ไม่ได้พบกันนาน คุณยังอยู่ในใจ (4)

 

เธอส่ายหัวไม่ให้ตัวเองคิดไปเรื่อยเปื่อย มือจับขอบหน้าต่างไว้หมายจะปิดมันลง ลมพัดเยอะแล้วปวดหัว อีกอย่างต่อให้ลมแรงแค่ไหนก็ไม่อาจพัดเอาความมืดครึ้มที่ปกคลุมหัวใจเธออยู่ตอนนี้ไปได้

 

ขณะกำลังจมอยู่ในความคิด ประตูห้องก็ถูกเปิดจากข้างนอกกะทันหัน

 

เธอหันกลับไปโดยอัตโนมัติ เห็นแค่เย่เซียวที่เดินจากไปพร้อมน่าหลันย้อนกลับมาใหม่

 

เขาก้าวขายาวมุ่งตรงมาทางเธอ ต่อให้ไม่เปิดไฟไป๋ซู่เย่ก็สัมผัสถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกจากตัวเขาได้

 

ไม่รอให้เธอไหวตัวทันก็ถูกเขาช้อนตัวโยนลงบนเตียงอย่างไม่อ่อนโยน

 

เธอที่มีทักษะป้องกันตัวอย่างดียามอยู่ต่อหน้าเย่เซียวก็ถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองแรงเปล่าๆ เธอเรียนรู้ได้เร็วจึงไม่คิดขัดขืน เพียงเชิดลำคอขึ้นสบตาดวงตาคู่ที่ฉายแววโกรธอย่างปกปิดไม่มิดของเขา “คุณมาห้องฉันดึกขนาดนี้ น่าหลันรู้ไหม?”

 

เย่เซียวไม่คิดสนใจเธอ ฉีกทึ้งชุดนอนบนตัวเธอทันที ท่วงท่าของเขารุนแรงป่าเถื่อนเหมือนอย่างเคย โหดร้ายไร้ความปรานี

 

ไป๋ซู่เย่เกิดผวาปนกังวลในใจแต่กัดปากไม่ปริเสียงใดๆ เมื่อก่อนอาจจะขัดขืน แต่ตอนนี้เซ็นสัญญาไปแล้ว เธอมีสิทธิ์ขัดขืนเหรอ?

 

อย่างไรซะ…

 

แค่สามสิบวันเท่านั้น

 

ไม่ว่าเขาจะทรมานเธออย่างไร ย่ำยีเธออย่างไรก็มีเวลาเพียงสามสิบวันเท่านั้น หลังจากสามสิบวันนี้ สายสัมพันธ์อันเลวร้ายนี้จะจบลงเสียที…

 

ขณะที่ไป๋ซู่เย่กำลังครุ่นคิดเช่นนี้ก็ถูกพลิกตัวให้นอนคว่ำลง เป็นอย่างคราแรกไม่มีการเบิกทางใดๆ เขาแทรกกายเข้ามาในตัวเธอทันที

 

ความแสบร้อนแล่นเข้ามา เป็นความรู้สึกที่เนื้อกายถูกฉีกออกจากกัน เจ็บจนเธอแทบกลั้นลมหายใจ สองมือกำผ้าปูแน่นปล่อยให้ผ้าปูที่นอนต้องเปียกเป็นดวงๆ เพราะหยาดเหงื่อบนฝ่ามือ ไม่อนุญาตให้ตัวเองครางเสียงออกมาเพราะความเจ็บ ฟันขาวกัดหมอนแน่น

 

เย่เซียวเป็นชายวัยสามสิบกว่าจึงมีพลังเหลือเฟือกับเรื่องแบบนี้ จะไม่ยอมหยุดหากไม่ทำไปสักพัก เมื่อเขาหยุดอีกครั้งตัวเธอก็เปียกโชกด้วยเหงื่อแทบหมดสติรอมร่อ

 

ระบายความใคร่จนเสร็จสิ้นรวมถึงไฟโทสะที่ดับมอดลงอย่างมาก เย่เซียวค่อยๆ ตั้งสติได้ รอพักใหญ่ไม่ได้ยินเสียงเธอก็หัวคิ้วขมวดและรีบเปิดไฟทันที

 

ทั้งห้องสว่างจ้าในชั่วพริบตา

 

เธอที่นอนตัวสั่นอย่างรุนแรงทำเอาเขาแทบหยุดหายใจ หน้าอกเหมือนมีใครเอาค้อนทุบแรงๆ

 

ชั่ววินาทีนั้นเกิดความคิดที่อยากฆ่าตัวเองทิ้ง

 

เดิมทีเธอมีเรือนร่างขาวดุจหิมะไร้ตำหนิ แต่ตอนนี้…

 

เจ้าตัวเหมือนคนเพิ่งถูกใช้ความรุนแรงมาเพราะมีรอยฟกช้ำเต็มตัวอย่างน่าสะพรึง ระหว่างขายังเหลือร่องรอยปะปนด้วยเลือดอันเป็นหลักฐานความผิดของเขา ภาพนี้กระแทกตาเย่เซียว แทงเข้าหัวใจของเขาให้เขารู้สึกบีบรัดไปทั้งหัวใจ…

 

สภาพทรุดโทรมและย่ำแย่ของเธอฉายชัดอยู่ตรงหน้า ไป๋ซูเย่อยากให้เขาปิดไฟแต่เพราะความเจ็บรวดร้าวนี้รวมถึงคอแหบแห้งแทบเปล่งเสียงไม่ออก เธอเสียแรงอย่างมากถึงขยับนิ้วได้ ลากผ้าห่มมาคลุมตัวเองไว้

 

ยังไม่ทันพูดอะไรได้ยินเพียง ‘ปัง!’ ดังสนั่น เย่เซียวกระแทกปิดประตูออกไปแล้ว

 

………………………………

 

ภายในห้องเงียบเหงา

 

เย็นเสียจนน่ากลัว

 

ไป๋ซู่เย่หอบหายใจ หอบแล้วหอบอีกถึงรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ตาย…

 

ยังมีชีวิตอยู่

 

เธอพยายามใช้สองมือยันตัวให้ลุกจากเตียงแต่ด้วยความอ่อนแรงถึงล้มลงอีกครั้งหลังเพิ่งยันตัวได้เพียงนิด

 

ซึ่งมันกระทบไปถึงแผลใต้ร่างของเธอ ความเจ็บทำให้เธอต้องสูดปาก ความจริงนับว่าเป็นครั้งแรกของเธออย่างแท้จริง ครั้งที่ถูกเย่เซียวรุกล้ำเข้ามาหลังงานเลี้ยงฉลองคืนนั้นแค่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีดี

 

แต่ครั้งนี้…

 

ยาวติดต่อกันถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม…

 

ราวกับเยือนนรกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพราะเธอดวงแข็งสุดท้ายก็หวนกลับมาจนได้

 

ที่แท้มีแผลที่เจ็บกว่าแผลจากปืนจากมีดจริงๆ ด้วย…

 

รอสักพักไป๋ซู่เย่ถึงยันตัวเองให้ลุกจากเตียง หน้าผากเปียกชื้นด้วยชั้นเหงื่อที่ยังซึมออกมาไม่หยุด ใบหน้าขาวซีดน่ากลัวกว่าผี

 

นี่แค่วันแรกเท่านั้น…

 

หากสามสิบวันที่เหลือต้องเป็นแบบนี้ เธอชักไม่มั่นใจเสียแล้วว่าจะอดทนได้นานขนาดนั้น

 

…………………………

 

เย่เซียวเตรียมเดินออกไปด้วยสภาพชุดนอน ไม่ทันเปลี่ยนรองเท้าแตะด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่พกร่มไปด้วย

 

ในหัวมีแต่ภาพของเธอหลังถูกตัวเองย่ำยีวนเวียนไปมา ทั้งที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทรมานเธอ เธอทำร้ายเขามามากแค่ไหน? โกหกเขามามากขนาดไหน? ไม่ว่าจะเอาคืนเธออย่างไรก็ไม่ถือว่าเกินไป! แต่ภาพฉากนั้นกลับตอกย้ำเขาไม่หยุด

 

“ท่าน!” หยูอันไม่รู้ว่าเกิดอะไร รีบกางร่มตามออกมา

 

เย่เซียวสาวเท้าเดินไปที่รถโดยไม่สนใจเขา ต่อให้ฝนหนักแค่ไหนลมแรงแค่ไหนเขากลับเหมือนไม่รู้สึกหนาวสักนิด

 

“ดึกขนาดนี้ท่านจะออกไปไหน ต้องให้คนติดตามด้วยไหมครับ?” หยูอันเข้าใจเขาดี เพียงแวบแรกก็รู้ทันทีว่าอารมณ์ของเขาไม่มั่นคง เขากลัวอีกฝ่ายออกไปสภาพนี้แล้วจะเกิดเรื่อง

 

“ไสหัวกลับไป!” ประโยคสั้นๆ กล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าวที่หลุดลอดจากไรฟันเขาอย่างยากลำบาก

 

จากนั้นเขาถึงขึ้นรถ เสียงรถพุ่งทะยานออกไปราวกับจรวด ไม่นานก็หายไปท่ามกลางความมืด

 

…………………………

 

ไป๋ซู่เย่แช่ตัวเองไว้ในอ่างน้ำร้อน แช่อยู่พักใหญ่ความเจ็บด้านใต้ถึงผ่อนเบาลงเล็กน้อย เรี่ยวแรงเริ่มกลับมา

 

กดกริ่งให้คนรับใช้คุณป้าหลี่เข้ามา อีกฝ่ายชะงักไปอย่างชัดเจนเมื่อเห็นเธอที่มีรอยแผลเต็มตัวใต้น้ำ สะท้านเฮือก ดูเหมือนว่าเมื่อครู่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่! แต่คุณไป๋ก็ถือว่าอดทนเก่งมาก กลับไม่หลุดเสียงออกมาให้ได้ยินสักนิด

 

“คุณไป๋ ไม่ทราบว่ามีคำสั่งอะไรหรือคะ?”

 

ป้าหลี่เอ่ยปากถาม ใช้สายตาเหมือนเห็นใจมองเธอ

 

ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่น ทั้งชีวิตของเธอไม่เคยต้องให้ใครมาเห็นใจ แน่นอนว่าเธอก็ไม่เคยตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อน

 

“ช่วยฉันหาชุดนอนตัวใหม่ทีได้ไหม? ตัวก่อนหน้านี้เหมือนจะใส่ไม่ได้แล้ว” เธอกลับพูดตรงไปตรงมาไม่คิดจะปกปิดเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวก่อนหน้ากลายเป็นเศษผ้าเพราะน้ำมือเย่เซียว เขานี่ช่างป่าเถื่อนเสียจริง พอจะจินตนาการได้ว่าขณะที่รุกล้ำเข้ามาในตัวเธอก็ไม่ได้ปรานีจริงๆ

 

เธอตัวสั่นระริกไม่กล้าย้อนคิดอีก

 

กลัวเหลือเกิน

 

“ค่ะ รอสักครู่นะคะ จะรีบไปหาเดี๋ยวนี้” ป้าหลี่ไม่กล้ารอช้า รีบหมุนตัวเดินออกไป

 

……

 

เมื่อเธออุ้มชุดนอนกลับมาอีกครั้งเย่เซียวก็กลับเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อนพอดี

 

ตัวเปียกโชก

 

อาจเป็นเพราะรีบวิ่งเกินไป รองเท้าแตะบนเท้าถึงหลุดหายไปข้างหนึ่ง

 

“นายท่าน!” ป้าหลี่รีบทัก ไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน ผู้ชายคนนี้ปกติเป็นคนสุขุมเย็นชา ไม่ว่าใครก็ควบคุมเขาไม่ได้ กระตุ้นความรู้สึกเขาไม่ได้

 

“จะเข้าไปเหรอ?” เย่เซียวถามเสียงนิ่ง มองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยดวงตาแดงระเรื่อแวบหนึ่ง

 

“ค่ะ เอาชุดนอนไปให้คุณไป๋”

 

เย่เซียวโยนหลอดยาที่เพิ่งซื้อมาจากข้างนอกไว้บนกองชุดนอน ปากบางเม้มเป็นเส้นตรงไม่พูดอะไร

 

………………………………………..