บทที่ 470 เธอยังเป็นลูกสะใภ้​ของ​พวกเรา

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เล็บมือ​ยาวของเรนนี่จิกลงบนฝ่ามือของเขา นี้ถือเป็นการคิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเองใช่ไหม​ เมื่อก่อนเธอเก็บ​ซ่อนไว้ลึกเกินไป​ เพราะแบบนี้ เขาถึงได้รับได้แต่เธอที่อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจคนอื่น และ​อ่อนโยน​เท่านั้น

“นิสัยของคุณดีมาตลอด บางทีคุณคงจะอารมณ์​เสียเล็กน้อย​ แต่จำไว้ด้วย ฉันรับได้ แค่คุณ​หงุดหงิดและอารมณ์เสียเป็นครั้งคราว อย่ากำเริบ​เกินไป และปรับอารมณ์ของคุณให้เร็วที่สุด …”

ชฎารัตน์​เดินลงมา ในสวนมีกระถางดอกไม้ที่ต้องย้ายพอดี ดังนั้นเธอจึงเรียกเรนนี่ไว้

ดอกไม้ที่อยู่​ในสวนหลังบ้าน ล้วนแต่​เป็นของรักของหวงของเธอ จึงไม่ยอมให้คนใช้เข้ามายุ่ง พอเห็นว่าเรนนี่ไม่มีอะไรทำ จึงเรียกเธอมาช่วย

พูดตามตรง สามารถใช้โอกาสนี้แก้นิสัยของเธอได้

ในคฤหาสน์ภูษาธรไม่ใช่​ว่า​ไม่มีคนใช้ ทำไมจะต้องให้เธอมาทำด้วย เรนนี่รู้ว่าชฎารัตน์​จงใจ​แกล้งเธอ แต่ความโกรธ​ก่อนหน้านี้​ยังไม่ลดลง พอรวมกับความไม่พอใจในตอนนี้ การกระทำของเธอจึงรุนแรง​มาก​ และ​ทำให้​กระถางดอกไม้ของชฎารัตน์​แตกไปสองกระถาง

สีหน้า​ของชฎารัตน์​ดูไม่ดีมาก เธอรู้สึกว่าเรนนี่จงใจทำ จึงยิ่งรู้สึก​ว่า ลูกสะใภ้คนนี้ไม่รู้กาลเทศะ​เอาซะเลย

ดูจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถเห็นความประพฤติที่ดีที่ชอบ​ของบุคคลนั้นได้ และพฤติกรรม​ของเธอ ในสายตาของเธอ เรนนี่ไม่ได้เรื่องอะไรเลย

เมื่อเทียบกับยู่ยี่แล้ว มันแย่กว่าเป็นร้อยเท่า

กระถางดอกไม้ตกทับเท้าของเธอด้วย เรนนี่สูดหายใจแรงๆ เธออยากจะทำลายดอกไม้ของชฎารัตน์​ให้หมดเลย!

ทำไมเธอถึงซวยขนาดนี้ ตั้งแต่แต่งงานกับหัสดิน ก็ไม่มีวันไหนที่เธอมีความสุขเลย

ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ อารมณ์ของเรนนี่อาจระเบิดเร็วขึ้น

ถ้าคนเราถูกกดขี่ข่มเหงมาเป็นเวลานาน ความโกรธ​ที่ปะทุออกมานั้นทรงพลังกว่าคนทั่วไปหลายเท่า!

……

นาโนมาตอนช่วงกลางคืน บอกว่าคืนนี้จะนอนที่นี่ด้วย ยู่ยี่ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น?

เธอทะเลาะกับแม่ของดนัย ปกติ​เธอมักจะอดทนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอทนไม่ไหวแล้ว!

นิสัยที่รุนแรง​ของนาโน ไม่ใช่คนที่จะทนยอมได้!

ดนัยไม่ได้ห้ามเธอเหรอ? ยู่ยี่ถาม

ฉันไม่อยากให้เขาเข้าไปพัวพันกับปัญหาระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น สถานการณ์ของเขาจะย่ำแย่ นอกจากนี้ เขาก็ไม่อยู่บ้านด้วย

ยู่ยี่ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนเข้านอน นาโนพูดว่าเธออิจฉาชีวิตโสดจริงๆ

นาโนมีปัญหามากมาย ปัญหา​ที่สำคัญที่สุดคือภาวะมีบุตรยากของเธอ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเธอเช่นกัน​

ในตอนแรกยู่ยี่อยากจะถามเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กคนนั้น แต่เธอไม่อยากทำให้เธอเสียใจเพิ่มอีก ดังนั้นเธอจึงไม่ถามออกไป

วันรุ่งขึ้น เธอกินอาหารกลางวัน แล้วจัดของนิดหน่อย เปิดประตูคอนโด และกำลังจะรีบไปที่สนามบิน ในเวลานี้ เธอตื่นเต้น​จนไม่สามารถสงบสติลงได้ และหัวใจเธอก็เต้นแรงมากด้วย

ตอนที่เดินลงบันไดมา มีคู่สามีภรรยา​คู่หนึ่งก็เดินเข้ามา พวกเขามีร่างกายที่แข็งแรง บุคลิกสง่างาม และความรู้สึกสูงค่าอย่างอธิบายไม่ได้

ยู่ยี่ตกใจเล็กน้อย ตอนที่เห็นใบหน้าของทั้งคู่ เธอกลับรู้สึกคุ้นมาก พอคิดทบทวน​ดู ที่แท้​ก็หน้าตา​เหมือน​ฉันทัชนี่เอง

พอดีกับที่ สองสามีภรรยา​คู่​นั้นก็มองมาที่เธอพอดี และ​หยุดเดิน ผู้หญิงคนนั้นแต่งหน้าอย่างสง่างาม สวมชุดกี่เพ้า ด้านนอก​คลุมด้วยเสื้อโค้ท มีความรู้สึก​พิเศษ​มาก “คุณยู่ยี่ใช่ไหมคะ”

จากนั้น ในใจก็เข้าใจบางอย่าง หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอไม่ใช่​คนโง่ จึงพยักหน้ารับ

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มบางๆ “พวกเราเป็นพ่อแม่ของฉันทัช ที่เรามาจากเฮทเคเพื่อมาหาคุณ​ยู่ยี่ค่ะ”

ยู่ยี่คาดเดาคร่าวๆ ว่าพวกเขาอยากจะพูดอะไร “คุณป้าคะ ข้างนอกอากาศหนาว ขึ้นไปคุยกันข้างบนเถอะค่ะ คอนโดของหนูอยู่ที่นี่”

หญิงสาวส่ายหน้า​ แล้ว​มองไปรอบๆ ก่อนจะถามว่า “มีร้านกาแฟหรือร้านอาหารอยู่ใกล้ ๆ นี้ไหม”

“มีร้านกาแฟอยู่ตรงข้ามค่ะ ร้านค่อนข้าง​ดี” ยู่ยี่เมื่อมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง​ ท่าทีที่สงบ ถ่อมตัว​ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ได้ประจบประแจง​ หรือตีสนิท​จนเกินไป

เพราะไม่มีอะไรคาดหวัง​ ท่าทีของ​เธอจึงสงบ และนิางเฉยได้

คุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์มองหน้ากัน จากนั้นก็มองไปที่ยู่ยี่หลายครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้

ร้านกาแฟอยู่ใกล้มาก แค่เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ยู่ยี่ยื่นเมนูให้ทั้งสองคนให้พวกเขาเลือกเมนู​

ทั้งสองสั่งกาแฟมาสองแก้ว ส่วนยู่ยี่สั่งนมร้อนมาหนึ่งแก้ว

คุณแม่ธันยวีร์พูดขึ้นมาก่อน “คุณยู่ยี่คะ คุณอยู่กับตาฉันทัชมานานแค่ไหนแล้ว?”

“เกือบสี่เดือนแล้วค่ะ” ยู่ยี่ตอบ คำพูดของเธอเบา แต่สุภาพเป็นเอกลักษณ์

“แล้วในสี่เดือนนี้คุณรู้เรื่องของฉันทัชมากน้อยแค่ไหน” คุณแม่ธันยวีร์พูดต่อด้วยท่าทางที่อ่อนโยน

ยู่ยี่ยกยิ้มบาง “ไม่มาก และไม่น้อยค่ะ ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าฉันเข้าใจเขาทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่​ว่า​ไม่รู้​อะไรเลย แต่ว่า วันนี้คุณ​ลุงกับคุณป้ามาหาฉัน คงจะมีบางอย่างที่อยากจะพูดสินะคะ”

คราวนี้เป็นคุณพ่อธนพงษ์ที่พูดออกมา “คุณรู้จักอาคิระไหม”

อาคิระ ยู่ยี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้ “รู้จัก​ค่ะ”

จากนั้นสัญชาตญาณในใจของเธอบอกว่าทั้งสองคนมาที่นี่ในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ อาคิระ และน้องสาวของอาคิระที่กำลังป่วยหนักแน่นอน

พอเอาเรื่อง​พวกนี้มารวมกัน มันก็ชัดเจนทุกอย่างแล้ว

“เธอมีน้องสาวคนหนึ่ง และเป็นอดีตภรรยาของฉันทัชด้วย บอกตามตรง พวกเราไม่เห็นด้วยกับการหย่าร้างของฉันทัชกับเธอ ที่เรามาที่นี่ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใด เราติดหนี้ตระกูลอนันต์ธชัยความและหนี้นั้นก็ยิ่งใหญ่​มาก เราหวังว่าในอนาคตน้องสาวของอาคิระจะยังคงเป็นลูกสะใภ้ของเรา และนอกจากนี้ตระกูลยศณะราคินของเราก็ชอบเธอมาก”

ในครั้งนี้คุณพ่อธนพงษ์พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่คำพูดนั้นกลับอ่อนโยนมาก ไม่ได้ทำร้ายจิตใจ​หรือประชดประชัน

“นอกจากนี้ สำหรับที่อยู่ของคุณยู่ยี่ ไม่ใช่ฉันทัชเป็นคนบอกเรา ฉันทัชไม่รู้เรื่องที่พวกเรามาที่นี่ ถ้าเอวาสุขภาพ​แข็งแรง แล้วหย่ากับฉันทัช ถึงแม้​จะติดหนี้บุญคุณ เราก็จะยอมรับ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว​ด้วย แต่ตอนนี้สถานการณ์มันต่างออกไป…” คุณแม่ธันยวีร์เอ่ยพูด

ยู่ยี่คิดว่าเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ คงเป็นเพราะอาคิระ

นอกจากนี้เรื่องที่เธอท้อง ตอนนี้ทั้งสองดูเหมือนจะยังไม่รู้ แต่เธอไม่คิดจะพูด

ส่วนใหญ่ จะเป็นพวกเขาพูด ส่วนยู่ยี่แค่รับฟังไม่ปฏิเสธหรือตอบรับ เพียงแค่ฟังอย่างเงียบ ๆ

คุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์ก็เป็นคนที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีเช่นกัน คำพูดทั้งหมดก็ตรงประเด็น

ยู่ยี่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เธอเพียงแค่นั่งฟัง เชอร์​รีนโทรมาพอดี เธอจึงใช้​เป็นข้ออ้าง ขอตัวจากไปอย่างสุภาพ

เธอเดินออกจากร้านกาแฟ แล้ว​ถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวใจที่ยังคงกังวลใจ ตอนนี้เริ่มนิ่งสงบ และดับอารมณ์​ร้อนไป

ในกระเป๋า​ของเธอยังมีตั๋วเครื่องบินอยู่ แต่ยู่ยี่ไม่มีอารมณ์จะเดินทางไปแล้ว

เธอหันหลัง​ พอกลับถึงบ้านและนั่งคิดทบทวนประมาณสิบนาที รอบตัวเต็มไปด้วยบรรยากาศรอบตัวเธออ้างว้างมาก

ความหมายของคุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์นั้นชัดเจนมาก และเธอก็เข้าใจดี บอกตามตรง ตอนนี้เธอสับสนเล็กน้อย

หลังจากนั่งได้สักพักเธอก็รู้สึกเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ยู่ยี่นิ่งคิด และตัดสินใจไปเฮทเค

ไม่ว่าเธอจะเจอปัญหาแบบไหนในอนาคต ตอนนี้ตั๋วก็ซื้อมาแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องมีปัญหา​กับเงิน

ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ เธออยากผ่อนคลาย และมีความสุข ดังนั้น เธอจึงไม่อยากไปใส่ใจกับปัญหาพวกนั้นในตอนนี้ หลังจากที่เธอมีความสุขและผ่อนคลายแล้ว เธอค่อยคิดถึงปัญหาเหล่านั้นอย่างรอบคอบอีกครั้ง

พอคิดได้แบบนั้น เธอก็รีบไปสนามบินทันที โชคดี ที่รถไม่ติด และเธอก็ได้ขึ้นเครื่องบินอย่างราบรื่น

ที่จริง​แล้ว​ การคาดเดาในใจของเธอนั้นไม่ผิด คุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์มาพูดแทนที่อาคิระที่ยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ เธอทำหน้าเย็นชาโดยไม่สนใจใคร

เขาเรียกให้ฉันทัชกลับเฮทเคก่อนบ่ายโมง แต่รอจนถึงเที่ยงคืน ก็ไม่เห็นฉันทัช ในที่สุด​ เธอก็อาละวาดออกมา

ยู่ยี่นอนหลับบนเครื่องบิน ที่จริง​แล้ว เธอรู้สึก​ดี​ต่อ คุณพ่อธนพงษ์กับคุณแม่ธันยวีร์ ไม่น้อย​

สี่ชั่วโมงต่อมา เธอก็เดินทางมาถึงเฮทเค ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ไฟตามท้องถนนก็เปิดสว่าง ในช่วง​กลางคืน ในเฮทเคช่างครึกครื้น​และสวยงามมากจริงๆ

ครั้งแรกที่เธอมาเฮทเค เธอรู้สึกแปลก​ใหม่อย่างสุดจะพรรณนา เธอมองไปรอบ ๆ​ และบังเอิญเหลือบมองนิตยสารธุรกิจที่มีรูปฉันทัชอยู่​บนหน้าปก

เธอตกตะลึงอยู่สักพัก การเจอกันด้วยลักษณะ​นี้​ไม่คุ้นเคยเลย

ขณะที่เธอกำลังตกตะลึง​ จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บที่ไหล่ เจ็บเหมือนถูกอะไรกรีด เธอปล่อยมือออกโดยสัญชาตญาณ

หัวขโมยรีบเป่านกหวีดเสียงดัง ก่อนจะ​ขึ้น​นั่งบนมอเตอร์ไซค์ แล้วขับผ่านเธอไป พร้อมกับกระชากกระเป๋าเงินของเธอไป

ยู่ยี่รีบวิ่งตาม​ทันที แต่เธอจะตามทันได้ยังไง​กัน เธอจึงตะโกนเสียงดังทันที “โจรขโมยกระเป๋าเงินค่ะ! มีโจรขโมยกระเป๋า​! ช่วยด้วยค่ะ!”

ในขณะนี้เอง มีรถตำรวจวิ่งผ่านเธอมา และพอได้ยินเสียงตะโกนของเธอ รถก็หยุดทันที และมีผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวลงจากรถ เขารูปร่างสูงใหญ่และสง่างามมาก

“ผมเป็นตำรวจ” ชายคนนั้นบอก “ไปโรงพักรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวทางเราจะรีบตามจับคนร้ายให้”

พอได้ยินว่าเป็นตำรวจ ยู่ยี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองไปที่ชายคนนั้นอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าเขาหน้าตาคล้ายกับฉันทัชเล็กน้อย​

เธอตามไปที่สถานีตำรวจ แน่นอน ว่าเธอต้องทำบันทึกประจำวัน​ก่อน ยู่ยี่ต้อง​ไปบรรยายลักษณะและเสื้อผ้าของพวกคนร้าย

“ครับ คุณผู้หญิงกลับไปก่อนได้เลย ถ้ามีข่าวเราจะรีบแจ้งคุณผู้หญิงให้เร็วที่สุด”

พอหันหลังกลับ เธอเตรียมที่จะจากไป แต่เธอก็หยุดเดินกะทันหัน​ แล้ว​หันกลับมามองอย่างกระดากอายเล็กน้อย “ฉันขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ โทรศัพท์ของฉันหายไปแล้ว​”

ทั้งเงิน โทรศัพท์​มือถือ พาสปอร์ต หมดในกระเป๋าเงิน ตอนนี้พูดได้เลยว่าเธอไม่มีเงินติดตัวเลย

ชายหนุ่มตอบตกลงอย่างเต็มใจและยื่นโทรศัพท์ให้เธอ

หมายเลขโทรศัพท์​ของฉันทัชเธอจำได้ชัดเจน และกำลังจะกดหมายเลขโทรศัพท์​ แต่ก่อนที่เธอจะกดหมายเลขนั้นเสร็จ หมายเลขของเขาก็ปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ และถูกบันทึก​ไว้​ว่า​ฉันทัช

หรือว่า ทั้งสองคนจะรู้จักกัน?

เธอกดโทรออก และหลังจากนั้นไม่นาน ปลายสายก็รับโทรศัพท์​ และเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา “ครับพี่…”

ยู่ยี่ตกตะลึงไปสักพัก จากนั้นก็มองไปที่ตำรวจคนนั้นเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เธอเบา ๆ และก้มหน้า​ลงเล็กน้อย

หลังจากได้สติ​กลับมา เธอก็เลียริมฝีปาก แล้วพูดว่า “ฉันทัช ฉันเองนะคะ…”

คราวนี้ฉันทัชที่อยู่​อีกด้านหนึ่งนิ่งเงียบ ยู่ยี่หลับตาเล็กน้อย เขาจะต้องตกใจมากแน่ๆ

“บอกผมมา ตอนนี้คุณ​อยู่ที่ไหน ตำแหน่งที่ชัดเจน…” น้ำเสียงลุ่มลึกของเขาร้อนใจมาก

ยู่ยี่ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอน เธอจึงถามตำรวจคนนั้น และบอกตำแหน่งที่อยู่กับเขาไป

ในเวลาเพียงครู่เดียว ฉันทัชก็เดินทางมาถึงด้วยสีหน้ารีบร้อน พอเห็นยู่ยี่ปลอดภัย เขาถึงได้โล่งใจ

จากนั้นก็มองไปที่ฉัตรบรรณ “พี่”