ตอนที่ 96-2 เจ้าอยากได้ร่างกายข้าหรือไม่

 

 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเซียวชิน สีหน้ายังคงเย็นชา คล้ายหมดความอดทนรอคำพูดต่อไปของเขา 

 

 

เซียวชินสูดลมหายใจลึก หลังจากให้เวลาตัวเองใคร่ครวญมากพอแล้ว ก็มีทีท่าน่าเกรงขามอีกครั้ง เอ่ยต่อประโยคเมื่อครู่กับเยี่ยเม่ย “ข้าย่อมอยากรู้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่…” 

 

 

 “ปู๊ด” 

 

 

มีเสียงส่งมาอีกครั้งทั้งดังมากเสียด้วย 

 

 

ครั้งนี้คล้ายยังมีสิ่งของบางอย่างติดตามเสียงนั้นออกมาด้วย ทำให้อากาศนอกจากมีกลิ่นทำร้ายคนแล้ว ยังมีความเหม็นคละคลุ้งยากอธิบายได้กระแสหนึ่ง 

 

 

เซียวชินเชิดหน้าคอตั้ง หันหลับไปมองทิศทางที่กลิ่นเหม็นลอยมา 

 

 

นายทหารผู้นั้นร้องไห้ “จั่วอี้อ๋อง ข้าน้อยทนไม่ไหวจริงๆ” 

 

 

สิ้นเสียงเขา เวลานี้ไม่สนใจแล้วว่าหากตนเองวิ่งหนีออกไปก็เท่ากับเป็นทหารหนีทัพ เขาไม่พูดพร่ำ เอามือกุมบั้นท้าย อีกมือดึงเชือกรัดกางเกง พุ่งทะยานไปทางสุขา 

 

 

ทหารคนอื่นๆ ของต้ามั่ว เห็นเจ้านั่นวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ความจริงพวกเขาก็อยากตามไปเข้ามาก 

 

 

แต่ว่า… 

 

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงความอึมครึมที่แผ่มาจากจั่วอี้อ๋อง คล้ายเป็นกระแสสังหารคน ทั้งหมดพากันอดกลั้นอย่างเป็นตาย ไม่กล้าขยับ ขบฟันแน่นราวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของชีวิต ยืนหยัดนิ่งอยู่ที่เดิม 

 

 

เซียวชินมองคนทั้งหมดครู่หนึ่ง เห็นท่าพวกเขาไม่คล้ายจะผายลมอีก ทั้งไม่มีใครไม่คิดถึงชีวิตวิ่งไปเข้าสุขาแล้ว เขาก็สูดลมหายใจลึก เบือนหน้ากลับไปมองเยี่ยเม่ยใหม่อีกครั้ง 

 

 

เมื่อคิดถึงคำพูดของตนเมื่อครู่ยาวมาก บทเรียนที่ถูกเสียงน่าอึดอัดใจเหล่านั้นตัดบท จึงพยายามลดทอนคำพูดที่อยากเอ่ยลง ทั้งยังเพิ่มความเร็วในการกล่าววาจา… 

 

 

คล้ายกับกำลังเรียนร้องเพลงเป็นจังหวะรัวๆ เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว “หากข้าไม่อยากรู้ก็คงไม่ถามแล้ว เจ้ารีบ…” 

 

 

 “ปู๊ดด” 

 

 

เสียงนี้ยิ่งดังเข้าไปใหญ่ อย่างน้อยก็เสียงแหลมสูงกว่าเสียงพูดของเซียวชิน สะกดเสียงพูดแม่ทัพเอาไว้ ดึงความสนใจ ดึงสายตาของทุกคนไว้อีกครั้ง 

 

 

เซียวชิน “…” 

 

 

พูดตามตรง ในยามนี้แม้แต่เยี่ยเม่ยที่เยือกเย็น จิ่วหุนผู้เก็บตัว ยังคิดหัวเราะแล้ว 

 

 

สีหน้าเซียวชินเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง ในที่สุดก็ระเบิดออก ภาพลักษณ์สงบนิ่งต่อให้เขาไท่ซานถล่มก็ไม่หวั่นไหวของเขาที่รักษาไว้ต่อหน้าเหล่าทหารต้ามั่วมานานหลายปีก็ไม่อาจรักษาได้อีก 

 

 

เขากัดฟันแน่นหันกลับไป ตวาดด่าด้วยความเจ็บใจ “พวกเจ้ารอให้ข้าพูดจบก่อนค่อยผายลมไม่ได้หรือไง อดทนสักนิดพวกเจ้าจะตายหรืออย่างไร? หืม จะตายหรืออย่างไร” 

 

 

ภายหลัง 

 

 

ราชอาลักษณ์ได้ลงบันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่แม่ทัพใหญ่ระเบิดอารมณ์ก่อนเปิดศึกเพราะทหารผายลมไม่หยุด สบถก่นด่าท่ามกลางสนามรบ แน่นอนว่าบันทึกนี้เกิดขึ้นในภายหลัง 

 

 

ทหารต้ามั่วทั้งหลายมองเซียวชินที่โมโหจนแทบเป็นลมสลบไป แต่ละคนตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่ส่งเสียง 

 

 

หลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นจั่วอี้อ๋องเสียกิริยาเช่นนี้… 

 

 

ในใจของทหารต้ามั่ว จั่วอี้อ๋องสง่างาม สงบนิ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่เคยระเบิดอารมณ์ วันนี้…ทุกคนพากันกลืนน้ำลายเฮือก 

 

 

ทหารทั้งหลายของเป่ยเฉิน อดทนอยู่นมนาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกครั้ง พากันกุมท้องระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาเลื่อมใสเยี่ยเม่ยอยู่ในใจเกินเปรียบ มารดามันเถอะ น่าขันนัก 

 

 

จิ่วหุนมองเซียวชิน มีสีหน้าเห็นใจอย่างหาได้ยาก ชั่วชีวิตเขาในความทรงจำ เขาเห็นใจคนน้อยมาก ใช้นิ้วมือห้านิ้วนับยังเรียกว่ามากเกินไป เซียวชินนับเป็นครั้งหนึ่ง 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเซียวชินอย่างเย็นชา สีหน้านิ่ง ความจริงนางอยากหัวเราะมาก แววตาสะกดความเห็นใจ 

 

 

ทหารต้ามั่วทั้งหลาย เห็นคนของเป่ยเฉินทั้งหมดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ซ้ำยังมองแม่ทัพฝั่งศัตรูทั้งหลายที่มองจั่วอี้อ๋องของพวกเขาด้วยความเห็นใจ พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่า การกระทำไร้การควบคุม ไม่ใส่ใจภาพรวมของพวกเขาส่งผลกระทบร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของจั่วอี้อ๋องที่เคารพแล้ว  

 

 

ดังนั้น พวกเขาพากันสะกดกลั้นไว้อย่างหนักแน่น สายตายืนหยัดมองเซียวชิน กัดฟันสัญญาว่า “จั่วอี้อ๋อง ท่านวางใจเถอะ ท่านเชิญเอ่ยได้เลย ข้าน้อยรับรองว่าก่อนที่ท่านจะเอ่ยจบ จะไม่ผายลมออกมา ข้าน้อยพูดจริง” 

 

 

ต่อให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองจวนจะคุมไม่ไหวแล้วก็ตาม 

 

 

แต่เพราะหน้าตาของจั่วอี้อ๋อง เพื่อภาพลักษณ์ของทหารต้ามั่ว เพื่อเจ้าลูกเต่าเป่ยเฉินทั้งหลายไม่กล้าหัวเราะเยาะพวกเขาอีก ต่อให้พวกเขาต้องทนจนร่างกายแตก ก็ต้องให้จั่วอี้อ๋องเอ่ยคำพูดจนจบให้ได้  

 

 

 “ปู๊ด…ป๊าด…” 

 

 

หลังจากพวกเขาเอ่ยจบ ไม่รู้ใครคนไหนปล่อยเสียงปิดท้ายตามมา เสียงดังแหลมสูง ลากยาว ทั้งยังชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

ทหารต้ามั่วทั้งหลายต่างกระอักกระอ่วน 

 

 

คนผิดรีบยกมือขึ้น เอ่ยปากทันทีว่า “จั่วอี้อ๋อง นี่มันเป็นอุบัติเหตุ ข้าน้อยรับรองว่า จะไม่ให้เกิดอีก ไม่มีทางแน่” 

 

 

ทหารทั้งหลายของต้ามั่ว พากันพยักหน้าโดยพร้อมเพรียง 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่องสำคัญมาก ถึงได้เป็นหนึ่งเดียว 

 

 

หลังจากเซียวชินสูดลมหายใจลึก ก็ตัดสินใจเชื่อพวกเขาสักครั้งหนึ่ง หันไปทางเยี่ยเม่ย ปรับอารมณ์ของตนมองเยี่ยเม่ย กัดฟันเอ่ยปากว่า “เจ้าพูดมาตามตรงเถอะ สรุปแล้วพวกเจ้าทำอะไร…” 

 

 

 “ป๊าด…” 

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง เซียวชินบันดาลโทสะในทันที สูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น เขาชักกระบี่ยาวประจำกายออกมาอย่างดุดัน ชี้ไปที่ต้นกำเนิดของเสียง 

 

 

เขาบังเกิดความคิดฆ่าคนแล้ว… 

 

 

           เซียวชินขบฟันตวาดก้องด้วยโทสะ “เป็นเจ้าสารเลวตัวไหนอีก” 

 

 

 “ฉึก” กระบี่มิได้เสียบลงที่ร่างของคน แต่ปักลงที่เสาหน้ากระโจมราชาต้ามั่ว 

 

 

ส่วนราชาต้ามั่วในยามนี้ กำลังบิดเอวกุมท้อง ยืนหน้ากระโจมด้วยสีหน้าขาวซีด 

 

 

ราชาต้ามั่วมองเซียวชินด้วยสีหน้าซีดเซียว จากนั้นหันมองกระบี่ยาวที่ปักอยู่ข้างศีรษะ หากกระบี่เอียงไปนิดเดียว หัวของเขาคงถูกปักทะลุแล้ว 

 

 

ราชาต้ามั่วหน้าตึงไปสักครู่ คนยังไม่หลุดออกจากภวังค์หวาดกลัว สองขายังสั่นเทิ้ม สีหน้าสลดมองเซียวชิน คล้ายจะสะอื้นเอ่ย “ขุนนางรัก ข้าแค่ไม่สบายท้องเท่านั้น เห็นว่าบ่าวไม่ได้เตรียมห้องน้ำเอาไว้ รีบร้อนเกินไปจึงวิ่งออกมาสุขา แต่ทนไม่ไหวผายลมออกมา เจ้าต้องโมโหถึงเพียงนี้เชียว” 

 

 

เซียวชิน “…” 

 

 

ทหารต้ามั่วทั้งหลาย “…” 

 

 

ทหารต้ามั่วร้องอยู่ในใจ ‘พวกเขาก็ว่า ทุกคนร่วมกันสัญญาแล้ว ต้องรอให้จั่วอี้อ๋องเอ่ยจบก่อน ต้องอดทนรอจนคำพูดนั้น…’ 

 

 

สรุปแล้วใครกันที่ไม่รู้จักที่ตายผายลมออกมา คิดไม่ถึงว่ากลับเป็น…ท่านข่าน 

 

 

ถูกแล้ว เจ้าสารเลวจากปากจั่วอี้อ๋องก็คือท่านข่านของพวกเขา 

 

 

เห็นเซียวชินมองเขาไม่พูดไม่จา มุมปากราชาต้ามั่วพลันกระตุก สีหน้าเศร้าสลดเอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ข้าสงสัยว่าตัวเองจะท้องเสียแล้ว พวกเจ้ากำลังจะเปิดศึก? แต่ ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเกิดโทสะถึงขนาดนี้” 

 

 

เขาเป็นราชาต้ามั่ว เป็นนายของชาวต้ามั่ว 

 

 

ต่อให้เขาทนไม่ไหวผายลมออกมาระหว่างสองฝ่ายทำศึก แล้วจะทำไม เอ๊ะ นี่มันคืออะไรกันแน่ จำเป็นต้องด่าว่าสารเลว รวมถึงเอากระบี่เสียบเขาเลยหรือ 

 

 

เซียวชินจะอธิบายให้ราชาต้ามั่วฟังอย่างไรว่า เขาพูดมาสามรอบแล้ว ถูกเสียง “ปู๊ด” ขัดจังหวะ เมื่อครู่ที่เขาระเบิดอารมณ์ก็เพราะโมโหจนเลอะเลือน ไม่ตระหนักว่านั่นคือกระโจมองค์ราชา ถึงโยนกระบี่ไป คำพูดน่าขายหน้าเช่นนี้ เขาพูดไม่ออกจริงๆ  

 

 

เขามุมปากกระตุก จากนั้นก็คุกเข่าลง “ท่านข่าน กระหม่อมไม่รู้ว่าเป็นท่าน การศึกอยู่เบื้องหน้า เรื่องนี้วันหน้ากระหม่อมค่อยอธิบายกับท่าน ท่านข่าน ท่านกินข้าวแล้วหรือ” 

 

 

ใต้หล้านี้ขุนนางที่ด่าราชาเป็นตัวสารเลว ยังมีสักกี่คนที่มีชีวิตอยู่ 

 

 

ต่อให้มีชีวิตอยู่ ยังมีสักกี่คนที่ได้รับความสำคัญ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเซียวชินโยนกระบี่ออกไป เกือบปักทะลุศีรษะของราชาต้ามั่วแล้ว  

 

 

คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นทหารของเป่ยเฉิน หรือเป็นทหารของต้ามั่ว ก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นภาพจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วผู้นี้ จะไม่ได้รับความสำคัญ ชีวิตจบสิ้น จนถึงกระทั่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกราชาต้ามั่วบั่นหัวล้างแค้นส่วนตัว ช่างเป็นอนาคตที่อนาถนัก    

 

 

เดิมราชาต้ามั่วคิดจะพูดอะไรกับเซียวชินต่ออีกหน่อย หรือออกความเห็นให้กับสถานการณ์ศึกตรงหน้า ทว่าเขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จำเป็นต้องเข้าสุขาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมองเซียวชินอย่างรีบร้อน “ถูกต้อง ข้ากินไปแล้ว ข้าวต้องมีปัญหาแน่ ข้าทนไม่ไหวแล้ว” 

 

 

สิ้นเสียง ราชาต้ามั่วไม่ทันสนใจอาการจิตใจไม่สงบเพิ่งพ้นจากความตายของตนเมื่อครู่ ไม่พูดเอ่ยมากความอีก ก็มุ่งไปยังสุขา 

 

 

จากนั้นตอนที่เขาผลักประตู พบว่าเปิดประตูไม่ออก  

 

 

ราชาต้ามั่วเดือดดาลทันที ใช้ขาถีบโดยแรง เมื่อประตูเปิดออก ภายในมีทหารนายหนึ่งกำลังปลดทุกข์ 

 

 

ยามนี้ราชาต้ามั่วไม่ใส่ใจศักดิ์ศรีหน้าตา อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการอดกลั้นไม่ไหวปลดปล่อยออกไปต่อหน้าธารกำนัล จะยิ่งทำให้เสียหน้าเข้าไปใหญ่ เขายื่นมือออกไปดึงทหารนายนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยึดห้องสุขาอย่างรีบร้อน ปิดประตูดัง “ปัง”  

 

 

กางเกงของทหารคนนั้นยังไม่ทันผูกขึ้นมาเลย 

 

 

ทหารทั้งหมดของเป่ยเฉินพลันกลั้นไม่ไหว หัวเราะออกมา นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขบขันที่สุดในชีวิตพวกเขาแล้ว ถึงกับได้เห็นราชาต้ามั่วขายหน้าต่อหน้าต่อตา 

 

 

ราชาต้ามั่วที่นั่งอยู่ในสุขา ย่อมได้ยินเสียงหัวเราะจากภายนอก ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่าคนพวกนี้กำลังหัวเราะเยาะตน แต่เขาก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว เพียงกุมหน้าตนเงียบๆ อดทนความอัปยศปลดทุกข์ต่อไป 

 

 

เซียวชินที่ยังคงคุกเข่าให้ราชาต้ามั่วอยู่ พลันมีสีหน้าว่างเปล่าอีกครั้ง ถึงกระทั่งรู้สึกถึงความยากลำบากในชีวิตตน หลังจากล่วงเกินองค์ราชา เขาลุกขึ้นมาคล้ายจะร้องไห้ มองเยี่ยเม่ย 

 

 

เขาพ่นคำพูดออกมาคำหนึ่ง “เจ้า…” 

 

 

ความจริงเขายังคิดถามว่า สรุปแล้วเยี่ยเม่ยใช้อะไรกันแน่ แต่เมื่อหวนคิดถึงผลหลังจากถามคำถามนี้ออกไปสี่ครั้งแล้ว เขาพลันรู้สึกว่าคำถามนี้มีอาถรรพ์ 

 

 

ดังนั้นหลังจากเอ่ยคำนี้ออกมา เขาก็รู้สึกจากเบื้องลึกว่าตัวเองพูดไม่ออกอีกแล้ว 

 

 

เยี่ยเม่ยยืนชมอยู่นาน มองเซียวชิน ถอนใจ เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาจากใจว่า “ข้ารู้สึกเห็นใจเจ้าจริงๆ” 

 

 

คนทั้งหมด “…” 

 

 

ว่าไปตามเหตุผลแล้ว การถูกผู้นำทัพฝ่ายศัตรูเห็นใจ ต่อให้เป็นคนที่ใจคอกว้างขวางแค่ไหน ในเวลานี้ก็ย่อมรู้สึกถึงความเท็จ หลอกลวง เสแสร้งแกล้งทำ 

 

 

แต่ในเวลานี้ไม่ว่าคนของเป่ยเฉิน หรือเป็นคนของต้ามั่ว เห็นเคราะห์กรรมของเซียวชิน ในใจก็เห็นใจขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่า เยี่ยเม่ยต้องเอ่ยออกมาจากใจจริงอย่างแน่นอน ไม่มีความเสแสร้งหลอกลวงเลยสักนิด 

 

 

เซียวชินสะอึกไป ไม่รู้ว่าถูกคำพูดของเยี่ยเม่ยเสียดแทง หรือว่ารู้สึกซาบซึ้ง มีเพียงอารมณ์สลดที่ยังไม่ฟื้นฟู มองเยี่ยเม่ยคล้ายจะร้องไห้ เหมือนอยากพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ยังทนไม่เอ่ยออกมา 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเซียวชิน สูดลมหายใจลึก เอ่ยด้วยความเป็นมิตรว่า “อย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านไม่ใช่อยากรู้หรอกหรือว่าข้าใช้วิธีไหน ไม่ต้องถามแล้ว ข้าบอกท่านตรงๆ เลยก็แล้วกัน” 

 

 

เซียวชิน “…” 

 

 

เขาถึงกับซาบซึ้งในคำพูดของเยี่ยเม่ย นี่มันเรื่องอันใดกัน 

 

 

ไม่ เขาร่ำร้องอยู่ใน ทั้งยังเตือนตัวเอง เซียวชิน เจ้าไม่อาจซาบซึ้ง นางคือผู้นำทัพศัตรู เป็นนางทำร้ายเจ้าจนตกอยู่ในสภาพน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางกำลังคุกคามความปลอดภัยของต้ามั่ว บางทีพวกเจ้ากำลังจะพ่ายแพ้ ตกตายกันเป็นเบือเพราะนาง เจ้าห้ามซาบซึ้ง 

 

 

แต่ว่า เขาซาบซึ้งอยู่ในใจจริงๆ 

 

 

ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเอ่ยคำถามอีกครั้ง แล้วถูกเสียงประหลาดนั่นตัดบทอีกครั้งหนึ่ง เสียหน้าจนหมดสิ้น น่าเศร้าเหลือเกิน…. 

 

 

พวกทหารเป่ยเฉินที่หัวเราะเยาะอยู่นาน เวลานี้มองเยี่ยเม่ยอย่างเห็นด้วย คิดว่าผู้นำทัพของเขาไม่เพียงแค่ฉลาด แต่ยังมีเมตตา เห็นใจคน เป็นมาตรฐานของสตรีที่เพียบพร้อมในใต้หล้า 

 

 

ช่างเถอะ บอกจั่วอี้อ๋องผู้นั้นไปแล้วกัน ไม่อย่างนั้นคนผู้นี้ก็น่าสงสารไปแล้ว ยามปกติพวกเขารังเกียจคนของต้ามั่วกลุ่มนี้จนแทบจะฉีกเนื้อออกมา ยามนี้ยังเกิดความเห็นใจ 

 

 

อืม แต่ความเห็นใจเพียงชั่ววูบนี้ ก็ทำได้แค่บอกฝ่ายตรงข้ามเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ไม่มีทางทำให้เสียโอกาสในการที่พวกเขาจะติดตามเยี่ยเม่ยสังหารชาวต้ามั่วกลุ่มนี้อย่างสิ้นซากแน่นอน  

 

 

เยี่ยเม่ยกระแอมไอ เอ่ยว่า “เจ้าพบว่าในข้าวสารไม่มีพิษใช่ไหม ทั้งไม่ป่นเป็นผงด้วย ดังนั้นถึงมั่นใจว่าข้าวสารไม่พิษ” 

 

 

 “ไม่ผิด” เซียวชินผงกหัว 

 

 

เยี่ยเม่ยอธิบายอย่างเย็นชาต่อไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ใต้หล้านี้มีคนจำพวกหนึ่ง เรียกว่าพ่อค้าเถื่อน ซ้ำยังมีสิ่งของอีกอย่างเรียกว่าทัลคัม? พวกเจ้าในที่นี้เรียกเจ้าทัลคัมว่าอะไรข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่คุณสมบัติของมันคือ ช่วยให้ข้าวสารที่เก็บไว้ชั่วนาตาปี หลังจากผ่านกระบวนการก็จะมีสีขาวมากราวกับข้าวใหม่ ดูไม่ออกเลยสักน้อย แต่ที่ข้าแปลกใจก็คือ พวกพ่อค้าที่นี่ยังสามารถนำข้าวเสียผ่านกระบวนการเช่นนี้ บวกกับลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ปกปิดจนทำให้คนจับพิรุธไม่ได้” 

 

 

นางอธิบายออกไปเช่นนี้ เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้พลันเข้าใจแล้วว่าไฉนในตอนแรก เยี่ยเม่ยถึงสั่งให้พวกเขาบางคนจับพ่อค้าข้าวเถื่อนไปเพื่ออะไร 

 

 

ทั้งยังยึดคลังไม่น้อย จับคนงานจำนวนมาก ที่แท้ก็เพื่อทำการนี้  

 

 

เซียวชินฟังถึงบัดนี้ ก็เข้าใจแล้ว สีหน้ายิ่งทวีความไม่น่ามอง “ข้าคิดว่า…” 

 

 

เซียวชินนิ่งไปชั่วครู่ ตระหนักได้ว่าตอนที่เขาเอ่ยวาจา ไม่มีใครกล้าเผลอไผลปล่อยตัวอีก เขาเบาใจลง เอ่ยต่อว่า “เจ้าจะวางยาพิษ หรือวางยาถ่าย แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลือกข้าวที่มีปัญญาอยู่แล้ว ผ่านกระบวนการพิเศษมาหลอกลวงพวกข้า”  

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบตามสัตย์ว่า “คิดไม่ถึงก็ถูกแล้ว เรื่องนี้สอนจั่วอี้อ๋องว่า ภายหน้าต้องสังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน รู้ว่าโลกนี้ความจริงมีพ่อค้าเถื่อนอยู่มาก ใช้วิธีการเช่นนี้หลอกลวงชาวบ้าน” 

 

 

ทัลคัมในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ถูกจำกัดการใช้ เพราะว่าภายในมีสารก่อให้เกิดมะเร็ง 

 

 

แต่ในยุคโบราณไม่มีคนรู้จักโรคมะเร็ง เยี่ยเม่ยเดาว่าในยุคสมัยนี้จะมีพ่อค้าเถื่อนใช้กระบวนการเช่นนี้ ทำให้ข้าวสารเก่ากลับมาดีอีกครั้ง หลอกลวงประชาชนหรือไม่ 

 

 

นางคิดเสี่ยงดวงดู จึงให้หลูเซียงฮั่วตรวจสอบ คิดไม่ถึงว่าจะมีจริงๆ 

 

 

ที่ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ พ่อค้าเถื่อนพวกนั้นยังร้ายกาจกว่าพ่อค้าในยุคปัจจุบันหลายเท่านัก 

 

 

เทคโนโลยีของพวกเขาอาจไม่สูงเท่ากับยุคปัจจุบัน แต่พวกเขาอาศัยความอดทน ใช้กลเม็ดที่พ่อค้าเถื่อนในยุคปัจจุบันไม่รู้ ก็สามารถทำให้ข้าวสารที่เสียแล้ว ผ่านกระบวนการอย่างละเมียดละไมกลายเป็นข้าวที่ไร้ปัญหา นี่เป็นการแสดงถึงความฉลาดและความอดทนของคนโบราณ  

 

 

แต่ความฉลาดและความอดทนนี้ไม่ใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ก็นับว่าช่วยนางได้ครั้งหนึ่ง ทำให้นางชนะได้โดยสวยงามและสบายกว่าที่คิดไว้เสียอีก  

 

 

ไม่เช่นนั้นแค่ข้าวเก่า ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะถ่ายท้องร้ายแรงถึงขนาดนี้ แต่กินข้าวเสียเข้าไปแล้ว…  

 

 

เซียวชินพลันเข้าใจ สายตาเย็นเยียบมองเยี่ยเม่ย สตรีนางนี้แม้แต่เรื่องพวกนี้ก็ยังรู้ ส่วนเขาที่เป็นจั่วอี้อ๋องผู้สูงส่ง หลายปีที่ผ่านมาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยสักน้อย 

 

 

เสี้ยวขณะนี้ เขาพูดไม่ถูกว่ารู้สึกรังเกียจสตรีนางนี้มากกว่า หรือเลื่อมใสมากกว่ากัน