ตอนที่ 96-3 เจ้าอยากได้ร่างกายข้าหรือไม่

 

 

 

 

เขาหน้านิ่ง ถามขึ้นอีกครั้ง “แต่เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่า วันนี้พวกเราจะกินข้าวสารพวกนี้ อีกทั้งเจ้ายังนำทัพมาได้อย่างประจวบเหมาะพอดี ต่อให้เจ้ามีหูตาอยู่ในฝั่งพวกเรา รู้ว่าพวกเราจะกินข้าววันนี้ แต่สำหรับการจัดทัพทหารต้องเตรียมการก่อน ไม่เช่นนั้นคนมากมายขนาดนี้ ไฉนเรียกให้ออกทัพ ก็มาได้ทันเวลา” 

 

 

เซียวชินเอ่ยวาจายาวเหยียด ไม่ถูกกลุ่มคนไม่เอาไหนด้านหลังตัดบท ในใจของเซียวชินพลันปลาบปลื้มขึ้นมา 

 

 

เยี่ยเม่ยหน้าตาเย็นชาตอบว่า “ท่านพูดไม่ผิด ทัพทหารเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่คืนนี้ก็พรุ่งนี้เช้า ส่วนที่ว่าไฉนถึงมั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องกินข้าวเร็วขนาดนี้ นั่นก็ง่ายมาก เพราะลู่หวานหว่าน” 

 

 

สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย ลู่หวานหว่านในยามนี้ก็เลิกม่านกระโจม วิ่งออกมา 

 

 

สีหน้าของนางบูดเบี้ยว ไม่ใช่เพราะอะไร แต่นางก็กินข้าวเช่นกัน นางต้องการเข้าสุขา แต่เมื่อเปิดกระโจมออกมา ได้ยินคำพูดนี้พลันไม่สนใจเรื่องที่ตนจะปลดทุกข์ มองเยี่ยเม่ยด้วยความดุร้าย “เพราะข้า?” 

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง ไม่ช้าก็ถอนสายตากลับ ไม่มองไปอีก 

 

 

เหตุผลง่ายๆ คือ นางดูแคลนสตรีนางนี้ ไม่ว่าสติปัญญาหรือความสามารถต่างไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้การพูดกันมากอีกสักคำ มองนานอีกนิด ล้วนเป็นการยกฐานะให้อีกฝ่าย ทั้งยังทำให้คนไร้สามารถเช่นนี้ ไม่รู้จักประมาณตนคิดว่าเยี่ยเม่ยเห็นตัวนางเป็นศัตรู 

 

 

เซียวชินดูออก ความจริงเยี่ยเม่ยไม่คิดสนทนากับกับลู่หวานหว่าน อย่าว่าแต่เยี่ยเม่ยเลย แม้แต่ตัวเขาเซียวชินก็ไม่อยากสนใจสตรีนางนี้ เขามองเยี่ยเม่ย เอ่ยถามว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่ได้ชักช้ารีรอ เอ่ยปากตอบว่า “ง่ายมาก เงื่อนไขของข้าคือให้เอานางมาแลกกับข้าวสาร สุดท้ายพวกท่านเอาข้าวกลับไปแล้วยังพาตัวนางกลับไปได้ หรือพวกท่านจะไม่ลืมตัว พวกท่านจะไม่ลำพองใจ นางก็จะลำพองใจ เมื่อนางลำพองใจแล้ว จะพูดอะไรกรอกหูพวกท่านบ้าง แค่คิดดูก็รู้แล้ว”  

 

 

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยี่ยเม่ยพบลู่หวานหว่าน การพบปะกันหลายครั้งก่อน นางก็มองออกแล้วว่าสตรีนางนี้ไร้สมอง ทั้งไม่รู้จักเก็บงำ ย่อมมิใช่คนฉลาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ไม่ยากเกินคาดเดา  

 

 

คราวนี้ไม่เพียงแต่เซียวชิน สายตาของทหารต้ามั่วส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ที่ตัวลู่หวานหว่าน 

 

 

เซียวชินลองหวนคิดดู ก็ฉุกคิดขึ้นได้ สถานการณ์วันนั้นเป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยเอ่ยจริงๆ ในยามนั้นเขายังมีใจกังวลสงสัย ส่วนสตรีนางนี้กลับค้าน แสดงออกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเกิดปัญหา 

 

 

ในที่สุดท่านข่านก็ถูกโน้มน้าว ตัวเขาเองก็คล้อยตามโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายเกิดเป็นผลลัพธ์ในยามนี้  

 

 

เซียวชินหัวเราะเสียงเย็น “ดูท่าข้าทำผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว” 

 

 

ตั้งแต่เริ่มเขาไม่สมควรเห็นแก่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของราชาต้ามั่ว นำผู้หญิงคนนี้กลับมา บางทีหากไม่นำตัวลู่หวานหว่านกลับมา ปล่อยให้นางตกอยู่ในเงื้อมมือเยี่ยเม่ย พวกเขาอาจไม่ตกหลุมพราง 

 

 

     แต่ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อีก 

 

 

สายตาของทหารต้ามั่วทั้งหลายมองลู่หวานหว่านราวกับมองศัตรูฆ่าบิดา สวรรค์ถึงรู้ว่าพวกเขาแต่ละคนอดทนไม่เข้าสุขา มารับศัตรูอยู่ที่นี่ ในใจมีความเจ็บปวดถึงขั้นไหน  

 

 

ส่วนทุกอย่างในที่นี้ล้วนโทษนางสตรีน่าตายนางนี้ พูดจาเหลวไหลข้างหูท่านข่าน ถึงชักนำให้พวกเขาพบกับสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้ 

 

 

ลู่หวานหว่านเห็นสายตาที่คนทั้งหมดมองนาง ล้วนเคียดแค้นจนแทบกลืนตนลงท้อง สีหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวขาวซีด 

 

 

สายตาเจ็บแค้นมองเยี่ยเม่ย นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อหันไปกลับพบสายจิ่วหุนใช้สายตาราวกับมองคนตายจ้องนาง 

 

 

ลู่หวานหว่านถูกสายตานี้ทำให้ตกใจตกเย็นวาบไปทั้งกาย ไม่กล้าถลึงตาอีก เหมือนถูกน้ำเย็นทั้งโถราดหัว พลันไม่กล้าพูดอะไร ทั้งไม่เถียงเพื่อตนเอง ยิ่งไม่เอ่ยปากด่าเยี่ยเม่ยแล้ว 

 

 

นางไม่พูดอะไร มองไปที่สุขา พุ่งกายจากไป ความจริงนางกลั้นไม่อยู่แล้ว  

 

 

เยี่ยเม่ยมองเซียวชินทีหนึ่ง พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนมีเมตตาบ้างเล็กน้อย “เรื่องที่ท่านอยากรู้ ข้าก็บอกไปหมดแล้ว ก็เท่ากับให้ท่านตายอย่างชัดเจน ฟ้ามืดแล้ว พี่น้องด้านหลังท่านพวกนั้นดูท่าอยากเข้าห้องน้ำเต็มที พวกเราก็ไม่อยากเสียเวลาอีก” 

 

 

น้ำเสียงของนางดูเปี่ยมด้วยเมตตาเช่นนี้ เมื่อได้ฟังกลับฟังความตั้งใจของนางไม่ออก 

 

 

จากนั้นชั่ววูบเดียว 

 

 

นางยกมือขึ้น เหล่าทหารของเป่ยเฉินก็เข้าใจในบัลดล คนทั้งหมดไม่พูดไม่จา รีบพุ่งเข้าไปเข่นฆ่าทหารต้ามั่วทันที 

 

 

 “ฆ่า” 

 

 

 “ฆ่า” 

 

 

เสียงฆ่าตวาดก้องไปทั่ว ทัพใหญ่สองฝ่ายมุ่งเข้าประจันกันโดยไม่ช้า  

 

 

ราชาต้ามั่วในสุขา และลู่หวานหว่าที่เพิ่งวิ่งมาถึงหน้าประตู คนหนึ่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก เจ็บปวดหัวใจราวถูกมีดทิ่มแทงที่ตนเองยังปลดทุกข์ไม่เสร็จ ตัวเขาแทบอยากพุ่งออกไปเข่นฆ่าสังหารสังหารศัตรู 

 

 

ส่วนอีกคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสุขา มองเหล่าทหารเข่นฆ่ากัน เลือดสาดกระเซ็น เลือดคาวคละคลุ้งโหดเ**้ยม ทันใดนั้นลำแขนข้างหนึ่งลอยมาทางที่นางอยู่ ชั่วขณะนั้นลู่หวานหว่านตกใจเสียจนร้องไห้ไม่ออก สายตาเหม่อลอยนั่งหมดสภาพอยู่บนพื้น 

 

 

จิ่วหุนวิ่งเข้าหาคนในสนามรบ ในขณะที่เขาฟาดดาบลงมา มีอานุภาพทำลายศัตรูเป็นร้อยเป็นพัน 

 

 

สถานที่ที่เขาผ่านไป บนพื้นนองไปด้วยเลือดและศพหน้าตาบิดเบี้ยวของทหารต้ามั่ว ไม่รู้ว่าที่ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวเพราะความตายที่เจ็บปวดหรือเพราะความอดกลั้นไม่เข้าห้องน้ำนั้นทรมานเกินไป 

 

 

แต่รูปโฉมอันงดงามของเขา สวมชุดสีขาวสังหารคน เลือดสักหยดก็ไม่เปรอะเปื้อน สายรัดเอวกับผ้าผูกผมสีแดง ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับรูปลักษณ์ที่งดงามของจิ่วหุน ทำให้กระบวนท่าสังหารคนของเขาดูน่ามองอย่างถึงที่สุด 

 

 

อานุภาพสังหารของจิ่วหุน ทำให้แม่ทัพทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนมองเขาด้วยสีหน้าสั่นสะท้าน 

 

 

แม้กระทั่งพวกแม่ทัพที่กรำศึกมาหลายปี ก็ไม่เคยเห็นการรบที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสังหารคนมากมาย เสื้อผ้าไม่เลอะเลือดสักหยดเลย คนเช่นนี้รับใช้ราชสำนักเป่ยเฉินของพวกเขา เรียกได้ว่าเป็นโชคดีอย่างที่สุด 

 

 

เซียวชินมองจิ่วหุนอย่างไม่เชื่อสายตา  

 

 

    เขารู้นานแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของแผ่นดิน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคืออีกฝ่ายจะร้ายกาจถึงขั้นนี้ ความดุดันนี้เรียกว่าเทพแห่งสงครามก็ไม่เกินไปนัก เข้มแข็งกว่าเยียลี่ว์ซั่นที่ได้รับสมญานามว่าเทพแห่งสงครามเป็นร้อยเท่า   

 

 

หากบอกว่าทหารสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ความจริงบอกว่าอีกฝ่ายถูกกดดันดีกว่า  

 

 

ทหารเป่ยเฉินเข่นฆ่ากดดันทหารต้ามั่ว อย่างไรเสียทหารต้ามั่วทั้งหลายสภาพร่างกายไม่พร้อม ปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ละคนคิดอยากถ่ายท้อง ฝืนทำศึก ย่อมถูกกดดัน 

 

 

เซียวชินเห็นสถานการณ์ไม่ดี ในขณะที่เตรียมเข้าสู่สมรภูมิรบ 

 

 

เยี่ยเม่ยในเวลานี้มีสีหน้าเย็นชา ล้วงพัดออกจากเอว มองเซียวชิน “เป้าหมายของเจ้า คือข้า” 

 

 

ฝีเท้าเซียวชินหยุดชะงักไป สายตาคมกริบมองเยี่ยเม่ย ไม่พูดพร่ำมาความ ชักกระบี่ยาวออกจากเอวทหารด้านข้าง พุ่งไปสังหารเยี่ยเม่ย 

 

 

พัดและกระบี่ปะทะกัน สายตาทั้งสองประจันคมดั่งคมดาบ แหลมราวกระบี่ เยี่ยเม่ยชื่นชมบุรุษเบื้องหน้าขึ้นมาหลายส่วน 

 

 

เช่นเดียวกัน สายตาของคนตรงข้ามก็ฉายแววชื่นชมนาง  

 

 

พวกเขาประมือกันอีกครั้ง เซียวชินไสกระบี่เข้าที่คอเยี่ยเม่ย ในขณะเดียวกันก็จ้องเยี่ยเม่ยด้วยสายตาคมกริบ “ตามที่ข้ารู้ เจ้าไม่ใช่คนเป่ยเฉิน หรือพูดว่าฐานะของเจ้าไม่ชัดเจน อย่างนั้น ไฉนเจ้าถึงเข้าร่วมศึกในครั้งนี้” 

 

 

เซียวชินยินยอมประมือกับบุรุษโดดเด่นของเป่ยเฉินคนใดก็ได้ แต่ไม่ยินยอมประมือกับสตรีเบื้องหน้า เขารู้สึกว่าเมื่อครู่ยามเขายกปัญหานี้ขึ้นมา ความกระอักกระอ่วนที่เผชิญก่อนหน้า กลายเป็นฝันร้ายชั่วชีวิตเขา  

 

 

เยี่ยเม่ยหน้าไม่เปลี่ยนสีตั้งรับกระบี่ วาดพัดออกทีหนึ่ง เกิดสายลมพัดคมกริบ 

 

 

กลายเป็นสายลมพัดออกไป ต่อให้เป็นแค่ลมกระแสหนึ่ง แต่ก็ผ่าหน้ากากของเซียวชินขาดออก 

 

 

ใบหน้างดงามนั้นถึงไม่อาจเทียบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือจิ่วหุน แต่ก็นับว่าบุรุษรูปงามไม่ผิดแน่ 

 

 

เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเบา “เดิมข้าคิดว่า ท่านต้องหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่กล้าพบคน ถึงปิดบังหน้าตาตัวเองไว้ คิดไม่ถึงว่าหน้าตาไม่เลวเลย  

 

 

ในเวลานี้เซียวชินสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว 

 

 

หน้ากากบนหน้าถูกคนตัดขาดเป็นสองท่อนตกลงพื้นอย่างง่ายดาย เช่นนี้ก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่า ตัวเองหาใช่คู่มือสตรีนางนี้     

 

 

ฝ่ายจิ่วหุนได้ยินคำนี้ ก็ลงมือโดยไม่ลังเล เขาซัดมีดสั้นออกไปใส่หน้าเซียวชิน 

 

 

เซียวชินตระหนักได้ทัน ถอยหลังเบี่ยงหลบมีดสั้น 

 

 

แต่มีดเล่มนี้ยังทิ้งรอยแผลเอาไว้ เลือดสดไหลออกมา… 

 

 

เห็นได้ชัดว่า หากเขาช้าไปอีกก้าวหนึ่ง เกรงว่าจะเสียโฉมแล้ว บุรุษผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือเปล่า ไฉนอยู่ดีๆ ก็ลอบโจมตีใส่หน้าเขา  

 

 

หรือเพราะว่าเยี่ยเม่ยวิจารณ์เขาว่า หน้าตาไม่เลว 

 

 

เขาพลันรู้สึกว่า จิ่วหุนเป็นพวกคลุ้มคลั่ง 

 

 

ส่วนจิ่วหุนหลังจากจู่โจมแล้ว สายตาเย็นชากวาดใส่เขาทีหนึ่ง ไม่ช้าก็ประมือกับคนข้างๆ กวาดกระบี่ยาวทีหนึ่ง ด้านหลังก็มีคนตายภายใต้คมกระบี่เขาอีกสี่คน   

 

 

เซียวชินลูบหน้า มองเยี่ยเม่ย “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า” 

 

 

เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา มองเซียวชิน “เจ้าพูดไม่ผิด ราชสำนักเป่ยเฉินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า แต่ว่าพวกเจ้ายังจำได้ไหม เหตุผลที่เปิดศึกรวมเอาเรื่องที่ข้าบุกค่ายทหารสังหารคนไปด้วย ทั้งยังต้องเอาชีวิตข้า” 

 

 

เซียวชินหน้าเขียว “เพราะเรื่องนี้ เจ้าถึงเข้าร่วมศึกด้วย?” 

 

 

 “แน่นอน” เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยปาก “ในเมื่อพวกเจ้าเปิดศึก หนึ่งในเหตุผลคือสังหารข้า อย่างนั้นก็พิสูจน์แล้วว่า การศึกครั้งนี้ข้าต้องรับผิดชอบ ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบของตน จะให้คนอื่นช่วยแบกรับได้อย่างไร ข้าก็ต้องรับศึกพวกเจ้าอย่างถึงที่สุด” 

 

 

สีหน้าเซียวชินพลันไม่น่ามองขึ้นมา  

 

 

ตอนแรกที่เพิ่มเหตุผลนี้เข้าไปก็เพราะลู่หวานหว่าน  เพราะว่าราชาต้ามั่วรับปากว่าจะทวงความยุติธรรมให้ลู่หวานหว่านและหลานชาย 

 

 

ส่วนราชาต้ามั่วที่อยู่ในห้องสุขายามนี้ ถ่ายท้องจนหน้ามืดตามัว จนรู้สึกว่าตนแทบจะหมดแรงแล้ว ราชาต้ามั่วที่ไม่เคยแบกรับความผิดพลาดเช่นนี้มากก่อน ได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ก็เกิดความคิดอยากก่นด่าว่าคนขึ้นมาแล้ว 

 

 

หากรู้แต่แรกว่าความหลงใหลในรูปโฉมหญิงงามของตน จะทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถึงขั้นนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันใส่ใจลู่หวานหว่านที่สมควรตาย 

 

 

เซียวชินมองเยี่ยเม่ย ถามเสียงเย็นชา “เจ้าก็อย่าเพิ่งด่วนดีใจ เจ้าคงไม่หลงคิดว่าต้ามั่วของเรามีทหารเพียงเท่านี้หรอกกระมัง” 

 

 

เยี่ยเม่ยยิ้มเยาะ “ข้าไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่นอน ข้ายังรู้ว่าอีกว่า เมื่อศึกที่นี่เปิดฉาก ทัพเสริมของพวกเจ้าก็ใกล้มาถึงแล้ว คนพวกนั้นไม่ได้ออกเดินทางมาพร้อมพวกเจ้า สมควรไม่ได้กินข้าวสาร แต่อย่าน้อยก่อนที่ทัพเสริมมาถึง กองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้ามั่ว เกรงว่าวันนี้จะต้องจบสิ้นในที่นี้แล้ว” 

 

 

กองทัพที่ติดตามราชากับจั่วอี้อ๋องออกศึก ย่อมเป็นทัพที่เข้มแข็งที่สุดของต้ามั่ว 

 

 

เมื่อกำจัดไปได้ ก็มากพอทำให้ต้ามั่วสูญเสียอย่างหนัก มากพอทำให้ราชาต้ามั่วโมโหเจียนตาย มากพอที่เยี่ยเม่ยจะชื่อเสียงขจรไกลในศึกเดียว 

 

 

เซียวชินฟังคำของเยี่ยเม่ย สีหน้ายิ่งไม่น่าชมขึ้นอีกหลายส่วน 

 

 

เวลานี้คนหลายหมื่นของต้ามั่วบาดเจ็บล้มตายเกินครึ่งแล้ว 

 

 

จิตใจของเซียวชินก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หากทัพเสริมมาช้าแค่คืนเดียว ไม่แน่ว่าท่านข่านกับตนอาจถูกเยี่ยเม่ยจับไปได้ 

 

 

อย่างนั้นก็เป็นการเหยียดหยามกันเกินไปแล้ว 

 

 

เซียวชินลงมืออีกครั้ง ปะทะกับเยี่ยเม่ย ส่วนหญิงสาวหมดความอดทนในการต่อสู้อีก พลันยกมือขึ้น “พันอิง ทะลวง”  

 

 

พัดกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ พุ่งทำร้ายเซียวชิน 

 

 

ถึงเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ไว แต่ก็ยังมีเศษพัดปักเข้าที่บ่า ส่วนในเวลานี้ เสียงเข่นฆ่าที่ดังตามมาทหารต้ามั่วเหลือน้อยกว่าหมื่นคนกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด 

 

 

ในขณะนี้เอง 

 

 

ไม่ไกลออกไปมีแสงไฟสุกสว่าง กองทัพกองหนึ่ง มุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว 

 

 

เยี่ยเม่ยถอนใจด้วยความเสียดาย เอ่ยว่า “ทัพเสริมมาแล้ว ยังไม่ทันเชิญราชาต้ามั่วกับจั่วอี้อ๋องไปเป็นแขกที่ชายแดนเป่ยเฉินเลย พวกเราค่อยพบกันครั้งหน้า”  

 

 

สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยปรายตามองหลูเซียงฮั่ว  

 

 

แม่ทัพหลูโบกมือ ออกคำสั่งทันที “ถอยทัพ” 

 

 

พวกเซียวชินย่อมไม่มีเรี่ยวแรงในการไล่ตาม ได้แต่มองพวกเยี่ยเม่ยจากไป ภายในหนึ่งชั่วยามอีกฝ่ายบุกเข้ามาสังหารคนของพวกหลายหมื่นคน คนที่ถูกสังหารยังเป็นยอดฝีมือของต้ามั่ว เมื่อเสร็จสิ้นแล้วยังถอยทัพถอยไปอย่างเอิกเกริก พวกเขาโมโหจนสีหน้าบิดเบี้ยว 

 

 

ในที่สุดราชาต้ามั่วก็ปลดทุกข์จนเสร็จสิ้น ออกจากสุขา มองศพบนพื้นทีหนึ่ง ทั้งยังมีเงาหลังของพวกเยี่ยเม่ยที่จากไปอย่างยิ่งใหญ่ คิดถึงตนเองหลงใหลในรูปโฉงดงามทำให้เกิดการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดต่างๆ  

 

 

ทันใดนั้น “อัก…” 

 

 

โลหิตคำหนึ่งพ่นออกเพราะเกิดโทสะ 

 

 

 “ท่านข่าน” เซียวชินรีบเข้าไปพยุง 

 

 

 “ปู๊ด…” ราชาต้ามั่วกลั้นไม่ไหวผายลมออกมา 

 

 

บรรยากาศเงียบสงบ หลงเหลือเพียงความอึดอัด 

 

 

   …… 

 

 

เยี่ยเม่ยนำทหารกลับถึงเมือง พวกทหารเป่ยเฉินใช้สายตาเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งมองเยี่ยเม่ยมาตลอดทาง มองจิ่วหุนด้วยความนับถืออย่างมาก 

 

 

สายตาเช่นนี้คล้ายมององค์ราชินีและเทพแห่งสงคราม 

 

 

ทุกคนเบิกบานดีใจ แต่ละคนอารมณ์ดีจนแทบจะเปล่งเสียงร้องเพลงตอนขากลับ 

 

 

เยี่ยเม่ยในยามนี้มองจิ่วหุนด้วยความแปลกใจ ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่ฉวยโอกาสสังหารลู่หวานหว่าน? ดูไม่คล้ายกับนิสัยเจ้าเลย” 

 

 

จิ่วหุนเสียงเบาตอบ “เรื่องนี้เกิดจากนาง ไม่สังหารนาง นางก็จะยิ่งอนาถ” 

 

 

เยี่ยเม่ยยามนี้ชะงักไป ความจริงก็ไม่ผิด เมื่อครู่นางเอ่ยออกไปเช่นนั้น คนของต้ามั่วเมื่อรู้ว่าเรื่องเกี่ยวพันกับลู่หวานหว่าน ชีวิตภายภาคหน้าของอีกฝ่ายเกรงว่าจะอยู่มิสู้ตาย เพียงแต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงคือ… 

 

 

 “เสี่ยวจิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์นัก” เจ้าหนุ่มนี้ มองไปแล้วเหมือนเซื่องซึม ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนเจ้าแผนการเลย คิดไม่ถึง… 

 

 

คิดไม่ถึงว่าจิ่วหุนจะไม่บ่ายเบี่ยง เขาเอาชนะนิสัยไม่ชอบพูดของตนอีกครั้ง ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยว่า “คนในยุทธภพ หากไม่เจ้าเล่ห์เกรงว่าจะตายอย่างอนาถ” 

 

 

คำพูดนี้ไม่ผิดแน่ 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่พูดอะไรอีก คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับถึงชายแดน 

 

 

หลังจากเข้าเมือง ทหารทั้งหลายกระโดดโลดเต้น ฉลองที่ชนะศึก 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่คิดร่วมวงสนุกกับพวกเขา มุ่งตรงกับห้องตนไป เมื่อครู่จิ่วหุนฆ่าคนไปตั้งมาก เหงื่อออกท่วมตัวจึงกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน 

 

 

ในยามนี้ ท้องฟ้าสว่างแล้ว 

 

 

เยี่ยเม่ยง่วงนอนมาก นางก้าวเท้ากว้างๆ กลับห้อง ตรงไปที่เตียง 

 

 

สายตาพลันตื่นตระหนก รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าในห้องมีคนอยู่ นางลงมือทันที ทว่ากลับถูกคนจับข้อมือไว้อย่างแรง กดนางลงที่เตียง 

 

 

ยังไม่ทันคิดได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร คนผู้นั้นก็ทาบทับนางลงมาแล้ว น้ำเสียงชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม กระซิบขึ้นข้างหู “กรำศึกมาทั้งคืนแล้ว เหนื่อยแล้วหรือยัง เวลานี้สมควรผ่อนคลายถึงจะถูก อืม… เจ้าต้องการร่างกายของข้าหรือไม่” 

 

 

เยี่ยเม่ย “…” 

 

 

ความรู้สึกที่ว่านางออกไปลำบากมาทั้งคืน กลับมาบ้านมีภรรยารออยู่ในห้องรอปรนบินัติ นี่มันเรื่องผีสางอันใดกัน