บทที่ 360
อย่าคิดว่าเขาโง่
หลังจากนั้นไม่กี่วันเฟิงจือหลิงก็เฝ้าระวังตัวตลอด
มู่หรงถามเขาหลายครั้ง เขาก็จะแค่ส่ายหัวพร้อมกับมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน
ตั้งแต่ที่เสี่ยวฉิงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลกของการฝึกตน เธอก็ขอเข้าไปฝึกตนในมิติลับ
ไม่ใช่เพราะว่าเธออยากจะหาวิธีที่จะแข็งแกร่งขึ้นแต่เพราะอยากจะเข้าใกล้ท่านหญิงไปอีกขั้นและเธอก็ยังไม่อยากที่จะจากนางไปไหนด้วย
ไม่นานมานี้หลินหยางได้รับจดหมายจากองค์ราชาของทั้งสามดินแดนว่าจะมาเยี่ยมดินแดนดำมืด
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการเยี่ยมแบบการทูตแต่ก็เป็นการที่ศัตรูผ่านเข้ามา เหล่าทหารและกองกำลังติดอาวุธเดินทางผ่านป่าที่รกร้างและหมู่บ้านที่ทรุดโทรมซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านมากมายนับไม่ถ้วนจะไม่กล้าเดินออกมานอกบ้านแล้ว
ทั้งสามดินแดนกำลังปิดล้อมดินแดนดำมืด
สายตาของหลินหยางเยือกเย็นและตอนนี้เขาออกคำสั่งให้ตั้งป้อมประจำตำแหน่งในทุกทิศทาง
ทหารทุกคนจะมีอาวุธโจมตีพิเศษ
ขนาดบนกำแพงเมืองก็ยังมีปืนใหญ่ที่ยิงได้ระยะไกลเตรียมไว้ด้วย รูปร่างสีดำเป็นมันเงาดูน่าเกรงขาม
เหล่าทหารของดินแดนดำมืดต่างก็รีบไปเฝ้าอยู่ด้านนอกเมืองทันที เหล่าสายสืบของดินแดนมากมายก็รีบเอาข่าวนี้ไปแจ้งองค์ราชาตัวเองกันเป็นการใหญ่
หวังฉิงมองไปที่รายงานด่วนที่เพิ่งถูกส่งมาถึงมือและสีหน้าของเขาก็ดูคาดเดาไม่ได้เลย
นี่นางคิดว่าท่านลอร์ดของดินแดนดำมืดมีโอกาสที่จะชนะตำแหน่งนี้ได้มากกว่าเขาหรือไง??! ทำไมนะ?
เขาเองก็ไม่ได้ทำไม่ดีอะไรกับเธอ
เขาอดที่จะมีความสุขไม่ได้เมื่อนึกถึงการระเบิดที่สำเร็จ เขาคิดว่าสุดท้ายเขาก็สามารถที่จะสู้กับอีกฝ่ายได้แล้ว อย่างไรก็ตามก็ได้มารู้ว่าอีกฝ่ายสร้างอาวุธขนาดใหญ่ที่ไม่รู้จักขึ้นมาอีก มันคงจะต้องทรงพลังมากจนทำให้ทหารชุดดำต้องระวังอย่างมากและเมื่อทหารมารายงานก็ยังมีท่าทางที่ดูหวาดกลัวอยู่เลย
เขาจะทำใจให้สงบได้ยังไง แต่เขาจะยอมแพ้ไม่ได้จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย
อีกอย่างพวกเขายอมให้คนที่อยู่ดีๆก็โผล่มาจากอากาศมาเป็นผู้นำได้ยังไงกัน
ผู้หญิงคนนั้นถึงแม้สุดท้ายแล้วเขาจะไม่ได้เธอมา แล้วท่านลอร์ดแห่งดินแดนดำมืดจะได้เธอไป แต่เขาก็จะต้องเอาคืนอย่างสาสมเลย หลินหยาง!
ช่วงนี้ดินแดนดำมืดมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและเริ่มที่จะกันไม่ให้คนจากทั้งสามดินแดนเข้ามาในดินแดนดำมืดแล้ว และดูเหมือนว่าคนของดินแดนดำมืดเองก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป แน่นอนว่าไม่นานหลังจากนั้นหลินหยางก็ออกประกาศ
ทั้งคนแก่, คนที่ไม่แข็งแรงและคนพิการจะถูกทหารของดินแดนดำมืดพาลงไปอยู่ที่ป้อมปราการใต้ดินที่หลินหยางเตรียมไว้สำหรับเป็นที่หลบภัยชั่วคราว
การกระทำนี้ทำให้ประชาชนของดินแดนดำมืดรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาได้ทันที และยังทำให้เหล่าทหารของดินแดนดำมืดรู้สึกมีอิสระมากขึ้นด้วย
มู่หรงเองก็ไม่ได้ว่างเพราะช่วงเวลานี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เธอเองก็เข้าร่วมการฝึกทหารด้วย ยังไงซะเมื่อเทียบกันแล้วยังไงมู่หรงเสวี่ยก็ยังคุ้นเคยกับอาวุธพวกนี้มากกว่าคนโบราณอยู่นิดหน่อย
หลินหยางเรียกพวกนายพลทั้งหมดให้มาประชุม เฟิงจือหลิงเองก็อยากที่จะปกป้องมู่หรงเสวี่ย
ตอนนี้มู่หรงเองก็เปลี่ยนเป็นผู้ชายเพื่อความสะดวก
ทุกอย่างเริ่มที่จะตึงเครียด เมืองเริ่มจะห้ามไม่ให้เดินไปไหนมาไหนอย่างอิสระและทันใดนั้นถนนที่เคยพลุกพล่านก็กลับกลายเป็นเงียบไปเลย
ถึงแม้หลินหยางจะไม่กล้าที่จะรับปากว่าเขาจะทำให้ดีที่สุดได้ แต่ถ้ามีการปะทะอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้ก็จะช่วยลดความรุนแรงให้น้อยที่สุดได้
สองสามวันต่อมา กองทัพของทั้งสามดินแดนก็มาถึงดินแดนดำมืด
หลินหยางออกมาต้อนรับนอกตัวเมือง “พวกท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้กว่านี้แล้ว ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” หลินหยางตะโกนออกมาโดยใช้ลำโพงที่ทำขึ้นมาเอง เสียงที่ดังก้องนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกมึนงงได้เลย
ทั้งสามดินแดนล้อมรอบดินแดนดำมืดไว้หมดทั้งสามทิศทางแต่ก็ยังมีหนทางอีกมากมาย เหล่ากองทหารดูตกใจกันเล็กน้อย ดวงตาหวังฉิงแวบประกาย กล้าที่จะมาขู่เขางั้นเหรอ! เป็นแค่เมืองเล็กๆ ตำแหน่งท่านลอร์ดของมีอำนาจพวกน้อยนิดแล้วยังจะกล้ามาอวดดีอีก เขาโบกมือและส่งกองทหารม้าให้วิ่งตรงเข้าไป
ดวงตาของหลินหยางแวบประกาย อยากจะลองของ ใช่ไหม!
เพียงโบกมือแค่ครั้งเดียว กองทหารที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยิงปืนใหญ่ออกไปทันที
เสียงปืนดังสนั่นและกลุ่มของคนกว่าพันก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที
หวังฉิงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ตลกแล้ว มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย แบบนี้พวกเขาก็กลายเป็นไอ้โง่กันหมดเลยสิ
“ฟังนะ ห้ามทหารคนไหนเข้าใกล้กำแพงเมืองดินแดน ดำมืด ไม่งั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจนะ” เสียงนายพลของดินแดนดำมืดประกาศออกมา
แล้วดินแดนใหญ่ทั้งสามล่ะ?! เขามองไปที่ด้านหลังของหลินหยางด้วยความชื่นชม ไม่มีอะไรตื่นเต้นไปกว่าการได้ติดตามเจ้านายที่เขารู้สึกว่าฉลาดและแข็งแกร่งแบบนี้อีกแล้ว เขารู้สึกราวกับว่าโลกกำลังจะตกลงมาอยู่ในอ้อมแขนของคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา แม่น้ำและภูเขาที่เขาเล็งไว้จะต้องกลายเป็นสิ่งที่งดงามมากขึ้นไปอีก พลังของปืนใหญ่เมื่อกี้เป็นสิ่งที่เปิดตาของเขาเลย
กลายเป็นว่าพวกเขามีอำนาจมากมาย
หวังฉิงตอนนี้หน้าเขียวหน้าดำด้วยความโกรธ ช่างเป็นอาวุธที่ทรงพลังเหลือเกิน นี่พวกเขามีอะไรอีกหรือเปล่านะ ไม่แปลกใจเลยที่พวกนั้นไม่กลัวพวกเขา แล้วมันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หวังฉิงส่งสัญญาณอีกครั้ง
เหล่านายพลฟังคำสั่งและเริ่มที่จะสั่งกองทหารทั้งหมดให้ประจำตำแหน่งไว้ ทุกอย่างดูเหมือนปกติแต่สายตาของนายพลกลับแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนก
พวกทหารเองก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร คู่ต่อสู้ของพวกเขาช่างแข็งแกร่งจนพวกเขาเสียกำลังใจกันหมดแล้ว
หวังฉิงนวดไปที่ขมับที่รู้สึกปวดแล้วจึงถามนายพลให้ส่งหนังสือรายละเอียดการพูดคุยไปให้ดินแดนสายลมและดินแดนหิมะ
อีกสองดินแดนตกตะลึงมากกว่าหวังฉิงซะอีก อย่างน้อยหวังฉิงก็เตรียมใจมาบ้างแล้วหลังจากที่ได้เห็นครั้งแรก และความขัดแย้งที่ได้รับความเดือดร้อนจากอีกสองดินแดนได้พลิกความเข้าใจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ความรู้ที่พวกเขามีราวกับมดตัวน้อยที่มองเห็นเพียงแค่เท้าของช้างและไม่สามารถที่จะมองเห็นช้างทั้งตัวได้เลย ตอนแรกพวกเขาคิดว่ารู้ทุกอย่างในโลกแต่ตอนนี้กลายเป็นว่ารู้เพียงแค่หัวเข็มหมุด
เมื่อหลินหยางเห็นว่าองค์ราชาของทั้งสามดินแดนไม่ได้อยู่ในขบวนด้วย เขาจึง
หันหัวกลับและสั่งกับนายพลที่อยู่ข้างหลังสองสามคำและเดินกลับเข้าไปข้างใน
เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดเวลาไม่ได้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่รอให้เขาไปจัดการ
มู่หรงรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อย อย่างไรก็ตามเธอเดาว่าหลินหยางคือคนที่เป็นสายเลือดที่แท้จริงของมังกรและยังไม่เปลี่ยนความคิดนี้ด้วย
แต่เธอคิดว่าอาจจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างเพื่อที่จะให้หลินหยางเปิดเผยตัวได้
ในขบวนของดินแดนแห่งสายลม องค์หญิงเองก็ตามมาด้วย เธอแตกต่างจากหญิงสาวที่บอบบางทั่วไป ในตอนนี้เธอสวมเครื่องแบบทหารและดูโดดเด่นอย่างมาก แต่สีหน้าที่ซีดเผือดและมือที่สั่นเทาของเธอก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าเธอตกตะลึงมากแค่ไหน เธอรู้อยู่แล้วแต่มันสายเกินไป มันสายไปแล้ว
ถึงแม้จะมีดินแดนทั้งสามมาปิดล้อมอยู่แต่ที่กำแพงของดินแดนดำมืดก็มีสิ่งเล็กๆที่ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่กลับทรงพลังและน่ากลัวมาก ที่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนคนนับพันให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
นี่ยังไม่พูดถึงว่ามีเจ้าสิ่งนี้อีกนับสิบอัน ช่างเป็นอาวุธที่ทรงพลังจริงๆ เธอไม่สามารถที่จะคาดเดาได้เลยว่าภายใต้กำแพงนั้นจะมีอาวุธที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกหรือเปล่า เธอกลัวว่ามันคงจะสามารถทำลายขบวนของเธอได้กว่าครึ่งแน่ๆ
เมื่อคิดถึงชายคนนั้น ทำไมตอนแรกเธอถึงมองเขาเป็นคนธรรมดาๆไปได้นะ เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาช่างเป็นผู้ชายที่มีปัญญาอันยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ เธอดูเหมือนว่าจะคาดเดาอนาคตของการสู้ครั้งนี้ได้แล้ว
องค์หญิงหันไปมองพี่ชายทั้งสามของเธอ ในสีหน้าของพวกเขาไม่เหลือความสงบเยือกเย็นอีกแล้ว พวกเขาเคยเป็นแบบอย่างของเธอแต่ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเธอจะต้องมารู้สึกว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่าพี่ชายของเธอเอง ทันใดนั้นองค์หญิงก็รู้สึกอิจฉาพวกคนที่อยู่ในบ้านของท่านลอร์ดขึ้นมา อนาคตที่รุ่งโรจน์คงจะต้องเป็นของคนพวกนั้นแน่ๆ
องค์หญิงไม่อยากที่จะสูญเสียสิทธิพิเศษของตัวเองไป เป็นเพราะอาวุธของดินแดนดำมืดที่ทำให้ชีวิตต้องสูญเสียความหวังและความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดไป
เธอหวังว่าตัวเองจะไม่เคยได้เห็นภาพวาดพวกนั้นเลยจริงๆ เธออยากจะหวังว่าตัวเองไม่เคยอยู่ที่นั่น
ทั้งสามดินแดนวางอคติลงและยืนรวมกลุ่มกันอยู่ที่แนวหน้าด้วยท่าทางที่เห็นได้ยาก
หลินหยางมีพร้อมทุกอย่างและเหล่าทหารในเมืองที่เคยกังวลต่างก็เริ่มที่จะยืนขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจขึ้นมาได้หน่อยแล้ว
เหนือไปกว่านั้นคือความภูมิใจในตัวนายท่านของพวกเขาเอง จะมีอะไรที่จะมาทำลายราชสีห์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้
ทั้งสามดินแดนและดินแดนดำมืดต่างก็มีท่าทางแบบนี้กันตลอดทั้งอาทิตย์ ท่ามกลางพวกเขามีสองเผ่าของดินแดนสายลมและดินแดนหิมะที่ถูกปืนใหญ่ยิงระเบิดไป
“น่าขำจริงๆ มันเป็นไปได้ยังไงกัน” องค์ราชาของดินแดนสายลมไม่อยากที่จะยอมรับสิ่งที่เขาเพิ่งจะเห็นด้วยตาตัวเอง บรรยากาศที่เงียบขรึมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่มีใครสามารถที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้เลย
สองวันต่อมา
องค์ราชาของทั้งสามดินแดนยื่นจดหมายไปว่าอยากจะขอเข้ามาในดินแดนดำมืดด้วยความเป็นมิตรเพื่อที่จะพูดคุยถึงเรื่องรายละเอียดกัน หลินหยางตกลงแต่ไม่อนุญาตให้นำทัพเข้ามาในเมือง ส่วนหวังฉิงไม่ค่อยพอใจเท่าไร
เขาเสนอให้มีการโจมตีด้วยกองกำลังแต่อีกสองดินแดนไม่ยินยอม สุดท้ายจึงการทำข้อตกลงกันและเสนอให้มีการเข้าไปเยี่ยมดูก่อนแล้วค่อยกลับมาวางแผนกันอีกครั้ง บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีที่พวกเขาจะได้ดูลาดเลาด้วย
อาวุธที่ทรงพลังขนาดนั้นไม่น่าที่จะผลิตได้มากนัก ด้วยระดับของผลิตของยุคนี้จะสามารถผลิตของที่ทรงพลังขนาดนั้นได้เลยงั้นเหรอ? ถึงแม้จะผลิตได้แต่ก็ไม่น่าที่จะผลิตได้มากมายอะไร
พวกเขาต่างก็อยากที่จะเข้าไปในดินแดนดำมืดด้วยความคิดแบบเดียวกันนี้
มู่หรงเสวี่ยมั่นใจในอาวุธของหลินหยางมาก แต่มันเป็นเพียงเรื่องของเวลา ถ้าตอนนี้มีผีมาอยู่ตรงหน้าหวังฉิง เขาก็คงจะไม่คิดว่าเป็นผีแน่ๆ ไม่งั้นคนเราจะนึกถึงสิ่งต่างๆที่ไม่ควรจะมาอยู่ในยุคนี้ได้ยังไงกัน
อย่าคิดว่าเขาโง่ ไม่ว่าสติปัญญาของคนเราจะเป็นเลิศขนาดไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของสวรรค์ได้หรอก และทุกอย่างที่อยู่ในดินแดนดำมืดก็ล้ำหน้าเกินกว่าปกติมากด้วย ล้ำหน้ายิ่งกว่าขอบเขตของโลกด้วยซ้ำไป
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆหวังฉิงก็นึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามู่เทียนไม่ใช่คนของโลกนี้ขึ้นมาได้ คำตอบค่อยๆโผล่ออกมา ไม่แปลกใจเลยจริงๆ!
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลย นี่เป็นโลกของพวกเขา ทำไมถึงให้คนนอกเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆแบบนี้
ตอนที่องค์ราชาของทั้งสามดินแดนเข้าไปในเมือง หลินหยางไม่ได้วางตัวยิ่งใหญ่ หรือใช้โอกาสนี้จัดการเหล่าบุคคลสำคัญของทั้งสามดินแดนหรือฮุบอำนาจอะไร
หวังฉิงไม่เห็นมู่หรงเสวี่ยที่โต๊ะประชุมด้วย มู่หรงเสวี่ยเข้าร่วมกับกองกำลังตามนโยบาย อีกอย่างช่วงนี้เธอก็ปวดหัวบ่อยๆด้วย ดังนั้นบางครั้งเธอจึงมองอะไรไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไร
เฟิงจือหลิงเองก็ใช้ช่วงเวลานี้เพื่อที่จะดูแลเธออย่างดี เพื่อหวังที่จะได้เข้าไปอยู่ในหัวใจเธอมากขึ้นด้วย แต่มู่หรงก็รู้สึกได้ถึงความกลัวและความตึงเครียดของเขาอย่างอธิบายไม่ถูก
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะถามเขาเท่าไร เขาก็เพียงแค่ส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมด้วยสายตาที่ดูซับซ้อน มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ ยิ่งร่างนี้ปรากฏในความคิดเธอมากขึ้นเท่าไร มู่หรงเสวี่ยก็จะรู้สึกปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นความเจ็บปวดที่แท้จริง ราวกับว่ามีใครกำลังเอามีดมากรีดที่หัวใจของเธอ นี่เธอลืมอะไรไปกันแน่นะ