมีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือ จากนั้นฝ่ายของนิกายหงส์มังกรก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หากขุมกำลังอย่างวิหารทมิฬ นครเวหาและนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์มีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือเช่นกัน แม้กระทั่งฝ่ายมารก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา !
เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ เฟิ่งซีก็เริ่มตระหนักได้แล้วว่านี่มิใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไปและเขาต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้นำนิกายทราบโดยเร็วที่สุด
“เยว่ชิงเฉิง ไม่ต้องโอ้อวดนักหรอก หากเจ้าติดอาวุธนี้ให้กับทุกคนในขุมกำลังได้จริง พวกเจ้าคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้ กว่าที่เจ้าจะหลอมขึ้นมาได้ชิ้นหนึ่งคงมิใช่เรื่องง่ายแน่”
เซิ่งเซียวกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อวาจาของเยว่ชิงเฉิงแม้แต่น้อย
“จะเชื่อรึไม่มันก็เรื่องของเจ้า”
อย่างไรก็ตาม เยว่ชิงเฉิงโบกมือเล็กน้อยขณะสีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แยแส
ทว่านางจงใจทำให้เฟิ่งซีและเซิ่งเซียวหวาดหวั่นใจเพื่อที่คนของขุมกำลังทั้งสองจะได้ยำเกรงไปสักระยะ
การหลอมปืนพกนี้ยากลำบากกว่าการหลอมอาวุธระดับวิจิตรนับพันเท่า เพราะเหตุนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางจึงหลอมมันสำเร็จเพียงสองกระบอกนี้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการหลอมปืนพกก็หายากและมีมูลค่าสูงมาก แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอมอาวุธนี้ให้กับทุกคนในนครล่าฝัน
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการสร้างหน่วยพลปืนเล็กขึ้นมาโดยที่มีสมาชิกประมาณหลายสิบคน เยว่ชิงเฉิงเชื่อว่าตราบใดที่นางทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่ มันก็ยังมีโอกาสสำเร็จได้
เฟิ่งซีและเซิ่งเซียวมองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจนัก
เฟิ่งซีตวัดสายตาดุดันมองไปที่เยว่ชิงเฉิงและกล่าว “วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน หากเราพบกันอีกคราในอนาคตข้างหน้า ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ แน่ !”
“เฟิ่งซี จงระวังว่าลิ้นของเจ้าจะขาดจากการกล่าววาจาใหญ่โตเกินไป วันนี้ข้าอารมณ์ดีและไม่อยากเสียเวลาสนใจเจ้า ทว่าหากเจ้ายังไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่าโทษที่ลูกกระสุนของข้าไม่มีตาก็แล้วกัน !”
หลังจากกล่าวจบ เยว่ชิงเฉิงก็เล็งปากกระบอกปืนตรงไปที่เฟิ่งซีและทำท่าทางราวกับกำลังจะลั่นไก
“เหอะ !”
เฟิ่งซีแค่นเสียงดังทว่าไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและหันหลังกลับถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็ว
เซิ่งเซียวเองก็นำคนของตนจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทว่าก่อนจากไป เขาก็ไม่ลืมที่จะมองเยว่ชิงเฉิงด้วยแววตามีความหมายแอบแฝง หากอาวุธทรงพลังเช่นนั้นตกมาอยู่ในมือของเขา จากนั้น…
หลังจากเซิ่งเซียว เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ จากไป เหล่าฝูงชนที่ชมเหตุการณ์การปะทะก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันออกไปเช่นกัน
เพียงแต่คนเหล่านั้นมองอาวุธสองชิ้นในมือของเยว่ชิงเฉิงด้วยสีหน้าหวาดหวั่นและประกายความคิดบางอย่างปรากฏในแววตาของพวกเขาอย่างรวดเร็ว…
ต้องกล่าวเลยว่าการที่ปืนพกทรงพลังสองกระบอกนี้ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันสร้างแรงกระตุ้นบางอย่างในใจของพวกเขา
“แม่เจ้า ข้ากลัวแทบตาย…”
เมื่อเห็นทุกคนแยกย้ายกันไปตามทาง เยว่ชิงเฉิงก็เก็บปืนทั้งสองกระบอกลงในแหวนมิติและสูดหายใจเข้าลึก ๆ
หากเฟิ่งซีและเซิ่งเซียวไม่ถอนกำลังกลับไปและยังดึงดันต่อสู้ พวกนางก็จะค่อย ๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในไม่ช้า
นั่นเป็นเพราะแม้ว่าปืนพกของนางจะยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้นางก็หลอมกระสุนได้เพียงสิบนัดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม้การสังหารด้วยปืนจะทรงพลังมาก มันก็จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำสูง หากยิงไม่แม่นพอ ปืนที่ทรงพลังนี้ก็ทำให้ศัตรูบาดเจ็บสาหัสได้เท่านั้นและมิได้ปลิดชีพพวกเขาโดยตรง
อีกสี่คนมองตรงมาที่เยว่ชิงเฉิงด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ราวกับกำลังรอให้นางกล่าวอธิบายให้เข้าใจ
เยว่ชิงเฉิงกวาดสายตามองปิงเสวียนและคนอื่น ๆ พลางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ทว่าเมื่อนางกำลังจะอ้าปากอธิบาย เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ข้าจะอธิบายให้ทุกคนฟังเอง”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหูของเยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ซึ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงทันที
ในความเป็นจริง นับตั้งแต่เยว่ชิงเฉิงหยิบปืนพกออกมา ฉินอวี้โม่ก็ได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชมรอบตัวแล้ว
นางตั้งใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย ทว่าเมื่อเห็นอาวุธในมือเยว่ชิงเฉิง นางก็ล้มเลิกความคิดนั้นและรอชมอยู่เฉย ๆ ในอดีตนางเพียงสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์ในด้านนี้ของเยว่ชิงเฉิงจึงได้บอกกล่าวหลักการและโครงสร้างบางส่วนของอาวุธ ไม่คิดเลยว่าเยว่ชิงเฉิงจะพัฒนาปืนพกนี้ขึ้นมาได้สำเร็จและมันดูไม่แตกต่างจากพลังของอาวุธปืนในชีวิตก่อนของอดีตนักฆ่าสาวเลยสักนิด
“ข้าได้ยินถูกรึไม่ ? เมื่อครู่นี้มันเสียงของอวี้โม่นี่นา !”
เยว่ชิงเฉิงเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวด้วยความประหลาดใจและความตื่นเต้นเจือในน้ำเสียง
“ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน มันเหมือนเสียงของอวี้โม่มากเลย”
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าหงึกหงักและรีบหันไปรอบตัวอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาต้นเสียงนั้น
แม้ไม่ได้พบกันมานานหลายปี พวกเขาก็ไม่เคยลืมเสียงของฉินอวี้โม่เลย
ฉีอวี้และคนอื่น ๆ ก็มองไปรอบตัวเพื่อตามหาต้นทางของเสียงนั้นเช่นกันและพวกเขาก็ได้พบกับสตรีรูปงามที่มองตรงมาที่พวกเขาพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
ตอนนี้ฉินอวี้โม่ถอดผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าออกแล้วและเผยให้เห็นเครื่องหน้าได้สัดส่วน แม้ว่าจะสวมอาภรณ์บุรุษอยู่ นางก็มิอาจซ่อนเสน่ห์ดึงดูดใจที่มีอย่างเต็มเปี่ยมได้เลย
“อวี้โม่ !”
เมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้นอย่างชัดเจน เยว่ชิงเฉิงก็โพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและปรี่เข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น นางก็โผเข้ากอดฉินอวี้โม่ไว้แน่นและน้ำตาใสรื้นในดวงตา
นอกเหนือจากเสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิงเป็นสหายสตรีที่สนิทสนมที่สุดของฉินอวี้โม่ เนื่องจากไม่พบหน้ากันมาเนิ่นนาน แน่นอนว่าทั้งสองย่อมมีความสุขและตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้พบกัน
“อวี้โม่ เจ้าดูสูงขึ้นนะ”
หลังจากกอดกันแน่นพักใหญ่ เยว่ชิงเฉิงก็ปล่อยมือและมองสำรวจสหายตรงหน้าก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ในอดีตความสูงของฉินอวี้โม่น้อยกว่านางเล็กน้อย ทว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่กลับสูงกว่านางอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
“พรืดดด !”
ฉินอวี้โม่ขำพรืดทันทีที่ได้ยินวาจาของเยว่ชิงเฉิง
โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้เช่นกัน ดวงตาของพวกเขาทุกคนเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด
“อวี้โม่ ในที่สุดเราก็ได้พบกันเสียที”
โอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาสวมกอดฉินอวี้โม่เบา ๆ เช่นกัน เขาเป็นสหายคนสนิทของนางและยังเป็นสหายคนแรกที่นางรู้จักในกลุ่มคนทั้งห้า
“ไม่กลัวว่าชิงเฉิงจะหึงหวงรึ ?”
ฉินอวี้โม่ปล่อยให้โอวหยางชิงเฟิงกอดตนเองครู่ใหญ่ ทั้งสองสนิทสนมกันดั่งญาติมิตรและไร้ซึ่งความหวงเนื้อหวงตัวระหว่างสตรีและบุรุษ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ใช่คนใจแคบหรอกน่า”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะให้กับวาจาติดตลกของฉินอวี้โม่ นางเชื่อมั่นในโอวหยางชิงเฟิงและฉินอวี้โม่รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน
“ฮ่า ๆ ๆ งานมงคลของเจ้าทั้งสองจะเกิดขึ้นเมื่อใด ?”
เมื่อได้ยินวาจาของเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่ก็หัวเราะและกล่าวเย้าแหย่
เยว่ชิงเฉิงหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เราหารือเรื่องนี้กันก่อนหน้านี้แล้ว และตัดสินใจที่จะรอจนกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะสงบลง”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มและกล่าวโดยไม่เขินอายใด ๆ
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบและไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อ
หลังจากเดินตรงเข้าไปหาปิงเสวียนและลั่วเฉิน นางก็ยิ้มให้คนทั้งสองและกล่าว “รุ่นพี่ปิงเสวียน รุ่นพี่ลั่วเฉิน”
ปิงเสวียนและลั่วเฉินพยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม ความสัมพันธ์ของพวกเขาและนางมิได้ใกล้ชิดเหมือนโอวหยางชิงเฟิง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เข้าไปสวมกอดฉินอวี้โม่
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่ในดินแดนหวนหลิงและฉินอวี้โม่ก็ตื่นเต้นเช่นกันที่ได้พบกับพวกเขา
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็หันไปยิ้มให้กับฉีอวี้ซึ่งยังนิ่งอึ้งอย่างพูดไม่ออกและกล่าวทักทาย “ฉีอวี้”
ฉินอวี้โม่ยื่นมือออกไปและกอดเขาเบา ๆ
ฉินอวี้โม่เข้าใจความรู้สึกของฉีอวี้มาตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้และต้องรักษาระยะห่างตามเหมาะสม
เมื่อฉีอวี้ดึงสติกลับมา เขาก็เข้าใจความคิดของฉินอวี้โม่และกอดตอบนางก่อนปล่อยมืออย่างรวดเร็ว
“อวี้โม่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้พวกเราได้รู้เถอะ”
ทุกคนยิ้มและรอฟังเรื่องราวที่ฉินอวี้โม่เผชิญมาตลอดหลายปี
.
.