ตอนที่ 263 เผชิญอันตราย โดย Ink Stone_Fantasy
เห็นรูอุโมงค์ดำมืด โจวเซี่ยวเทียนมองอย่างตะลึงงันไปชั่วครู่และกล่าวว่า “นี่…ตรงนี้ทำไมถึงมีรู”
“ฉันว่าสายตาของนายมีปัญหา นี่เป็นอุโมงค์น่ะสิ หรือจะเป็นรูกระต่าย” เยี่ยเทียนถลึงตาใส่โจวเซี่ยวเทียนไปครั้งหนึ่ง
“นายรีบกลับไปดูว่ามีคนมาหรือเปล่า ถ้ามีคนมาแล้วให้ส่งสัญญาน!”
“น่าแปลก พี่เยี่ยทำไมตรงนี้ถึงมีรูอุโมงค์ได้” โจวเซี่ยวเทียนที่ถูกเยี่ยเทียนไล่ให้ไปที่รถก็ยังไม่วายเกาหัวด้วยความงุนงง
หากมองจากด้านนอก รูอุโมงค์นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากดินรอบสุสานด้านนอกที่ด้านบนมีแต่หญ้าแห้งสีเหลืองขึ้นอยู่ นอกซะจากเยี่ยเทียนมีตาที่มองเห็นทะลุได้ มิเช่นนั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่ารูอุโมงค์อยู่ตรงไหน
พลังที่มองทะลุได้นั้นเยี่ยเทียนไม่มี แต่เขารู้วิชาที่จะสังเกตสถานที่ บริเวณที่พลังพิฆาตร้ายระเหยออกมาจากพื้น ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
รูอุโมงค์นี้ถึงแม้จะซ่อนอย่างดิบดี แต่เป็นบริเวณที่มีพลังพิฆาตดีอยู่ ในตอนนั้นคนขุดรูอุโมงค์นี้ จะต้องมีคนที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีคอยแนะนำ เพราะตรงนี้เป็นที่เดียวที่จะเข้าไปในสุสานได้อย่างปลอดภัย
เยี่ยเทียนมองรูอุโมงค์ที่ไม่รู้ว่าขุดเอาไว้ตั้งแต่สมัยไหนแล้วภายในใจก็หดหู่อยู่บ้าง
เยี่ยเทียนไม่เคยขุดสุสานมาก่อน ครั้งนี้มาร่วมด้วยแค่ชั่วคราว จริงๆ ในใจก็คิดว่าจะได้เจอของดีหลายชิ้น แต่พอมีรูอุโมงค์นี่อยู่ แสดงว่าสุสานนี้ถูกผู้มีความสามารถมาเยี่ยมเยือนไปแล้ว คิดแล้วก็คงไม่น่ามีของดีอะไรหลงเหลือมาถึงเขา
“คนพวกนี้ไม่ได้ปิดรูแบบปิดตาย แสดงว่าพวกมันคิดที่จะลงมาอีก แต่เกิดเหตุอะไรขึ้น พวกเขาถึงไม่ลงมาที่สุสานแห่งนี้อีกด้านในหรือบางทีอาจจะมีของดีหลงเหลืออยู่”
หลังจากหยิบเอาพลั่วเข้าไปในรูอุโมงค์แล้วเยี่ยเทียนได้พบว่า นอกจากรูเล็กแคบแล้วเหมือนกับรูก่อนหน้าไม่มีผิด ช่องว่างภายในรูอุโมงค์ กลับมีมากกว่ารูที่แล้วอย่างชัดเจน เยี่ยเทียนค้อมตัวให้เตี้ยลงเล็กน้อยก็สามารถเดินไปได้
แต่ว่ารูอุโมงค์นี้ถูกขุดเมื่อนานมาแล้ว ผนังด้านในมีดินโคลนปิดอยู่อาจจะมาจากมีน้ำซึมเข้ามา เยี่ยเทียนใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเปิดปากทางอุโมงค์ให้ปลอดโปร่ง
“อีกชั่วโมงเดียวฟ้าก็จะสว่าง ฉันจะต้องรีบแล้ว!” มองนาฬิกา เป็นเวลาเกือบตีสี่แล้ว เยี่ยเทียนนั่งอยู่ข้างนอกสิบกว่านาที รอจนอากาศภายในอุโมงค์ไหลเวียนแล้ว ก็เริ่มขุดเข้าไปใหม่
ชาวบ้านที่ทำไร่ทำนามักจะตื่นกันแต่เช้า ไม่แน่ว่าตอนตีห้าหรือหกโมงเช้าก็คงมีคนเดินกันให้ขวักไขว่ เยี่ยเทียนจะต้องเข้าไปที่สุสานก่อนตีห้า ทำการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยด้านในแล้วออกมา เวลาชั่วโมงกว่า ค่อนข้างกระชั้นจริงๆ
คนที่เข้ามาในสุสานนี้ จะต้องมีประสบการณ์มาก หลังจากออกไปแล้ว ไม่เพียงแต่แอบซ่อนรูทางเข้า ในขณะเดียวกันก็เอาอิฐวางเรียงซ้อนไว้เหมือนเดิม
“ที่นี่เป็นประตูทางเข้าสุสาน!” เยี่ยเทียนเอาดินโคลนออกจากอิฐรอบด้าน ด้านหน้าปรากฏเป็นประตูสุสานรูปโค้ง
ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกดีใจ เพราะดูท่าแล้วเขาไม่ได้ประเมินผิดไป นอกจากรูอุโมงค์นี้แล้ว ยังมีอีกหลายรูแต่ไม่สามารถเข้ามาภายในได้ มีแค่คนเดียวที่เข้ามาเพราะฉะนั้นก็น่าจะยังหลงเหลือของดีอยู่บ้าง
สำหรับพวกเงินทองและของโบราณเยี่ยเทียนไม่ได้สนใจ แต่เพราะสุสานโบราณพันปี เป็นสถานที่เลี้ยงอาวุธได้ดีที่สุดที่หนึ่ง ถ้าจะต้องหาอาวุธสำหรับฮวงจุ้ย เยี่ยเทียนมาคราวนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว
ยิ่งเวลากระชั้น เยี่ยเทียนไม่มีเวลาเปิดประตูสุสานอย่างปราณีตเท่าไหร่นัก เขาคิดอยากจะใช้ชะแลงงัดอิฐก้อนใหญ่แล้วใช้มือเอาอิฐออกมาทีละก้อนทีละก้อน
หลังจากประตูสุสานเปิดแล้ว เนี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ลอยมาจากรูอุโมงค์นั่น
นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างประตูเป็นและประตูตาย หากเปลี่ยนเป็นขุดอุโมงตรงประตูตาย ภายใต้พลังพิฆาตชั่วร้ายที่ถาโถมเข้ามา ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเอาตัวเข้าไปทดลอง หรือยืนท้าทายอยู่ที่นั่น
แต่ตอนที่มีอากาศอุ่นสายหนึ่งพัดมา เยี่ยเทียนก็ใช้พลังปิดรูขุมขนบนร่างกาย ในขณะเดียวกันก็หายใจเข้าลึก ใช้กระบังลมของเขาเข้าสู่ขั้นตอนการหายใจภายใน
จะต้องรู้ว่า สุสานนี้อยู่ใต้ตินมานานนับพันปีไม่ได้เจอแสงแดด ก่อให้เกิดเชื้อโรคและอากาศพิษ เชื้อร้ายแรงบางชนิดต่อให้เป็นวิทยาการตอนนี้ก็รักษาไม่หาย
เหมือนพีระมิดอียิปต์ หลังจากปิดตายมาเป็นพันปี คนกลุ่มแรกสิบกว่าคนที่เข้าไป ภายในหนึ่งปีก็ทะยอยล้มตายทีละคน โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ สุดท้ายถูกมองว่าเป็นเพราะคำสาปฟาโรห์
แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน พวกเขาไม่ถูกพลังพิฆาตร้ายทำร้ายก็หายใจเอาพิษภายในพีระมิดเข้าไป เพียงแต่พิษพวกนั้นไม่ได้ทำให้ตายทันที ดังนั้นจึงแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน คนจึงค่อยๆ ทะยอยล้มตายกันไป
เยี่ยเทียนถึงจะมีวิชาติดตัว ร่างกายไม่เหมือนคนอื่น แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะโลกใบนี้มีเรื่องที่ไม่รู้อีกมาก ระวังเป็นดีที่สุด
“บ้าเอ้ย นี่…นี่คงไม่ใช่สุสานของกษัตริย์หรอกใช่มั๊ย”
หลังจากรอประมาณห้าถึงหกนาที เยี่ยเทียนก็เข้าไปในประตูสุสาน หลังจากเห็นสภาพของประตูแล้ว ก็ตะลึงงันไป
เพราะหลังประตู ไม่ได้เป็นภาพของห้องสุสานที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้ แต่เป็นทางเดินในสุสานที่ดำมองไม่เห็นปลายทาง ความสูงของทางเดินประมาณสองเมตรได้ พอที่จะให้เยี่ยเทียนเดินไปแบบสบายๆ
บนพื้นของทางเดินของสุสานมีการปูอิฐดำในรูปทรงเดียวกันทั้งหมด ด้านข้างทางเดินเป็นอิฐดำสี่เหลี่ยมยาว ด้านบนแกะสลักรูปคนและภาพการต่อสู้ลอยนูนออกมา
เยี่ยเทียนเรียนสถาปัตยกรรมโบราณมา รูปแบบการสร้างสุสาน ก็เป็นหนึ่งในวิชาสถาปัตยกรรมโบราณ การสร้างสุสานที่ประณีตแบบนี้ ปกติก็มีแต่กษัตริย์ถึงจะมีแบบนี้ได้
หากเป็นข้าราชบริพารชั้นใหญ่ตายไปจะใช้รูปแบบการสร้างใหญ่โตแบบนี้นั่นก็เป็นการเกินไป เพราะคนรุ่นหลังจะถูกมองว่าคิดก่อการกบฏ หากโดนโทษสถานเบาก็ขุดสุสานทำลายกระดูก หากโทษสถานหนักก็ประหารทั้งโคตร
เพียงแต่สุสานแห่งนี้เป็นสุสานปลายราชวงศ์ถังต้นราชวงศ์ซ่ง แต่เยี่ยเทียนก็คิดแล้วคิดอีกก็ไม่มีฮ่องเต้ในยุคถังหรือซ่งที่ฝังไว้ที่เหอเป่ย
ในความจำของเยี่ยเทียน เหมือนกับว่านอกจากเหอเป่ยหม่านเฉิงสุสานอันดับหนึ่งขุดพบที่ซานจิ้งเป็นของหวังหลิวเซิ้ง และยังมีชิงตงหลิงอยู่นอกเหอเป่ย แต่ที่นี่ไม่มีสุสานฮ่องเต้
“ไม่สนอะไรแล้ว เข้าไปดูก็รู้แล้ว!”
ตาเหลือบไปเห็นเวลาเป็นเวลาตีสี่ครึ่งแล้ว อีกทั้งหายใจภายในอยู่ได้นานสุดก็ครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเถลไถลแล้ว เดินตามทางเดินในสุสานไป
ไม่รู้ว่าทำไม ภายในใจของเยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย แต่หลังจากปล่อยพลังออกไป รอบข้างก็ดูเหมือนไม่มีอันตรายอะไร แต่ยิ่งร่างกายเดินลึกเข้าไป ความรู้สึกไม่ปลอดภัยนั้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ภายในใจของเยี่ยเทียนร้องเตือน ลดความเร็วการเดินลงหลายก้าว ไฟหัวกบส่องไปยังทางเดินไม่หยุด เขาเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ภายในสุสานโบราณจะมีกลไกอันตราย หากไม่ระวัง ต่อให้เป็นคนมีประสบการณ์โชกโชนก็โดนฆ่าตายอยู่ในนั้น
หลังจากเดินไปได้สิบเมตร ผนังรอบด้านก็ดูไม่เหมือนจะซ่อนลูกธนูหรือกลไก เยี่ยเทียนค่อยคลายการระวังตัวลง
“เห้ย ที่แท้ก็อยู่ด้านล่าง!”
แต่ในตอนที่เยี่ยเทียนก้าวออกไปก้าวหนึ่งนั้น ภายในใจก็ร้องออกมาว่าแย่แล้ว เพราะเขารู้สึกว่าใต้เท้านั้นว่างเปล่า ร่างกายตกลงไปอย่างไร้การควบคุม
พื้นส่วนนี้ เป็นอิฐปูต่อจากแผ่นกระดาน ในตอนที่เยี่ยเทียนตกลงมา กระดานอีกด้านกระดกขึ้นมา ตีมาทางตัวของเยี่ยเทียนที่ตกลงมาแล้วได้ครึ่งตัว
หากนี่เป็นคนธรรมดาและไม่มีเวลาได้คิด ก็จะตกลงไปในหลุมลึกโดยทันที
แต่เยี่ยเทียนตั้งแต่อายุห้าขวบก็เริ่มฝึกวรยุทธ์ ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าความคิด ในตอนที่ร่างกายกำลังตกลงไป ร่างกายเขาก็หมุนตัวอย่างแรงขึ้นมากลางอากาศ เปลี่ยนเป็นใบหน้าหันลงมา
ได้รับรู้ถึงแรงหมุนของหัว เยี่ยเทียนใช้มือทั้งสองข้างตบไปที่ขอบของหลุมลึก ร่างกายหยุดชะงักไม่ตกลงไปตามแรงโน้มถ่วง ลูกธนูก็ตกลงมาเหมือนห่าฝน
“ปัง!”
ตามมาด้วยเสียงน่ารำคาญดังขึ้น กระดานก็ปิดกลับไป ภายในทางเดินก็เกิดฝุ่นคลุ้งขึ้นมา แต่เยี่ยเทียนที่ออกมาจากหลุมลึกแล้ว ก็ม้วนตัวหลายตลบให้ห่างจากบริเวณที่เป็นกับดัก
“แย่จริงๆ นี่ใครมันคิดขึ้นมาเนี่ยอันตรายจริงๆ”
หลังจากหลีกออกมาได้แล้ว เยี่ยเทียนก็ปล่อยการหายใจภายในออกมา ยืนพิงของประตูทางเข้าใหญ่หายใจอย่างหนักหน่วง หน้าผากเหงื่อผุดซึม เยี่ยเทียนในใจพลันก็ระลึกถึงและขอบคุณอาจารย์ที่คุ้มครอง
เหตุการณ์เมื่อซักครู่ที่ได้พบ ทำให้เยี่ยเทียนเกือบตาย หากช้าไปอีกนิดเดียวเขาก็ต้องฝังร่างไว้ที่สุสานแห่งนี้แล้ว
จะว่าไปเยียเทียนก็ระวังตัวเองมากแล้ว กลัวว่าด้านล่างจะมีกลไก ก่อนที่เขาจะก้าวออกไปแต่ละก้าวจะต้องเอาเท้าข้างหนึ่งก้าวไปเหยียบพื้นอย่างมั่นคงก่อน หากรู้สึกว่าไม่มีกลไกแล้วจึงก้าวขาอีกข้างตามไป
แต่คนออกแบบกลไกอันนี้มีการคิดถึงจิตใจของคนรุ่นหลัง เมื่อก้าวถึงในจุดที่กลับไม่ได้แล้ว เขาจึงได้คิดกระดานรับน้ำหนักพอเมื่อรับน้ำหนักแล้วก็จะกระดกได้อย่างแม่นยำ เพราะใช้เท้าข้างเดียวเหยียบไปจะไม่มีปฏิกริยาอะไร
แต่หลังจากใช้สองเท้าเหยียบลงไป ก็จะเกินกว่าที่กระดานจะรับน้ำหนักได้ ทำให้ไม่มีเวลาป้องกันตัว ถ้าไม่ระวังก็หล่นลงไป คนที่ออกแบบกระดานหกนี้หากอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นนักจิตวิทยาแน่
“นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว เรื่องนี้คิดไม่ถึงมาก่อนเลยจริงๆ”
หลังจากนั่งพักบนพื้นห้าถึงหกนาทีได้ เยี่ยเทียนถึงค่อยลุกขึ้น การกระทำต่อเนื่องเมื่อซักครู่ ทำให้เขาสูญเสียแรงกายแรงใจไปเยอะพอสมควร ในใจยังรู้สึกเพิ่งฟื้นจากความตายมาหวุดหวิด
เมื่อซักครู่ได้คลายหายใจภายในแล้ว หายใจเอาอากาศในสุสานเข้าไป เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจจะหยุดแล้ว เดินเข้าไปที่กลไกเมื่อซักครู่ ยื่นขาเหยียบลงไป
ในครั้งนี้ขาของเยี่ยเทียนที่เหยียบลงไปน้ำหนักประมาณห้าสิบกิโล กระดานแผ่นนั้นส่งเสียงร้องเบาเบา แกนกลางหมุน กลับลงไปด้านล่าง
…………