ตอนที่ 275 กองทหารและฝูงหมาป่า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“หนวกหู” ในที่สุดจีเฉวียนก็รำคาญนางจนทนไม่ไหว เพียงแค่กวาดพระเนตรไปครั้งหนึ่ง และตรัสเพียงคำเดียว ก็ทำให้เหยียนเฉียวหลัวเลือดแข็งตัวไปทั้งร่าง

 

 

มาจนถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะยังฝืนอยู่อีกทำไม?

 

 

ดูสิ ทั่วทั้งร่างของเขาติดยันต์คุ้มภัยมาเต็มไปหมด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาก็กลัวตายเหมือนกันมิใช่หรือ?

 

 

ก็แค่ต้องยอมอ่อนลงให้นางเท่านั้น คุกเข่าลงขอโทษ แล้วก็ฆ่าตู๋กูซิงหลันไปเสีย นางก็จะไว้ชีวิตเขา!

 

 

หรือว่าศักดิ์ศรียังจะสำคัญยิ่งกว่าชีวิตอีกหรือ?

 

 

เหยียนเฉียวหลัวขมวดคิ้วแน่น “ฮ่องเต้แคว้นโจว ผู้ที่ยืนอยู่ในสระสวรรค์แห่งนี้ คือเหล่าผู้มีความสามารถโดดเด่นจากแต่ละราชวงศ์ และขุมกำลังต่างๆ ทั่วทั้งแผ่นดิน หรือท่านคิดว่าตนเองยังอยู่ในแคว้นต้าโจว? สามารถใช้มือเดียวปิดบังแผ่นฟ้าได้หรือ?”

 

 

“หนวกหูรึ? วันนี้เราผู้เป็นองค์หญิงยอมกล่าวกับท่านเสียหลายคำ ท่านสมควรรู้สึกเป็นเกียรติแล้วต่างหาก!” เหยียนเฉียวหลัวยกปลายคางเชิดสูง พอคิดถึงตอนที่นางถูกลบหลู่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียนครานั้น นางก็อยากจะระบายความแค้นออกมาให้หมด

 

 

“ดูตัวท่านในตอนนี้สิ ข้างกายมีแค่องครักษ์ลับเพียงคนเดียว ฮ่องเต้แคว้นโจวท่านคิดว่าตนเองมีความสามารถใดจึงจะหลบหนีไปจากที่นี่ได้หรือ?”

 

 

เหยียนเฉียวหลัวยิ้มอย่างเย็นชา นางอยากจะกดศีรษะของเขาให้คุกเข่าลงไปต่อหน้านางด้วยตัวเอง

 

 

“จริงด้วย ฮ่องเต้แคว้นโจว ต่อให้ข้างกายของท่านมีผู้คน ยังจะสามารถต่อสู้กับเหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานได้อีกหรือ?”

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างพากันกล่าวสนับสนุน หากว่าวันนี้สามารถกำราบจีเฉวียนให้ตายอยู่ที่นี่ได้ย่อมดีที่สุด

 

 

นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นเจ้าแผ่นดินแคว้นโจว ดินแดนต่างๆ นับตั้งแต่เป่ยเจียงเรื่อยมาก็ไม่เคยได้สงบสุข แคว้นเหยียนเคยให้ความช่วยเหลือพวกเขาในยามที่แคว้นต้าโจวกำลังลำบากที่สุด แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์เลยสักนิด

 

 

วางแผนชั่วใส่ร้ายองค์หญิงแคว้นเหยียน ทำให้แคว้นเหยียนต้องสูญเสียดินแดนเพื่อชดเชย

 

 

เห็นชัดๆ ว่าคนผู้นี้เป็นดั่งโรคร้าย สมควรจะขจัดทิ้งไปแต่เนิ่นๆ

 

 

ต่อให้วันนี้ไม่อาจจะกำจัดได้สำเร็จ ก็ทำให้เขายอมก้มศีรษะลงมา เด็ดปีกของเขาออก ตัดความคิดทะเยอทะยานของเขาทิ้งไป ให้เขาไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาบนแผ่นดินนี้ได้อีก เช่นนี้ก็ดีไม่เลว

 

 

เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานแต่ละคนคึกคักฮึกเหิม ขาดเพียงแค่คำสั่งขององค์ชายน้อย พวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าไปหักกระดูกจีเฉวียนให้เป็นผุยผงแล้ว

 

 

สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นโอกาสดีอันยอดเยี่ยม

 

 

ท่านประมุขเกลียดชังแคว้นต้าโจวอย่างที่สุด หากว่าใครสามารถเด็ดศีรษะของฮ่องเต้ต้าโจวได้ล่ะก็ ย่อมต้องได้รับรางวัลและความชื่นชมจากท่านประมุขอย่างไม่มีสิ้นสุดแน่นอน

 

 

ทั้งเสียนไท่เฟย ศพคืนชีพเฒ่าและอันหร่วน หมากแต่ละตัวที่ถูกส่งออกไปต่างก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย

 

 

ตอนนี้มีโอกาสงามอยู่ตรงหน้า พวกเขาย่อมต้องไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยต่างก็ชักจะเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว ตลอดทางมานี้ นอกจากองครักษ์ลับแล้ว ก็ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะมีผู้ติดตามใดอีก

 

 

ต่อให้เป็นองครักษ์ลับเหล่านี้ก็เถอะ ก็ยังมีกันแค่สิบกว่าคนเท่านั้น

 

 

ลองดูแคว้นต้าฉินของผู้อื่นสิ มากันทีก็มีเหล่านักพรตเป็นร้อยคน แต่ละคนล้วนเก่งกล้าสามารถ

 

 

ต่อให้ไม่ดียังไง พวกเราก็พาพี่ใหญ่ของอารามเทียนเก๋อกวนนั่นมาด้วยไม่ได้หรือ?

 

 

คนยิ่งเยอะพละกำลังยิ่งมากไง!

 

 

นักพรตอู๋เจินนั่นถึงแม้ดูแล้วจะพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ยังเป็นถึงท่านอาจารย์ของไทเฮา สมควรจะต้องมีฝีมืออยู่สักสองสามท่า

 

 

แต่เพราะฮ่องเต้ของพวกเราเป็นพวกมั่นพระทัยในตนเอง ถึงได้ลดพระองค์ไม่ทำตัวโดดเด่น

 

 

ตอนนี้ละเป็นไง โดนล้อมกรอบเข้าแล้ว

 

 

พอเห็นสีหน้าสีตาที่เหิมเกริมของเหยียนเฉียวหลัว ตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยก็ได้แต่กัดปากจนปวดฟัน เขาล่ะอยากจะปล่อยเจ้าติ๊องต๊องไปจิกนางเหลือเกิน!

 

 

สมควรตายนัก เจ้าไก่นั่นพอจะใช้งานขึ้นมาก็หายหน้าไปเลย!

 

 

“อ้ายย่าห์ โมโหมากเลยหรือ?” เหยียนเฉียวหลัวมองดูท่าทางกัดฟันกรอดๆ ของพวกเขา ก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก “องค์หญิงอย่างข้าชอบเห็นท่าทางยามพวกเจ้าโกรธจนกระอักเลือด แต่ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้แบบนี้เป็นที่สุดเลย”

 

 

ว่าแล้ว นางก็ไม่สนใจสองคนนั้นอีกต่อไป หันเหสายตากลับมาที่บนร่างของจีเฉวียน “ความอดทนขององค์หญิงอย่างข้าสิ้นสุดลงแล้ว ทุกท่านกำลังรอที่จะไปหาสมบัติอยู่นะ ฮ่องเต้แคว้นโจว ท่านอย่าได้ทำให้เสียเวลากันอีกต่อไป หากไม่ขออภัย ท่านก็ต้องตาย”

 

 

ประโยคสุดท้ายนี้เหยียนเฉียวหลัวยืนยันอย่างหนักแน่น นางก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์อะไร

 

 

ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ นางให้โอกาสจีเฉวียนมามากแล้ว หากว่าเขายังคงงมงายอย่างไร้สติต่อไป ไม่ยอมทำตามข้อแม้ของนาง เช่นนั้นนางก็ยอมให้เขาเป็นหยกที่แหลกสลายแต่ไม่ปล่อยให้กลายเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์

 

 

สิ่งที่ตนเองไม่อาจได้มา คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้ไป!

 

 

สายตาของเหยียนเฉียวหลัวเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น ในมือของนางเพิ่มแส้หนังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอสิ้นเสียงก็สะบัดแส้เข้าหาจีเฉวียนในทันที

 

 

องค์ชายน้อยก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกทั้งสิ้น เพียงยืนอยู่ข้างกายเหยียนเฉียวหลัว สายตาของเข้าตั้งแต่ต้นจนจบมิได้ละไปจากร่างของจีเฉวียนเลยแม้สักแวบเดียว

 

 

เดิมทีเขาคิดว่า เมื่อพวกเขาทั้งสองมาเผชิญหน้ากันในลักษณะเช่นนี้ จีเฉวียนจะต้องทั้งประหลาดใจและโกรธกริ้ว หรือแสดงอารมณ์หวั่นไหวออกมา คิดไม่ถึงว่าเขาเพียงตรัสเรียบๆ ไม่กี่คำ จากนั้นก็ไม่สนใจจะมองมาทางนี้อีก

 

 

ยามนี้เขาถึงได้รู้ว่าตนเองคำนวณน้ำหนักของตนและตระกูลในใจของคนผู้นี้เอาไว้สูงมากจนเกินไป

 

 

เมื่อเผชิญกับแส้หนังของเหยียนเฉียวหลัว จีเฉวียนทั้งมิได้หลบและไม่ได้ตอบโต้ ยังคงประทับนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงเนตรทั้งสองเย็นยะเยือก

 

 

ฝูงคนทั้งหลายต่างพากันเฝ้าดูงิ้วเรื่องนี้

 

 

กระทั่งอิ๋งฉีที่อ้าปากขยับไปมา คำพูดมาถึงปลายลิ้นก็ถูกเหล่านักพรตสกัดกั้นเอาไว้

 

 

หัวใจของตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยต่างก็เคร่งเครียดอย่างหนัก พอหันหน้ากลับไปมองดูหลงเซียว ก็เห็นเขายังคงทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ดังเดิม ราวกับว่าต่อให้ฝ่าบาทถูกฟาดตีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

 

“ก็ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงเคยถูกฟาดตีมาก่อน” พอเห็นสายตาของคนทั้งสอง หลงเซียวก็ตอบช้าๆ กลับไปประโยคหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเคยโดนตบพระพักตร์มาแล้ว ใช้รองเท้าตบ ตอนนี้หากโดนแส้ฟากสักหลายทีจะถือเป็นอะไรไป”

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟย “…….”

 

 

ใครกันนะที่ขวัญกล้าเทียบฟ้าถึงเพียงนั้น ใช้รองเท้าตบพระพักตร์ฝ่าบาท?

 

 

คนผู้นั้นตอนนี้คงดับดิ้นไปแล้วใช่หรือไม่ แม้แต่กระดูกก็คงเหลือไม่ครบ?

 

 

…………………

 

 

 

 

ขณะที่เห็นว่าแส้ของเหยียนเฉียวหลัวกำลังจะสัมผัสถูกร่างของจีเฉวียน ก็ได้ยินเสียง ‘เฟี้ยว’ ดังมาจากหลังดงไม้หนาม ลูกธนูยาวดอกหนึ่งพุ่งมาตามลม

 

 

ลูกธนูดอกนั้นพุ่งใส่แส้ของเหยียนเฉียวหลัว พละกำลังที่รุนแรงนั้นกระแทกแส้จนหลุดกระเด็นจากมือของนาง ข้อมือของนางสั่นสะท้าน คนต้องถอยไปด้านหลังอีกหลายก้าว

 

 

หากมิใช่เพราะว่าท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่งพยุงตัวนางเอาไว้ นางก็คงจะล้มก้นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรงไปแล้ว

 

 

ฝูงคนทั้งหลายต่างก็พากันตื่นตกใจขึ้นมา

 

 

พอหันหน้ากลับไปดู ก็เห็นว่าในดงไม้หนามนั้นมีเสียงเผาไหม้ดังออกมา

 

 

เปลวไฟสีฟ้าลุกโหมแผดเผา เผาจนมีแต่กลิ่นเหม็นของเนื้อไหม้คละคลุ้งไปหมด ในตอนนั้นดงไม้หนามขนาดใหญ่ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไป

 

 

พอสิ้นกลุ่มควันขี้เถ้า ก็เห็นดาบใหญ่ด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นสู่สายตา

 

 

ดาบที่เป็นประกายวาววับ สาดประกายแสงเย็นแวววาวออกมา ทันทีที่ดาบนั้นขยับ ห่วงร้อยบนตัวดาบก็ส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด

 

 

เห็นดาบใหญ่เล่มนั้นปรากฏขึ้นมา หัวใจของหยวนเฟยก็ลิงโลดขึ้นมาในทันที นางทั้งตื่นเต้นยินดี ทั้งกังวลใจไปพร้อมๆ กัน

 

 

เพียงครู่เดียว ก็เห็นเงาธงหลายผืนปรากฏออกมาหลังฝุ่นขี้เถ้าของไม้หนาม

 

 

รอจนธงเหล่านั้นขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนทั้งหลายถึงได้เห็นอักษร ‘โจว’ ตัวโตโตที่ปักอยู่บนผืนธง

 

 

ผืนธงนับร้อยนับพัน ลายล้อมสระสวรรค์เอาไว้กว่าครึ่ง

 

 

คนที่ยังมองเห็นธงได้ไม่ชัดเจน ก็ได้ยินเสียงหอนของสุนัขป่าดังมา เสียงหอนของสุนัขป่าเป็นร้อยๆ ตัว ดังลั่นจนทำให้ผิวน้ำในทะเลสาบสั่นสะเทือน

 

 

กระทั่งฝุ่นควันจางหายไปแล้ว ผู้คนทั้งหมดก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว

 

 

บุรุษผู้หนึ่งถือดาบใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง รอบกายของเขานั้น…..คือกองทหารหลายพันและหมาป่าหลายหมื่น!

 

 

 

 

——

 

 

คุยกันนิดหนึ่ง:

 

 

ไรท์: มาแล้ว! ใครว่ามากันแค่หลักสิบ!

 

 

ตอนต่อไป : “พระบารมีของฮ่องเต้ต้าโจวพระองค์ใหม่”