เมื่อผลักประตูไม้สนที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลออก อวิ๋นเยี่ยก็พบว่าลานเล็กๆ นั้นสะอาดและเป็นระเบียบ ไม่มีกลิ่นคาวเลือดที่โดยปกติมักพบในบ้านของคนขายเนื้อเลย ดินโคลนเต็มไปด้วยความแบนราบและมีชั้นดินใหม่อยู่ใต้ชั้นไม้ พื้นดินโคลนถูกอัดแน่นเป็นพื้นที่เรียบ ใต้โครงไม้นั้นมีดินใหม่กองอยู่ชั้นหนึ่ง เป็นเพราะเด็กน้อยคนนั้นตักดินที่มีคราบเลือดออกไปแล้วจึงกลบดินใหม่อีกครั้ง ถังไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้ต้มหมูได้ถูกแขวนคว่ำที่มุมกำแพง มีเชือกอีกเส้นหนึ่งผูกทแยงมุมไว้กับลานบ้านซึ่งสูงประมาณระดับหลอดลมของผู้ที่มาเยือนพอดี โดยที่เชือกนั้นเส้นเล็กมาก ทั้งยังส่องประกายสีทองระยิบระยับ
อวิ๋นเยี่ยยื่นมือไปลองจับเชือกดู เชือกก็ส่งเสียงปึ๋งๆ ทุ้มต่ำ ให้ตายสิ นี่มันเป็นค่ายกลในการตัดศีรษะคนชัดๆ ไม่เคยเห็นเชือกเช่นนี้มาก่อนและก็ไม่ใช่ลวดด้วย ถ้าหากใช่อวิ๋นเยี่ยก็จะขอหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขา
“เจ้ามีเชือกแบบนี้มากไหม พอจะมอบให้ข้าบางส่วนได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามขึ้นกลางลานบ้านที่ว่างเปล่าไร้ผู้อาศัย
เขาไม่เชื่อว่าซ่านอิงจะอยู่ห่างจากเขามากนัก หากไม่จับตัวผู้ชายคนนี้ไว้ ทหารผ่านศึกจะไปพบซุนซือเหมี่ยวเพื่อขอเกสรดอกไม้ที่ทำให้คนคันไปทั้งตัวได้อย่างไรกัน คราวที่แล้วเห็นเหล่าซุนให้นักเรียนรวบรวมเอาไว้เป็นห่อใหญ่
ในที่สุดก็มีเสียงคนที่อยู่เหนือศีรษะตอบว่า “นี่คือลวดหนังงู งูที่ลำตัวยาวประมาณหกเมตร หนังบนตัวมันนั้นใช้ได้เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น ข้าเก็บสะสมมาเป็นเวลานานจึงกักเก็บไว้ได้ส่วนหนึ่ง ถ้าหากเจ้าชอบ ของส่วนที่เหลือนี้ข้ายกให้เจ้า”
อวิ๋นเยี่ยนั้นไม่มีคำว่าเกรงใจ เขาเริ่มปลดหัวเชือกทันที แต่ปมเชือกนั้นแปลกมาก มันไม่ใช่วิธีผูกปมเชือกที่คนแดนกวนจงใช้กันทั่วไป บางอันเป็นเงื่อนพิรอดกระตุกหางข้างเดียวที่พันกันคล้ายตัวเลขแปดตัวนั้นซับซ้อนมาก
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยี่ยเคยเรียนมา เมื่อดึงปลายเชือกด้านที่เป็นปม เชือกก็จะหลุดลงมา เขาค่อยๆ ม้วนพันเชือกเก็บขึ้นมา เชือกที่มีความยืดหยุ่นเหล่านี้ยาวสองถึงสามจั้ง[1] เมื่อขดไว้ในมือกลับดูน้อยมาก แต่น้ำหนักกลับไม่เบาเลย
ซ่านอิงกระโดดลงมาจากหลังคามองดูสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยทำทั้งหมดนี้ด้วยความสนใจ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเก็บเชือกเข้าอกเสื้อจึงได้พูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา เจ้ารู้ไหม ข้าเฝ้าดูเจ้าอยู่เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่เจ้าพูดกับแม่ทัพแห่งหน่วยข่าวกรองเมื่อหลายวันก่อน ข้าประหลาดใจมาก เจ้ารู้สถานการณ์ที่นั่นได้อย่างไร เจ้าเคยไปมาหลายที่อย่างนั้นหรือ”
ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงไหน ธรรมชาติของเด็กก็ยังแสดงออกมาอย่างชัดเจน ความอยากรู้อยากเห็นเป็นข้อบกพร่องที่อันตรายที่สุดในช่วงอายุของเขาในตอนนี้ เพราะเขาเองก็มีนิสัยเช่นเดียวกันกับหลี่ไท่
อวิ๋นเยี่ยนั่งขี่ท่อนระเบียงไม้ที่อยู่ในลานบ้านเอนหลังพิงโครงเสาไว้ พลิกมือหยิบถั่วปากอ้าหนึ่งถุงใหญ่ออกมาจากหลังโครงเสาแล้วเปิดออกดู เมื่อเห็นไม่ขึ้นราจึงโยนเข้าปากหนึ่งชิ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะวางถั่วปากกว้างไว้ข้างหลังโครงเสานั่น” ซ่านอิงยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น
เขามั่นใจว่าตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยก้าวเข้ามาเขาต้องไม่เห็นด้านหลังของโครงเสาไม้นั้นอย่างแน่นอน ร่างกายหดเกร็งไปทั้งร่างดุจเสือดาวที่กำลังจะล่าเหยื่อ
“สถานที่ที่สะดวกสบายที่สุดในลานบ้านของเจ้าก็คือระเบียงไม้ท่อนนี้ ซึ่งมันเหมาะกับการดูดาวอย่างลงตัว ข้าไม่นั่งตรงนี้แล้วจะให้ข้าไปนั่งที่ไหนกัน การเอาแต่นั่งชมดาวไปอย่างเลื่อนลอยไม่ใช่วิสัยของคนหนุ่มสาว อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีขนมขบเคี้ยวบ้าง ไม่เช่นนั้นก็ควรจะมีเหล้าสักกา แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือขณะที่เจ้าต้มถั่ว ไม่ควรใส่เครื่องเทศจำนวนมากถึงเพียงนั้น เพราะข้าได้กลิ่น”
ซ่านอิงเขกศีรษะตนเองอย่างแรงแล้วจึงค่อยคลายอาการตึงเครียดและถอนหายใจ
อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลมาก เขาได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดกับหงเฉิงซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าในคืนนั้นเขาอยู่ไม่ไกลจากตน
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเล็กๆ ของตนเองแต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยมองข้าม
ในคืนนั้นเหล่าองครักษ์ควรจะได้ค้นหาอย่างละเอียดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังสามารถเข้าใกล้ตัวเองได้ เมื่อคิดถึงเมื่อครั้งที่เขาเคยสอนกลยุทธ์ให้กองกำลังพิเศษก่อนหน้านี้ ก็ทำให้เสียวสันหลังเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง
“เจ้ายังคิดจะลอบสังหารฮ่องเต้อีกหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามอย่างเปิดอก วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่คนเราทำอะไรบุ่มบ่ามและเป็นคนขี้สงสัยมากที่สุด พวกเขาจะมองข้ามทุกอย่าง และสงสัยทุกอย่าง หรือไม่ก็จัดการให้จบไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ไม่สังหารแล้ว ข้าสาบานแล้วว่าจะลงมือเพียงครั้งเดียว ขันทีที่นั่งงีบหลับอยู่บนอาคารในคืนนั้นน่ากลัวมาก ข้าไม่แน่ใจว่าจะรอดชีวิตจากมือของเขาได้ บวกกับสิ่งที่เจ้าพูดนั้นน่าสนใจอย่างมาก ข้าฟังจนเคลิบเคลิ้ม ลืมเรื่องที่จะลงมือไปสนิทใจ”
ซ่านอิงเป็นคนตรงไปตรงมามาก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับอวิ๋นเยี่ย
“คนงี่เง่าอย่างเจ้า เริ่มสนใจน้องสาวข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพียงแค่คนฆ่าหมูที่ไม่มีอะไรเลย ถึงกับกล้าหมายปองคุณหนูตระกูลขุนนาง เจ้าไม่รู้สึกกระดากตนเองบ้างหรือ เจ้าสามารถดูแลนางได้หรือ ถึงตอนนั้นให้เจ้าฆ่าหมู แล้วให้น้องสาวข้ามานั่งกลับไส้หมูขายหรือ”
อวิ๋นเยี่ยถามพลางเคี้ยวถั่วปากอ้าและพยายามวางตัวให้อยู่ในสถานะเดียวกับเขาให้มากที่สุด
ซ่านอิงใบหน้าแดงก่ำเมื่อถูกคนอื่นถามถึงจุดที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดในใจ เป็นใครก็คงสีหน้าไม่ดีแน่
อึกๆ อักๆ พูดไม่ออกอยู่เป็นนานก็รีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องและหยิบห่อผ้าใหญ่ๆ ห่อหนึ่งออกมาเปิดต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย
ภายใต้แสงแดดยามอาทิตย์อัสดงได้สะท้อนประกายแวววับจับตา สีหน้าของชายหนุ่มผู้นี้แสดงออกถึงความลำพองใจ
อวิ๋นเยี่ยเหล่มองเพียงแวบเดียวก็ถอนหายใจ และกระโดดลงมาจากระเบียงไม้ แล้วหยิบแก้วสีเขียวขึ้นมาหนึ่งใบส่องใต้ดวงอาทิตย์เพื่อมองดู ด้านในเต็มไปด้วยฟองอากาศ ในห่อผ้าเต็มไปด้วยลูกปัดแก้วที่บูดเบี้ยวไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ามีความมั่งคั่งอย่างมากในต้าถัง แต่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงขยะกองหนึ่ง หากใครในยุคปัจจุบันยอมจ่ายเงินสิบหยวนเพื่อซื้อกองขยะเหล่านี้มา คงต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายเลย
จึงโยนแก้วกลับลงไปในกองขยะ ทำให้เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ และมันก็แตกออกเป็นสองส่วน ดวงตาของซ่านอิงจะแดงก่ำอยู่แล้ว ของสิ่งนี้เป็นของที่ดีที่สุดที่เขาควานหาอยู่เป็นนานจากปล้นกองคาราวานซีอวี้ ใครจะคิดว่าตอนนี้มันแตกออกเป็นสองส่วนแล้ว
“จะตาแดงก่ำไปไย กองขยะทั้งกองยังจะมีหน้าเอาออกมาโอ้อวดอีก ไม่อายหรืออย่างไร คิดจะใช้ขยะกองนี้มาสู่ขอน้องสาวข้าหรือ เจ้าอาจจะยอมขายหน้าผู้อื่น แต่ข้าไม่ รีบเก็บขึ้นมา เห็นแล้วสะอิดสะเอียน”
การแสดงออกที่ดูถูกเหยียดหยามของอวิ๋นเยี่ยนั้นน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก ทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีของชายหนุ่มจนแหลกสลายเป็นผุยผง
อวิ๋นเยี่ยเองก็ราวกับจะได้ยินเสียงหัวใจที่แหลกสลายของซ่านอิง
ซ่านอิงตะโกนใส่อวิ๋นเยี่ยด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด “หากเจ้าแน่จริงก็เอาเครื่องแก้วที่ล้ำค่ากว่านี้ออกมาให้ดูสิ แล้วข้าจะ…ยอมนับถือเจ้าเลย”
อย่างไรเสียก็ถือเป็นเด็กที่ฉลาด ประโยคที่ว่าจะให้เจ้าจัดการได้ตามสบายที่กำลังจะหลุดจากปากก็กลายเป็นสามคำที่ว่ายอมนับถือแทน
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก มองหน้าซ่านอิงตาไม่กะพริบและพูดว่า “เพียงแค่คำว่ายอมนับถือมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่สู้สาบานให้รุนแรงกว่านี้หน่อยจะดีกว่า”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร บ้านเจ้าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยขึ้นชื่อของเมืองฉางอัน บางทีอาจจะมีของที่ดีกว่าสิ่งเหล่านี้อีก ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก ถ้าเจ้าแน่จริงก็นำมันออกมา แล้วข้าจะยอมนับถือเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยหยิบกระจกที่มีขนาดหนึ่งตารางนิ้วออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนให้ซ่านอิง นี่เป็นแก้วไร้สีที่ดีที่สุดที่ตระกูลอวิ๋นได้ทำการวิจัยการกัดเซาะแผ่นฟอยล์สีเงินด้วยปรอทออกมา ในที่สุดก็ได้กระจกขนาดหนึ่งนิ้วที่สมบูรณ์ออกมาสามชิ้น จากนั้นจึงตัดเป็นกระจกกลมเล็กๆ จำนวนสามชิ้น ชิ้นหนึ่งให้ท่านย่า อีกชิ้นหนึ่งให้ซินเยวี่ยและอีกอันหนึ่งอวิ๋นเยี่ยเก็บไว้เอง เสี่ยวยาพยายามหลอกถึงแปดครั้งแต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ให้ ตอนนี้เสี่ยวยายังคงโกรธอยู่
ซ่านอิงยื่นมือออกมาคว้ากระจกกลมไว้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็หน้าซีดเหมือนไก่ต้ม เขาที่ปรากฏในกระจกคิ้วคมดั่งดาบ จมูกโด่งดั่งสันเขา รอยหนวดบางๆ อยู่เหนือริมฝีปากของเขา ขนตาก็เห็นได้อย่างชัดเจน ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เพียงแต่สีหน้าไม่ค่อยดีนักเท่านั้นเอง
“ยังจะบอกอีกหรือว่าของที่เจ้านำออกมานั้นไม่ใช่ของห่วยๆ ถ้านำของเหล่านี้ไปให้ต้ายา ต้ายาคงจะหัวเราะท้องแข็งและร้องไห้จนหายใจไม่ออกแน่” อวิ๋นเยี่ยเริ่มโจมตีด้วยลิ้นอสรพิษ เตรียมที่จะระเบิดความหยิ่งในศักดิ์ศรีของชายหนุ่มผู้น่าสงสารให้แหลกสลายอย่างแท้จริง
ซ่านอิงสองมือถือกระจกกลมส่งคืนให้อวิ๋นเยี่ย ใครจะรู้อวิ๋นเยี่ยกลับเบ้ปากและพูดกับเขาว่า “อันนี้เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ เมื่อครู่ขอเชือกของเจ้า ทั้งยังทำของห่วยๆ ของเจ้าแตกอีก ถือว่าข้าชดใช้ให้เจ้าก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะให้คนรับใช้ที่บ้านทำอันใหญ่ขนาดฝ่ามือให้ข้าอีกอัน กระจกอันนี้มันดูเรียบๆ เกินกว่าจะให้ข้านำมันออกมาให้ผู้อื่นเห็น”
ซ่านอิงวางกระจกลงบนพื้น ยกขาขึ้นแล้วเตะท่อนไม้ที่มีขนาดเท่าขาคนซึ่งปักอยู่ในดินด้านข้างจนขาดเป็นสองท่อน แล้วถามอวิ๋นเยี่ยด้วยดวงตาอันแดงก่ำว่า “ด้วยวรยุทธ์ข้า เช่นนี้น่าจะคู่ควรกับต้ายาแล้วสินะ” นี่คือความหวังสุดท้ายของเขา
อวิ๋นเยี่ยมองท่อนไม้ที่หักเป็นสองท่อนแล้วพับขากางเกงของซ่านอิงขึ้นไป แล้วชี้ไปยังบริเวณที่บวมแดงและพูดว่า “วิชายังไม่ถึงขั้น น้องสาวข้าเป็นผู้หญิงนะ แน่นอนว่าต้องไม่หยาบกระด้างเหมือนเจ้า เอะอะอะไรนิดหน่อยก็เตะท่อนไม้ การฝึกวรยุทธ์และการเรียนรู้ต่างก็เป็นสิ่งที่ต้องผ่านการฝึกฝนและใช้ความเข้าใจ มีอะไรน่าโอ้อวด ต้ายาอ่านตำราและคัมภีร์ได้อย่างลึกซึ้งตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ศาสตร์การคำนวณก็เริ่มเข้าใจดีแล้ว จริงด้วย ข้ายังมีการบ้านของนางอีกสองข้อที่นางทำในวันนี้ หากเจ้าสามารถทำได้ ข้าสาบานว่าข้ารับปากเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้า ยอดคนในวัยเยาว์ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ เจ้าดูสิ ข้าเป็นคนใจกว้างเพียงไหน สาบานด้วยความจริงจังเพียงใด ไม่เหมือนเจ้าที่พูดด้วยหน้าตาเฉยเพียงสามคำว่ายอมนับถือเพื่อพยายามจะหลอกข้า”
ซ่านอิงที่ตาแดงก่ำมาตั้งนานแล้วก็แย่งการบ้านไป เขายังคงมั่นใจในตัวเองอยู่มาก ติดตามฝึกวรยุทธ์กับคนแปลกหน้า ฝึกวิชาด้วยความลำบากมาสิบปี ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะไม่คุ้นเคยกับการเรียนรู้ เขาไม่คิดว่าต้ายาจะมีความรู้มากมายเสียเท่าไหร่ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาหลงรักต้ายาก็คืออุปนิสัย และกริยาการพูดของต้ายานั้นคล้ายคลึงกับมารดาในความทรงจำของเขามาก สนิทสนมเป็นกันเองไม่ได้เสแสร้ง ในฐานะลูกหลานโจร หากพบผู้หญิงเช่นนี้ไม่รีบแต่งงานด้วยแล้วจะให้รอถึงเมื่อใดกัน
แต่เมื่ออ่านหัวข้อการบ้าน ใจเขาก็หล่นลงไปที่ตาตุ่ม เขาถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างบนนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง เขาเห็นเพียงวงกลมๆ ขีดแนวนอนและน้ำเต้า มีแม้แต่น้ำเต้าครึ่งลูก นี่มันคืออะไรกัน
“อย่าคิดว่าข้ากำลังปกปิดเจ้า สิ่งเหล่านี้คือความรู้ใหม่ๆ ที่ถ่ายทอดมาจากซีอวี้ ต้ายานั้นเชี่ยวชาญความรู้เหล่านี้มานานแล้ว ศาสตร์การคำนวณเหล่านี้เรียกว่าอสมการ เจ้าเคยได้ยินชื่อนี้หรือไม่ ต้องการให้ข้าอธิบายให้ละเอียดกว่านี้หรือไม่ เจ้าอยู่สถานศึกษาตลอดทั้งวัน ทั้งยังไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า ถ้าไปสถานศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้เสียหน่อยก็ไม่ถึงตาย วันนี้ฆ่าคนนี้ พรุ่งนี้ฆ่าคนนั้น แล้วเมื่อไหร่จะลืมตาอ้าปากได้กัน
บิดาเจ้าทำตามคุณธรรมที่ต้องการให้เป็นจริงได้ ชื่อเสียงก็โด่งดังไปตลอดกาล มารดาเจ้ายอมพลีชีพ แต่ก็ไม่ทนต่อการเหยียดหยาม เพื่อบิดาเจ้านางก็คือหญิงที่เข้มแข็งเช่นกัน พวกเขาได้เลือกใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใด จำเป็นต้องให้เจ้าร้องไห้ฟูมฟายทุกวัน แล้วบอกว่าจะต้องแก้แค้นให้พวกเขาด้วยหรือ มารดาเจ้าก่อนสิ้นลมบอกว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยกำลังเดิมพันว่าธรรมชาติของความรักที่แม่คนหนึ่งมีต่อลูกของตนเองอยู่ นางจะต้องไม่ปล่อยให้ลูกของตนเองไปเป็นศัตรูกับหลี่ซื่อหมินที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน สำเร็จหรือล้มเหลวล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับลูกของนาง
“เจ้ารู้หรือว่าบิดาข้าคือใคร แล้วก็รู้ด้วยว่ามารดาข้าคือใคร เจ้ารู้เรื่องของพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
“หมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง นอกจากซ่านสยงซิ่นแล้วยังจะมีใครอีก องค์หญิง นอกจากบุตรีของหวังซื่อชงแล้วเจ้าคิดว่ายังจะมีใครอีก หากเจ้าไม่ใช่ลูกชายของซ่านสยงซิ่น เจ้าคิดว่าข้าจะเสี่ยงมาที่บ้านเจ้าเพื่อพูดเรื่องบ้าบอเหล่านี้หรือ ป่านนี้คงให้กองทัพโอบล้อมไว้นานแล้ว”
“ท่านแม่บอกข้าว่าให้แต่งงานมีครอบครัว และมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีก่อนที่นางจะฆ่าตัวตาย” ซ่านอิงพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ทันใดนั้นเขาก็เหยียดตรงขึ้น และจ้องมองอวิ๋นเยี่ย แล้วตะโกนว่า “ข้าไม่ยอม อาจารย์บอกว่าข้าเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์ ใต้หล้าที่กว้างใหญ่นี้ไม่มีที่ไหนที่ข้าจะไปไม่ได้ ข้าอยากจะพนันกับเจ้า ข้าจะต้องฝ่าด่านกลไกของเจ้าจนไปพบต้ายาให้ได้อย่างแน่นอน ถ้าข้าแพ้ข้าจะฟังเจ้า ถ้าข้าชนะข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ายกต้ายาให้ข้า เจ้าเพียงแค่ต้องพูดต่อหน้าทุกคนว่าข้าเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก!”
ในที่สุดก็วางใจได้แล้วและมองไปที่ซ่านอิงด้วยความสงสารและกล่าวว่า “ตามที่เจ้าต้องการ!”
——
[1] จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน มีความยาวประมาณสามเมตร