ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 20 เนื้อร้ายที่ไม่ยอมตาย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ความปลอดภัยของครอบครัวดูเหมือนยังเป็นปัญหาที่ยังไม่คลี่คลาย หลังจากเมื่อคิดทบทวนดีแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ตัดสินใจที่จะทำใจกล้าก้าวออกไปนอกบ้านเพื่อเป็นการสำรวจเส้นทางให้ผู้หญิงและเด็กที่บ้าน ซึ่งนี่เป็นความรับผิดชอบของผู้ชายเพียงคนเดียวในครอบครัว ในใจคล้ายกับมีความรู้สึกโศกเศร้าเกิดขึ้น เหล่าทหารผ่านศึกแอบซ่อนอยู่ในมุมมืด ในมือถืออาวุธจำพวกธนูและหน้าไม้ทั้งหมด เตรียมพร้อมทุกเมื่อที่จะป้องกันอันตรายที่เกิดในความมืด

 

 

ท่านย่าคิดว่าอวิ๋นเยี่ยไปสำนักศึกษาเพื่อบรรยายบทเรียนเหมือนปกติ ป้าสะใภ้และอาหญิงก็ไม่ได้เอะใจเสี่ยวยาร้องโวยวายจะขอไปด้วย เสื้อเกราะอ่อนที่สวมไว้ภายใต้เสื้อผ้าเป็นอุปกรณ์ป้องกันชิ้นสุดท้ายที่อวิ๋นเยี่ยมี ยิ้มพลางกล่าวลาคนในบ้านที่ไม่รู้อะไรเลย เขาก้าวเดินออกจากบ้านด้วยความทรมาน

 

 

คนเดียวที่สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของอวิ๋นเยี่ยก็คือซินเย่ว์ รอยยิ้มของสามีที่สามารถทำได้ทุกอย่างในวันปกตินั้นไม่ดูฝืนเช่นนี้ ทั้งที่รู้ว่าสามีอาจจะไปแล้วไม่ได้กลับ แต่คำสั่งเสียของอวิ๋นเยี่ยยังคงวนเวียนอยู่ในหูของนาง “ดูแลท่านย่าให้ดี ที่รัก ถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็ตามอย่าได้ลนลาน ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำ ตอนนี้ยังเป็นช่วงวิกฤต ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลอวิ๋นจะต้องคอยป้องกันพวกโจรตลอดไป คราวนี้ข้าจำเป็นต้องไป”

 

 

ตระกูลใหญ่ย่อมต้องมีศัตรูอยู่แล้ว แต่ไม่มีตระกูลไหนที่เอาชีวิตของหัวหน้าครอบครัวมาล้อเล่นดังเช่นตระกูลอวิ๋น ซึ่งปกติมีแต่จะส่งญาติสายรองของตระกูลไปสังเกตการณ์ก่อน สุดท้ายแล้วบุคคลสำคัญในตระกูลจึงค่อยปรากฏตัวขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

แต่ในตระกูลอวิ๋นนั้นทำไม่ได้ จะให้ท่านย่าหรือภรรยาไปสังเกตการณ์ดี อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตนเองไปเองจะดีกว่า หากเกิดเรื่องกับตนเองจะได้จบง่ายกว่าการเกิดเรื่องกับพวกนาง เพียงแค่ดาบเดียวเอง เจ็บสักครู่ก็ผ่านไปแล้ว

 

 

วั่งไฉที่ไม่ได้โผล่หน้ามานานหลายวันไม่รู้ว่าจู่ๆ โผล่มาจากไหน ขูดกีบเท้าอย่างไม่เป็นสุข คนดูแลม้าเดินเข้าไปดึงเอาไว้ก็ถูกถีบออกมา สัตว์เดรัจฉานมีประสาทสัมผัสไวกว่ามนุษย์มาก มันเอาหน้าวางไว้ที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยแล้วเดินออกไปด้วยกัน

 

 

ในตลาดมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา พ่อค้าทุกคนประสานมือทักทายอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้ม วั่งไฉไม่กินแม้กระทั่งเหล้าหมักที่ปกติชอบกิน เพียงแค่ดมแล้วก็หันหน้าหนีมองหาอะไรบางอย่างไปทั่ว

 

 

ในมือถือลูกเชอร์รี่สีแดงสดราวกับหินอาเกตพวงใหญ่ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะปล่อยวางดีกว่า เพื่อเดินเล่นไปทั่วตลาด เชอร์รี่ก็ไม่ได้ล้าง โยนใส่ปากตนเองหนึ่งลูกแล้วใส่ปากวั่งไฉหนึ่งกำมือ สองพี่น้องเคี้ยวเชอร์รี่แล้ว พ่นคายเม็ดเชอร์รี่ไปในอากาศ เชอร์รี่ห่วยแตกจริง เนื้อน้อยแต่เม็ดเยอะ ทั้งยังแข็งๆ อีก อวิ๋นเยี่ยนั้นกินเพียงเม็ดเดียวย่อมต้องพ่นได้ไกลเป็นธรรมดาและไม่กระเด็นไปโดนคนอื่น วั่งไฉนั้นไม่สนใจเลียนแบบอวิ๋นเยี่ยพ่นคายออกมา สัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีความสามารถเช่นมนุษย์เรา ปากกว้างๆ จึงพ่นน้ำลายออกมาด้วย ทั้งเนื้อเชอร์รี่และเม็ดกระจัดกระจายลอยไปทั่ว ทำให้ผู้คนในตลาดพากันวิ่งหลบเตลิดเปิดเปิง

 

 

จอมล้างผลาญก็ควรมีลักษณะเช่นนี้ ความชั่วร้ายแห่งฉางอันทั้งสามหากไม่ทำเรื่องเลวร้าย แล้วจะให้เป็นคนเลวได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่บ้าความยุติธรรมออกมากำจัดเภทภัยให้ชาวบ้านก็ได้ พวกทหารผ่านศึกบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า นักฆ่าระดับสูงจะมีกฎระดับสูง ตนเองยิ่งทำเรื่องเลวร้ายไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นไปตามเงื่อนไขของการลงมือของพวกเขาก็เป็นได้ ในตลาดไม่มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดี มิฉะนั้นจะแหย่เล่นเสียหน่อยจะได้สร้างบรรยากาศได้มากขึ้น

 

 

พูดตามจริงแล้ว การเป็นคุณชายจอมเสเพลเย้าแหย่หญิงสาวบนถนนเป็นความปรารถนาของอวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เจอผู้หญิงคนไหนที่สามารถทำให้ตนเองอยากแหย่เล่นได้เลย ผู้หญิงสวยของครอบครัวขนาดเล็กคือทรัพย์สมบัติ หากอยู่ในตระกูลใหญ่คือไข่ในหิน ใครจะปล่อยให้พวกนางออกจากบ้านกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงโสด ถ้าผู้หญิงโสดเดินอยู่ตามท้องถนนหากไม่มีคนที่บ้านติดตาม ไม่ต้องให้ผีราคะอย่างอวิ๋นเยี่ยลงมือก็จะถูกคนของทางการจับตัวไป อย่างน้อยก็ต้องโดนโบยสิบห้าไม้ กฎหมายต้าถังกำหนดไว้เช่นนี้ จนถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ทราบสาเหตุ

 

 

ชายหนุ่มที่ขายเนื้อหมูเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยเดินวนไปมาอยู่สามรอบ แต่ก็ไม่เห็นสาวน้อยที่สวมเสื้อลายดอกไม้ออกมาด้วย จึงก้มหน้ามองไส้หมูบนโต๊ะแล้วใช้เชือกฟางมัดไส้หมูเสร็จสรรพ เดินมาที่เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย และยกไส้หมูขึ้นมาด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังมองหาไส้หมูอยู่ใช่หรือไม่ อยู่ที่นี่ไง ทำไมน้องสาวเจ้าไม่มา”

 

 

จึงเหลือบตามองไปที่ชายหนุ่มที่อย่างมากก็มีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น หมัดของอวิ๋นเยี่ยก็กระแทกเข้าที่จมูกของชายหนุ่มคนนี้ หน้าด้านสิ้นดี เจ้าขายไส้หมูอยู่ดีๆ ก็ดีแล้ว อุตส่าห์จะจำน้องสาวข้าได้ สมควรโดน

 

 

ศีรษะของชายหนุ่มนั้นเบี่ยงข้างออกไปเล็กน้อย หมัดของอวิ๋นเยี่ยจึงต่อยอากาศแล้ว เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วดึงแขนของอวิ๋นเยี่ยพาดไว้บนไหล่ของตนและถามขึ้นอีกว่า “ถ้าหากต่อไปข้าให้ไส้หมูแก่เจ้า เจ้าจะยกน้องสาวเจ้าให้ข้าได้หรือไม่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยแทบจะอาเจียนเป็นเลือด มือซ้ายกลับทำท่าไม่ให้แสดงท่าทางหุนหันพลันแล่น เขาอยากเห็นว่าชายหนุ่มผู้แปลกประหลาดคนนี้จะทำอะไรกันแน่ “เจ้าเป็นคนฆ่าหมู ข้าเป็นโหวเหยีย น้องสาวข้าเจ้าคู่ควรอย่างนั้นหรือ”

 

 

“แล้วจะทำไม พ่อของข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ แม่ข้าเป็นองค์หญิง เจ้าว่าข้าไม่คู่ควรกับน้องสาวเจ้าตรงไหน” ชายหนุ่มพูดเบาๆ ข้างหูอวิ๋นเยี่ยโดยไม่มีแสดงออกว่าล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

 

 

“เหลวไหลไร้สาระ แม่ทัพในราชวงศ์ไม่มีคนที่ข้าไม่รู้จัก องค์หญิงหกคนที่อภิเษกออกไป ราชบุตรเขยข้าก็รู้จัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีลูกเช่นเจ้า จะเหมาะสมที่จะไปเป็นโจรมากกว่า”

 

 

ทั้งสองคนยืนพัวพันกันอยู่เหมือนกับเพื่อนสนิทสองคนกำลังพูดคุยกัน ผู้คนที่สัญจรไปมาในตลาดจึงไม่มีใครสนใจ ชายหนุ่มมองไปรอบๆ โดยเฉพาะสถานที่ที่ทหารผ่านศึกซ่อนอยู่และพูดขึ้นอีกว่า “เจ้าพูดอีกก็ถูก บรรพบุรุษข้าเป็นโจร ปู่ก็ใช่ พ่อก็ใช่ เพียงแต่ต่อมาเขาต้องการที่จะเป็นแม่ทัพ ดังนั้นจึงเลิกเป็นโจร ข้าเองก็ไม่อยากเป็นโจร ดังนั้นจึงได้มาขายหมู ว่าอย่างไร ข้าให้สัญญาว่าจะดีกับน้องสาวเจ้า ชั่วชีวิตจะมีนางเพียงคนเดียว ถ้ามีผู้หญิงคนอื่นจะให้น้องสาวเจ้าฆ่านางเลย ว่าอย่างไร ลูกผู้ชายพูดอะไรตรงไปตรงมาหน่อย”

 

 

“ไปตายซะ” อวิ๋นเยี่ยแทบจะบ้าอยู่แล้ว ตั้งแต่เจ้าคนบ้าโผล่ออกมา เพียงแค่ไส้หมูก็จะมาขอแลกต้ายาไป ข้าจะจับเจ้าทำขันทีจะดูว่ายังจะคิดเรื่องเหลวไหลไร้สาระอีกหรือไม่ เมื่อคิดดังนี้แล้วก็ยกเท้าขึ้นเตะเข้าไปที่หว่างขาของชายหนุ่มคนนี้

 

 

ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะต้องมอง หัวเข่าสองข้างหนีบเข้ามาก็สามารถหยุดเท้าของอวิ๋นเยี่ยไว้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเพียงว่าเท้าของเขานั้นไร้ความรู้สึก เหมือนถูกคีมปากเสือหนีบเอาไว้ไม่สามารถขยับได้เลย วั่งไฉใช้หัวไปชนชายหนุ่ม เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย วั่งไฉร้อนรนจนส่งเสียงร้องไม่หยุด

 

 

เหล่าทหารผ่านศึกรีบวิ่งออกจากที่ซ่อนโดยไม่มีอาวุธ เพราะเกรงว่าจะทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด ชายหนุ่มจึงปล่อยอวิ๋นเยี่ย แล้วปัดหัววั่งไฉไปอีกด้านด้วยแขนข้างเดียว เอาไส้หมูใส่ไว้ในมือของอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “นี่เป็นของขวัญก่อน พ่อและแม่ของตายไปนานแล้ว ไม่มีผู้อาวุโสไปสู่ขอ จึงได้แต่ต้องมาด้วยตัวเอง คืนนี้ข้าจะไปหาน้องสาวเจ้าเพื่อพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงสิ ท่านพี่เมีย ข้าชื่อซ่านอิง มาจากหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง”

 

 

หลังจากพูดจบเขาก็ขยับกายบิดซ้ายบิดขวา ฝ่าวงล้อมทหารผ่านศึกออกไปเหมือนงูที่เลื้อยหนี ขณะที่จากไปยังประสานมือพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านสามารถวางกับดักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ให้ท่านพี่เมียได้เห็นฝีมือของน้อยเขยบ้าง”

 

 

อวิ๋นเยี่ยยืนนิ่งอยู่กลางถนนราวกับถูกฟ้าผ่า พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว เจ้าหมอนี่ต้องเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนอย่างโหดเ**้ยมแน่นอน แต่ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าตน ด้วยวิธีการของเขาหากต้องการที่จะฆ่าตนก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเอง หมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง? ทำไมสถานที่แห่งนี้จึงฟังคุ้นหูนัก

 

 

เขาห้ามไม่ให้ทหารผ่านศึกไล่ตามไปและสั่งให้ทุกคนกลับบ้านเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมของชายคนนี้ในคืนนี้ คนประเภทนี้อวิ๋นเยี่ยเพิ่งพบเป็นครั้งแรกและเพิ่งจะประมือด้วยเป็นครั้งแรก ซีถงถือเป็นยอดฝีมือ แต่หากเทียบกับชายคนนี้ยังห่างชั้นกันไกลเหลือเกิน นี่เป็นตัวละครแบบเดียวกันกับคงค่งเอ๋อร์และจิงจิงเอ๋อร์ในเรื่องเล่าเลย ชายคนนี้บอกว่าคืนนี้เขาจะมา บางทีเขาอาจจะมาจริงๆ ก็เป็นได้

 

 

“เจ้าหนุ่ม คืนนี้ข้ากับต้ายาจะรอเจ้าอยู่ในเขาวงกตของสำนักศึกษา ขอเพียงเจ้าสามารถฝ่าเขาวงกตได้ ก็แล้วแต่เจ้าตัดสินใจ” จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็ตะโกนเสียงดังขึ้นกลางอากาศ

 

 

เสียงแผ่วๆ ที่ดังสวนกลับมา “ได้ เยี่ยมมาก ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น พูดแล้วไม่กลับคำ หากข้าพ่ายแพ้ก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการ”

 

 

“หึๆ” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะขึ้น เจ้าหนุ่ม เจ้าฝีมือดีแล้วจะทำอะไรได้ อย่างไรก็ได้ดื่มน้ำล้างเท้าต่อหน้าข้าแน่ เขาวงกตอันนั้นหลายวันนี้ถูกหลี่ซื่อหมินที่ชอบวิธีการฆ่าคนที่แปลกประหลาดปรับเปลี่ยนจนเละเทะไม่เป็นชิ้นดี กงซูมู่เองยังชมไม่ขาดปาก

 

 

อวิ๋นเยี่ยยอมจ่ายเลยบอกได้ว่าเขาจะไปได้ไม่เกินสิบจั้ง ไม่เชื่อว่าเขาจะฝ่ามันออกมาได้ ไม่รู้ว่ารหัสผ่านของกำแพงเงานั้นหลี่ซื่อหมินลืมจริงๆ หรือว่าแกล้งลืมกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ไม่มีใครรู้เลย ไม่ได้ เจ้าหมอนี่ดูประหลาดเกินไป ต้องไปหาอาจารย์ซุนเพื่อขอยามาเพิ่มในเขาวงกตเอาไว้น่าจะดีกว่า…

 

 

เมื่อกลับถึงบ้าน ทันทีที่ไปถึงห้องนอนของตนเองก็เห็นซินเย่ว์ร้องไห้คร่ำครวญกอดอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าถ้าปล่อยแล้วอวิ๋นเยี่ยจะหายไป เขาจึงปล่อยให้นางกอดไว้พลางลูบหลังปลอบนาง เขาเองก็รู้สึกว่าตนเองไปเที่ยวนรกมาหนึ่งรอบ ตอนนี้มาย้อนคิดจึงพบว่าการกระทำของตนเองนั้นประมาทเกินไปจริงๆ

 

 

ครั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ซินเย่ว์ฟัง ปากอันจิ้มลิ้มน่ารักของซินเย่ว์นั้นเปิดค้างแล้วจ้องมองไปที่ไส้หมูที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วมองดูตัวเอง คิดถึงว่าต้ายาที่อายุน้อยๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนและสติปัญญาอันเฉียบแหลม แม่หนูอายุสิบสามปีคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทำให้คนร้ายที่ฆ่าคนดั่งผักปลายอมวางมีดลงด้วยความเต็มใจ แล้วเดินเข้าไปในกับดักของสามีอย่างเต็มใจหรือ

 

 

อวิ๋นเยี่ยกลับกำลังนึกถึงชื่อสถานที่ของหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง แล้วเผลอร้องเพลงสมัยฉินขึ้นมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว “น้องชายเห็นการเขียนของเจ้าแล้วจึงซุบซิบนินทา โดยบอกให้ย้ายเจ้าไปที่หมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง เจ้าบอกว่าหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวงไม่ควรอยู่นาน จะสร้างจวนให้พี่ชายได้อยู่อย่างเป็นสุข ในวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนเจ็ดวันเกิดท่านแม่ พวกเราไปคำนับที่เบื้องหน้าหอตระกูลเจี่ย”

 

 

ซินเย่ว์ฟังทำนองเพลงประหลาดที่อวิ๋นเยี่ยร้องอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยได้ยินสามีร้องเพลง เพราะเหตุใดวันนี้จึงมีอารมณ์สุนทรีย์มาร้องเพลงในเวลานี้ เสียงแปลกๆ ทำนองไม่น่าฟังแต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกฮึกเหิม

 

 

เข้าใจหมดแล้ว ยังมีสถานที่ที่ไม่ควรมีอย่างหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวงอยู่จริงๆ เจ้าหนุ่มที่ชื่อซ่านอิงเป็นลูกชายของซ่านสยงซิ่นจริงๆ ด้วย พ่อของเขาถูกอวี้ฉือกงโจมตีจนพ่ายแพ้ในปีอู่เต๋อที่สี่และถูกฆ่าตายในที่สุด คนรับใช้ก็ถูกหนิวจิ้นต๋าจับฝังไว้ในหลุมหมื่นวิญญาณ ยกพลทหารม้ากวาดล้างเป็นเวลาสองวันจนเรียบเป็นหน้ากลอง เมื่อเหล่าเฉิงพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็รู้สึกสังเวชใจยิ่งนัก ตนเองและซ่านสยงซิ่นคบค้ากันไม่มีเรื่องขัดแย้ง แต่สุดท้ายต้องเห็นเขาโดนประหารต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจที่สุดในชีวิตของเขา เหล่าหนิวเองก็นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่าเขายังเหลือรากเหง้าเส้นหนึ่งไว้ให้ซ่านสยงซิ่น คิดไม่ถึงว่ารากเส้นนี้วันนี้จะเติบโตขึ้นเป็นเถาวัลย์ป่าที่มีพิษร้าย ไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นเอาชีวิตคนได้

 

 

เจ้าหนุ่มที่ตกลงมาจากท้องฟ้า หรือว่าเตรียมจะจัดแสดงการแก้แค้นที่สมบูรณ์แบบให้ดูสักตอน เรื่องนี้ต้องปกปิดต่อไป ในเมื่อเจ้าสารเลวคนนี้วันนี้ไม่ฆ่าตน นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เป็นศัตรูต่อตระกูลอวิ๋น สำหรับการลอบสังหารหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยคิดมาตลอดว่าสมน้ำหน้าแล้ว หนี้เลือดหลายล้านชีวิตที่เกิดจากน้ำมือเขา ไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่จะมีคนสักหนึ่งหรือสองคนต้องการฆ่าเขา

 

 

เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี แม้ว่าตอนนั้นหลี่ซื่อหมินไม่ได้ฆ่าซ่านสยงซิ่นทั้งครอบครัวของ ตอนนี้ขอเพียงแค่เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้ได้ลอบสังหารเขา บางทีเขาอาจจะยอมปล่อยซ่านอิงไป

 

 

เรื่องราวต้องเตรียมการไว้สองหน้า หากซ่านอิงเตรียมพร้อมที่จะทำการแก้แค้นครั้งยิ่งใหญ่ของเขาให้ได้ คืนนี้ควรจะเป็นคืนสุดท้ายของเขา ถ้าหากเรื่องราวยังสามารถแก้ไขได้ ก็ควรจะรีบจับโยนไปให้ตระกูลหนิวและตระกูลเฉิงจัดการ ตนเองไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย