บทที่ 359 ถ้าไม่ไป งั้นก็อยู่ที่นี่

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 359

ถ้าไม่ไป งั้นก็อยู่ที่นี่

หลังจากที่องค์หญิงเดินออกมาได้ยังไม่ไกลนัก เท้าของเธอก็อ่อนแรงและทรุดลงไปกับพื้น เสี่ยวหงที่ตามเธอมาติดๆแต่ก็รับองค์หญิงไว้ไม่ทัน ในตอนนี้องค์หญิงไม่มีภาพลักษณ์อะไรเหลืออยู่เลย

หัวใจเธอเต้นรัว ก่อนหน้านี้เธอมองดินแดนดำมืดว่าเป็นอะไรที่น่าขำ ก่อนหน้านี้เธอมองไม่ออกเลยจริงๆ

แม้แต่ทหารที่อยู่รอบๆก็ยังมีสายตาที่ประหลาดใจอย่างไม่ต้องสืบเลย

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านลอร์ดของเมืองถึงไม่เคยสนใจเธอเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมองค์จักรพรรดิถึงสั่งให้เธอเฝ้าจับตาท่านลอร์ดของดินแดนดำมืด

ถ้าวันนี้เธอไม่ได้เข้าไปที่ห้องทำงานเขา เธอก็คงจะยังพ่ายแพ้ต่อไปหลังจากการปราบปรามแน่ๆ

“องค์หญิง ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” เสี่ยวหงถามด้วยความกังวลเพราะเธอพยายามที่จะดึงองค์หญิงขึ้นมาหลายครั้งแต่องค์หญิงก็ยังยืนไม่ได้อยู่ดี

ตั้งแต่เด็กคนโต เธอไม่เคยเห็นองค์หญิงหน้าซีดขนาดนี้มาก่อนเลย

องค์หญิงไม่ได้ยินสิ่งที่คนรอบข้างกำลังพูดเลย มือเธอกำกระดาษไว้แน่น ภาพแบบมากมายและสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จักพวกนี้กำลังกลืนกินความรู้สึกของเธอทั้งหมดราวกับปีศาจร้าย ไม่ได้แล้ว! ยังพอมีเวลา!

ตราบใดที่เธอไปบอกเขาตอนนี้ เขาจะต้องมีวิธีแน่ๆ องค์หญิงลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น แต่หลินหยางเห็นเธอหยิบภาพร่างนี้ออกมาแต่กลับไม่มีทีท่าอะไรเลย เธอรู้สึกเครียดขึ้นมาอีกครั้ง หรือนี่จะเป็นแผนที่อีกฝ่ายคิดไว้แล้ว

ถ้าเธอรู้แล้ว งั้นเขาจะไม่เตรียมพร้อมได้ยังไง

สุดท้ายเธอก็ช่างไม่รู้อะไรเลย

ที่ดินแดนของเธอ เธอกลายเป็นองค์หญิงที่โด่งดัง เธอถึงขนาดเคยคิดว่าคงไม่มีดินแดนไหนในโลกนี้ที่จะมาเทียบกับดินแดนสายลมได้และคนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกนี้ก็ควรที่จะเป็นองค์จักรพรรดิพี่ชายของเธอ เธอมีความคิดที่ไร้สาระแบบนั้นได้ยังไงกัน

“องค์หญิง ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ? ลุกขึ้นก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงจับองค์หญิงและพยายามที่จะดึงเธอลุกขึ้น

ภาพลักษณ์ขององค์หญิงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก นางจะมานั่งบนพื้นในที่สาธารณะได้ยังไงกัน

ทันใดนั้นองค์หญิงก็ลุกขึ้น โบกมือให้เสี่ยวหงที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกห่าง แล้ววิ่งกลับไปที่พักของเธอ

ตราบใดที่ยังมีความหวัง ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่เธอก็จะยอมแพ้ไม่ได้ ใช่ อย่างน้อยเธอก็ต้องบอกเขาก่อน

หลังจากกลับมาถึงที่พัก องค์หญิงก็สั่งออกมาทันที “เก็บของ เราจะไปจากดินแดนของท่านลอร์ดกัน”

“เจ้าค่ะองค์หญิง” ถึงแม้สาวใช้ในบ้านจะรู้สึกแปลกๆแต่ก็พวกนางก็ไม่กล้าที่จะถามอะไร แต่เสี่ยวหงกลับหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที “องค์หญิง ท่านไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยข้า แล้วตอนนี้ข้าจะเจอท่านเฟิงได้ยังไงกัน?”

องค์หญิงมองมาที่เสี่ยวหงด้วยสายตาเย็นชา นี่กำลังจะตายกันอยู่แล้วยังจะมีหน้ามีพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่อีก

“องค์หญิง ข้าไม่กลับ” เสี่ยวหงร้องไห้ออกมา

ในตอนนี้องค์หญิงเหลืออดกับสาวใช้คนนี้แล้ว “ถ้าไม่กลับ งั้นก็อยู่ที่นี่ไป” เมื่อพวกเธอได้เจอกันอีก พวกเธอก็จะเป็นศัตรูกัน

เสี่ยวหงมองไปที่องค์หญิงด้วยท่าทางประหลาดใจ ที่สีหน้าของเธอตอนนี้มีความหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ได้

เธอกัดริมฝีปากและรู้สึกว่าต้องเลือกระหว่างผู้ชายกับความอยู่รอด องค์หญิงจะทิ้งเธองั้นเหรอ?! เสี่ยวหงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

เป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะยอมแพ้ในทันทีเพราะมิตรภาพอันยาวนานของเธอและความรุ่งโรจน์ที่เธอมี

ภาพของท่านเฟิงจะยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของเธอแต่ตำแหน่งข้างกายเขามีสาวที่ทรงเสน่ห์อยู่ด้วยแล้ว

ถ้าไม่มีองค์หญิง เธอก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ถ้าเธอฉลาดพอ เธอก็ไม่ควรที่จะทิ้งองค์หญิง

แต่นั่นเป็นผู้ชายคนเดียวในหัวใจของเธอ เธอไม่ได้อยากให้องค์หญิงจัดงานแต่งงานให้เธอด้วยซ้ำ

“องค์หญิง…” เสี่ยวหงพึมพำ สายตาขององค์หญิงเย็นเป็นน้ำแข็งพร้อมทั้งสะบัดมือเธอที่จับแขนเสื้อนางอยู่ออกด้วย “ไปกันได้แล้ว” เธอไม่หันกลับมามองเสี่ยวหงที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยซ้ำ

สิ่งที่เธอกังวลอยู่ตอนนี้คือท่านลอร์ดของเมืองจะยอมให้เธอออกหรือเปล่า?!

เสี่ยวหงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นและมองไปที่องค์หญิงที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ความตื่นตระหนกเข้าโจมตีเธอ ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นเรื่อยๆแล้วว่าองค์หญิงไม่ได้ต้องการเธอด้วยซ้ำ องค์หญิงก็ยังเป็นองค์หญิงวันยังค่ำ

ความคิดของเสี่ยวหงยังสับสนวุ่นวายไปหมด แต่ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นและวิ่งตามนางไป

“องค์หญิง อย่าทิ้งข้าไว้ ข้าอยากที่จะไปกับท่านด้วย” เสี่ยวหงเดินตามองค์หญิงไปพร้อมน้ำตา

ฉลาดมาก ถ้าเสี่ยวหงอยากจะอยู่จริงๆ เธอก็คงจะผิดหวังอย่างมาก “ลุกขึ้นแล้วตามมา” องค์หญิงพูดอย่างเย็นชา

เสี่ยวหงลุกขึ้น ไม่กล้าที่จะเถียงอะไรองค์หญิงที่เคยเลี้ยงดูเธอมา เธอเดินไปยืนข้างๆองค์หญิงอย่างเชื่อฟัง แม้แต่ลมหายใจก็ยังให้มีเสียงเบาที่สุด

ก่อนหน้านี้เธอตามืดบอดเพราะความรักคนบดบังเหตุผลไปจนหมด แต่ตอนนี้เธอได้สติแล้ว

ไม่ว่าท่านเฟิงจะดีมากแค่ไหน เขาก็คงจะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอ แล้วเธอจะขัดขืนได้ยังไง

ตอนนี้องค์หญิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเดาว่าสาวใช้ตัวน้อยของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ข้างหลัง ตอนที่นางวิ่งตามมา อย่างน้อยเธอก็มีคำตอบในหัวใจแล้ว

ตอนนี้หัวใจของเธอกำลังเหนื่อยอ่อน มีเพียงกระดาษสีขาวธรรมดาที่เธอกอดไว้แน่นราวกับเป็นของมีค่า เธอไม่อยากที่จะคิดถึงจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นรัว

ยิ่งเธอเข้าใกล้ห้องทำงานของหลินหยางมากขึ้นเท่าไร องค์หญิงก็ยิ่งเดินช้ามากขึ้นเท่านั้น

การที่องค์หญิงไปแล้วเดินกลับมาใหม่ไม่ได้ทำให้สีหน้าของเหล่าทหารที่เฝ้าอยู่เปลี่ยนไปเลย

องค์หญิงลดความสูงศักดิ์ของเธอลงเป็นครั้งแรกและพูดกับทหารว่า “กรุณาแจ้งท่านลอร์ดด้วยว่าองค์หญิงแห่งดินแดนสายลมมาเพื่อกล่าวลา”

“รอสักครู่” หนึ่งในการ์ดเดินเข้าไปข้างใน

ส่วนองค์หญิงที่อยู่ข้างหลังกำมือแน่นแต่ไม่ใช่เพราะความกลัว

เป็นไปได้ว่าท่านลอร์ดของเมืองสั่งให้พวกทหารมาเฝ้าขนาดนี้เพราะต้องการที่จะซ่อนสิ่งที่อันตรายไว้ภายใน

เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่รอแต่สำหรับองค์หญิงแล้วนี่เหมือนกับเวลาผ่านไปเป็นศตวรรษ

คนที่เดินออกมาคือหลินหยางเอง ไม่ใช่ทหาร

องค์หญิงตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง คงจะเป็นการโกหกถ้าจะบอกว่าเธอไม่กลัวเลย ถ้าไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีความเป็นองค์หญิงที่ถูกสั่งสอนมายาวนาน เธอก็คงจะคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้ว

“ทำไมองค์หญิงถึงรีบกลับขนาดนี้ล่ะ? ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเหรอ?” หลินหยางดูเหมือนจะอารมณ์ดี

ท่าทางขององค์หญิงไม่ค่อยจะดีเท่าไร ถึงแม้สีหน้าของหลินหยางจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในสายตาเธอเขาก็ยังเหมือนกับปีศาจอยู่ดี

ช่างเป็นผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานของจิ้งจอกจริงๆ

“ไม่ ไม่ล่ะ ข้าเป็นห่วงเรื่องจดหมายของท่าน งั้นข้าจะกลับบ้าน” จะบอกไม่ได้ว่าทางพระราชวังเรียกตัวเธอ

“งั้นข้ายกให้เจ้าแล้วกัน” หลินหยางพูด เขาจะมีปฏิกิริยาได้ยังไง อาวุธต่างๆก็ถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว

ให้องค์หญิงกลับไปก่อน พวกเขาจะได้วางใจ

“ไม่ล่ะ งั้นข้าไม่รบกวนท่านลอร์ดแล้ว” องค์หญิงถอยหลังมาสองสามก้าวเพราะกลัวว่าเขาจะออกคำสั่งแล้วพวกเธอจะไม่รอดกันหมด

“ถ้าเป็นอย่างงั้นก็ขอให้เดินทางโดยสันติภาพนะ” ยังไงซะอยู่ตรงนี้มันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรด้วย ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการ มีคนนอกอยู่ด้วยมันคงไม่ดีเท่าไร

“งั้นก็ลาก่อน” หลังจากที่องค์หญิงพูดจบ เจอก็แทบจะวิ่งไปสุดฝีเท้าเลย

หลินหยางถึงกับตะลึงงง

ก้าวต่อไปก็คือการสู้ศึกใหญ่

องค์หญิงไม่กล้าที่จะหยุดนอกประตูเมือง เธอสั่งให้คนขับรถตรงไปที่ค่ายสายลมนอกเมืองทันที มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้หัวใจเธอกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง

“เร็วเข้า รีบหน่อย รีบพาข้ากลับไปที่ดินแดนสายลมโดยเร็วที่สุดแล้วส่งจดหมายนี้ให้ถึงมือขององค์จักรพรรดิด้วย” องค์หญิงกล่าว

หลินหยางที่อยู่ในคฤหาสน์เผยรอยยิ้มออกมาทันทีหลังจากที่ได้ยินรายงานจากทหารชุดดำ

เขาจะสร้างโลกที่สงบสุข

ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยกำลังปวดหัว

ในหัวของเธอเอาแต่ปรากฏร่างของคนคนหนึ่งขึ้นมาซ้ำๆ หัวใจเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าเธอได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่

สีหน้าของเธอซีดเผือดและเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

เฟิงจือหลิงเคาะประตูแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

เสี่ยวฉิงก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน

สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยจึงรีบเปิดประตูเข้าไปทันที

มู่หรงกำลังนอนอยู่ที่เตียง มือกุมไปที่หัวด้วยความเจ็บปวด ทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“เสี่ยวเสวี่ยเจ้าเป็นอะไร?” เขารีบอุ้มมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันทีและรีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณตรวจอาการของร่างกายเพื่อหาว่ามีการบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าทันที

“เจ็บ ปวดหัว…” มู่หรงเสวี่ยมองเห็นเฟิงจือหลิงที่อยู่ข้างเธอเพียงเท่านั้น แต่เธอไม่มีแรงพอจะตอบเขา

อาการปวดหัวกลายเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเธอแทบจะทนไม่ไหวและสลบไปในทันที

เขารู้สึกตกใจกลัวอย่างมาก

เขาบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ตัวเองและทำการตรวจมู่หรงเสวี่ยแต่ก็ไม่เจออะไรที่ผิดปกติในร่างกายของเธอ มีเพียงแค่สีหน้าที่ซีดเผือดของเธอที่บ่งบอกว่าเธอทรมานจากความเจ็บปวดอย่างมาก

เขาซับเหงื่อบนใบหน้าของเธอและพร้อมกันนั้นเขาก็ตรวจสอบสถานการณ์ด้านจิตใจของเธอด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างระวัง แต่ก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรเลย

กว่าที่มู่หรงเสวี่ยจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็ค่ำแล้ว

เธอมองไปที่เฟิงจือหลิงที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง ที่ใต้ตาของเขามีรอยคล้ำ เกิดเป็นความรู้สึกอบอุ่นแผ่ทั่วหัวใจเธอ

เธอค่อยๆหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมที่ร่างของเฟิงจือหลิง

อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงตื่นขึ้นมาทันที “เสี่ยวเสวี่ยเจ้าเป็นไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เฟิงจือหลิงลุกขึ้นและถามออกมา

มู่หรงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร”

เฟิงจือหลิงของอย่างไม่วางใจ เมื่อวานเขาเห็นท่าทางเจ็บปวดของเธอด้วยตาตัวเอง บ่งบอกให้รู้ว่าอาจจะมีอันตรายอะไรที่ซ่อนอยู่ “เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

มู่หรงส่ายหัวและตอบออกมาเสียงเบา “ดูเหมือนข้าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มีร่างของคนคนหนึ่งแต่ภาพไม่ค่อยชัดเท่าไร” เธอคิดว่าสักวันความทรงจำของเธอก็อาจจะกลับมาได้

อย่างไรก็ตาม เฟิงจือหลิงดูจะผิดปกติไปนิดหน่อย แต่ มู่หรงก้มหัวลงและพยายามที่จะนึกถึงร่างที่เห็นเมื่อวานในความคิด

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” เฟิงจือหลิงถามออกมาเสียงเบาอย่างระวัง เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ?!

ความกลัวที่จะต้องสูญเสียทำให้เฟิงจือหลิงรู้สึกยอมรับไม่ได้อยู่นิดหน่อย

“ก็แค่นึกถึงร่างของผู้ชายที่เห็นไม่ค่อยชัดเท่าไร” ดูเหมือนจะเป็นคนที่สำคัญกับเธอมาก เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนซึ่งไม่ใช่คนในครอบครัวของเธอแน่ แต่เขาจะเป็นใครไปได้นะ?!

ทำไมเวลาที่เธอนึกถึงแล้วจะต้องปวดหัวใจด้วยนะ

สีหน้าของเฟิงจือหลิงซีดเผือดและร่างกายเขาก็เริ่มที่จะสั่นเล็กน้อย ความสุขที่ขโมยมาไม่มียั่งยืนหรอก

เขาไม่น่าที่จะทำแบบนี้เลย เฟิงจือหลิงอดไม่ได้ที่จะกอดมู่หรงเสวี่ยไว้แน่น

“เสี่ยวเสวี่ย เจ้าจะเกลียดข้าไหม?” เกลียดที่ข้าไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้า ว่าเจ้ามีคนที่สำคัญมากอยู่ในหัวใจแล้ว

“บ้าน่า ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องเกลียดเจ้านิ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

เฟิงจือหลิง

ฟังที่เธอพูดแล้วทำได้เพียงกอดมู่หรงไว้แน่น