TB:บทที่ 115 สมาคมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ (2)
ซุนจงเหอเป็นอาจารย์หมอที่ของวิทยาลัยแพทย์และมีชื่อเสียงในเมืองจีน ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นศิษย์คนโปรด ลู่เซียงจึงถูกเขาพามาเข้าร่วมการประชุมด้วย แน่นอนว่าการที่เขาทำเช่นนั้นมันดูจะเห็นแก่ตัวเล็กน้อย แต่ยังไงเพื่อที่จะทำให้เขาได้ประหลาดใจ ลู่เซียงได้พาชายหนุ่มที่ไม่ใช่ทั้งนักเรียนและหมอมาด้วย
“คุณลู่นี้ใครหรอ?” ซุนจงเหอมองเฉินหลงพร้อมกับถามลู่เซียงไปด้วย
ตอนที่เขาเห็นเฉินหลง ซุนจงเหอก็รู้สึกถึงภัยคุกคามได้ทันทีว่าเฉินหลงคงต้องกลายมาเป็นศัตรูเขา เขาคิดว่าไม่มีทางที่ใครหน้าไหนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เมื่อหญิงหรือชายคนที่เขาได้พบนั้นเกือบจะดีหรือดีมากกว่าตัวเองแถมยังมาปรากฏตัวอยู่รอบๆหนุ่มสาวคนโปรดของเขา เขาก็จะรู้สึกถึงภัยคุกคาม
“คุณซุน เขาคือเฉินหลง เพื่อนของหนูเองค่ะ ทักษะการแพทย์ของเขายอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ วันนี้เป็นวันการประชุมแลกเปลี่ยนของพวกเราและประเทศอื่นๆ บางทีเขาอาจจะเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์ได้บ้างน่ะค่ะ” ลู่เซียงแนะนำเฉินหลงให้ซุนจงเหอรู้จักอย่างกับว่าเขาเป็นของล้ำค่า
สำหรับลู่เซียงแล้ว เฉินหลงก็เป็นเหมือนกับเด็กน้อยที่ประมาณค่าไม่ได้
แต่น่าเสียดายที่ซุนจงเหอไม่ได้คิดว่าเฉินหลงจะมีค่าขนาดนั้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับคิดว่าเฉินหลงเป็นเหมือนกับแท่งที่มีอุจาระติดอยู่
“สรุปว่าคุณเฉินก็คือคนพวกเดียวกับผมนี่เอง ไม่ทราบว่าคุณเฉินจบมหาวิทยาลัยไหนมาหรอครับ?” ซุนจงเหอมองแท่งที่ติดก้อนอึตรงหน้าด้วยทีท่าที่กระตือรือร้นด้วยความอยากรู้ทันที
ถ้ามีฐานะที่เท่ากันมันก็คงง่ายที่จะเป็นเพื่อนกัน สิ่งแรกที่จะเอามาใช้กดดันก็คือมหาลัย แต่ถ้าเปรียบเทียบได้ ก็มาแข่งกันในเรื่องเชิงวิชาการ ว่าต้องประสบความสำเร็จในด้านการแพทย์อย่างมากและต้องไม่สามารถเอาไปเปรียบกับพ่อหนุ่มขนดกอย่างเฉินหลงได้ นอกจากนี้เขายังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของแพทย์หนุ่มอย่างเฉินหลงในวงการแพทย์ของจีนแผ่นดินใหญ่มาก่อนเลย
“ผมจบจากมหาวิทยาลัยชุนอันครับ สำหรับทักษะทางการแพทย์ ผมมีความรู้เพียงนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการฝั่งเข็มและการรมยา” เฉินหลงยิ้ม เฉินหลงรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังของจงเหอที่มีต่อเขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจการแสแสร้งเล็กๆน้อยๆนี้
“โอเค เข้าไปข้างในกันเถอะ ครั้งนี้พวกเราเป็นประธานในการจัดประชุม ผมหวังว่าจะได้ฟังคำแนะนำจากคุณเฉินนะครับ” เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงจบมาจากมหาวิทยาลัยชุนอัน ใบหน้าของซุนจงเหอก็ยิ้มออกอย่างเหยียดหยันและคิดว่าเขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับตน ตอนนี้ในที่ประชุมก็อย่าทำให้ตัวเองดูเป็นคนโง่แล้วกัน
การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้ไม่ได้จัดใหญ่มาก เพียงจัดการประชุมที่ห้องประชุมของโรงแรมห้าดาว
ซุนจงเหอได้ยื่นบัตรเชิญของเขาออกมาแสดงและเดินเข้าห้องประชุมไป ซึ่งบัตรเชิญของจงเหอก็สามารถที่จะพาคนอื่นเข้าร่วมประชุมไปกับเขาได้ เฉินหลงและลู่เซียงจึงไม่ต้องหยุดรออยู่ด้านนอก
ห้องประชุมนี้สามารถจุคนได้ถึง 300 คน ตอนนี้มีผู้มาร่วมประชุมแค่เพียง 30 ถึง 40 คนเท่านั้น และดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่จะเริ่มประชุม หลังจากที่ซุนจงเหอเข้ามาด้านใน เขาได้กล่าวทักทายคนบางกลุ่มในห้องประชุม เราควรรู้ว่าการแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้เป็นถึงการประชุมทางวิชาการระดับนานาชาติ ทุกคนล้วนเป็นนักวิจัยทางการแพทย์ที่จบการศึกษาในระดับสูง เช่น พวกนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการและอาจารย์ที่มาเข้ามาร่วมการประชุม หากพวกเราสามารถผูกมิตรกับคนพวกนี้ไว้ได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก
เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนที่เข้ามาร่วมงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงชาวต่างชาติบ้างเล็กน้อยซึ่งก็ได้มาจากอเมริกา ญี่ปุ่นและบราซิล คนเหล่านี้อาจมีชื่อเสียง แต่เฉินหลงก็ไม่ได้รู้จักคนเหล่านี้เลย แต่ยังไงลู่เซียงก็ดูรู้จักมากอยู่
“ว้าว นั้นคุณทอมสัน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหัวใจและสมอง”
“ดูนั้นสิ นั้นคุณฮั่ว เขาเป็นหนึ่งในหมอที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน เขาถูกเขียนในนิตยาสารไว้หลายเล่มแถมรักษาคนดังมามากมาย”
……
ลู่เซียงพูดกับเฉินหลงถึงเรื่องของคนที่มาร่วมงาน
แต่อย่างไรก็ตาม เฉินหลงก็ไม่ได้สนใจพวกนักวิชาการแก่ๆเหล่านี้เท่าไหร่ ถ้าพวกเขาเป็นสาวสวยทั้งหมดได้ก็ว่าไปอย่าง
ไม่นานก็ได้เวลาเริ่มการประชุม หลังจากที่พิธีกรขึ้นเวทีและได้พูดเปิดการประชุม การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการก็เริ่มต้นขึ้น
เวลานี้ผู้เชี่ยวชาญได้ขึ้นเวทีทีละคนเพื่อที่จะพูดถึงเกี่ยวกับความรู้และแนวทางทางการแพทย์
เฉินหลงคิดว่าการให้ความรู้ทางการแพทย์แบบนี้นั้นดี มันก็เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้จากสองสถาบันที่มีความแตกต่างมาเรียนรู้ซึ่งกันและกันซึ่งมันสามารถขยายขอบเขตและสร้างแรงบันดาลใจได้มากยิ่งขึ้น นี่เป็นการช่วยเหลือที่ดีในการพัฒนาการแพทย์
อย่างไรก็ตาม การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการนั้นควรจะดูเรียบง่าย เพราะการประชุมใช้เวลาถึงสามวันและในวันที่สามก็จะมีแพทย์หลายท่านมาจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ตั้งใจมาโต้แย้งกับแพทย์ที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ของจีนเพราะปัญหาทางวิชาการบางอย่างจนท้ายที่สุดก็ต้องเปลี่ยนเป็นการแข่งขันการรักษาภาคสนาม
“ชาวต่างชาติพวกนั้นดูไม่สุภาพเลย พวกเขาเป็นถึงระดับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงนะ” ลู่เซียงมองไปที่พวกเขาเหล่านั้นด้วยความโกรธเพราะ เหตุการณ์นี้บางส่วน มีการให้ความรู้ที่ดีแต่กลับเป็นคนแบบนี้หรอ
“พวกเขาทำแบบนั้นโดยที่ไม่ได้เจตนาหรอก” เฉินหลงพูดเบาๆอย่างแสแสร้ง
ในสายตาของเฉินหลง เขาได้เห็นทักษะของพวกเขาผ่านการแสดงเหล่านั้น
ลู่เซียงมองเฉินหลงอย่างประหลาดใจและพูดว่า “คุณรู้ได้ยังไง?”
“ง่ายมาก เพราะทักษะการแสดงของพวกเขานั้นแย่มากและคนไข้ของพวกเขาจะอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานถ้าไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน” เฉินหลงพูดอย่างสบประมาท
“ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้?” ลู่เซียงถามด้วยท่าทางงุนงง
“บางทีอาจมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนได้ทำให้ประเทศอื่นๆเสียหน้าอย่างแรง แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลับมาคนเดียวด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสในการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการทำให้พวกเราขายหน้า ฉันเดาว่านี้ไม่ใช่โรคทั่วไป” เฉินหลงพูด
เฉินหลงคาดเดาได้ถูกต้องว่าเครื่องกำจัดฝุ่นจะทำให้รัฐบาลต้าเทียนได้หน้าไปในครั้งที่แล้ว อำนาจของรัฐบาลต้าเทียนสามารถทำให้คนพวกนี้เสียหน้าได้ ดังนั้น พวกเขาเหล่านั้นก็ได้คิดหาโอกาสที่จะทำให้รัฐาบาลต้าเทียนเสียหน้าบ้างเหมือนกัน ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้เริ่มการประชุมแลกเปลี่ยนและเตรียมพร้อมสำหรับการขับเคลื่อนลูกใหญ่
ครั้งนี้ พวกเขาต้องเตรียมการแข่งขันถึงสามรอบ รอบแรกเกี่ยวกับโรคหอบหืด
หลังจากที่พบกับคนไข้โรคหอบหืดสองคนที่ได้ปรากฏขึ้น ลู่เซียงนั้นได้มั่นใจว่าเฉินหลงก็ได้แค่เดาจริงๆ
ทุกคนที่อยู่ ณ ปัจจุบันตรงนี้ต่างมีชื่อเสียงในวงการแพทย์ ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นโรคหอบหืดจริงๆหรือไม่ พวกเขาก็ไม่สารถหลีกหนีจากพวกมันไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเลือกอะไรได้
โรคหอบหืดเป็นคำย่อมาจากโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม โรคหอบหืดเป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นโรคที่เกิดขึ้นบ่อยกับเซลล์และองค์ประกอบของเซลล์ ในปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดถึง 300 ล้านคนในโลกและ 300 ล้านคนนั้นก็อยู่ในประเทศจีน
โรคหอบหืดเป็นโรคที่สำคัญที่มีผลต่อสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิต ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันเวลาและได้มาตรฐาน โรคหอบหืดอาจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าการรักษาได้มาตรฐาน ผู้ที่ป่วยโรคหอบหืดก็จะสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดีและการทำงานและชีวิตของพวกเขาก็เกือบจะไม่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ แต่ก็ยังคงรักษาให้หายขาดไม่ได้ นี่เป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นอันตรายไม่มาก